1.หยุดรถ ให้หยุดรถทันที แม้ว่าจะเห็นว่าเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อยเพียงใด อย่าเลื่อนรถจนกว่าจะตกลงกันได้ว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นจากสาเหตุใด และใครเป็นคนผิดหรือถ้าจะให้ดีควรรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำการตีเส้น อุบัติเหตุก่อน แล้วจึงค่อยเลื่อนรถ เว้นแต่จะเกิดอุบัติเหตุในที่เปลี่ยว ในกรณีนี้ให้คุณจดเลขทะเบียนรถคู่กรณี สี ยี่ห้อ ตำหนิ เวลาและสถานที่เกิดเหตุเอาไว้ แล้วขับต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงที่ชุมชน หรือพบตำรวจ อย่าจอดรถในที่เกิดเหตุเป็นอันขาด เพราะเคยมีเหตุการเจ้าของรถถูกจี้ หรือถูกทำร้ายบ่อยๆ เมื่อลงจากรถ หลังเกิดเหตุในที่เปลี่ยว
2.อย่าพูดพล่อย การขอโทษของคุณ อาจจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายอ้างขึ้นมาว่า คุณยอมรับเป็นฝ่ายผิด อีกทั้งไม่ควรกล่าวโทษอีกฝ่าย เพราะคุณยังไม่รู้ท่าทีของอีกฝ่าย การกล่าวโทษ อาจทำให้เหตุการเลวร้ายลงไปอีก จำไว้เสมอว่า คุณไม่มีอำนาจในการตัดสินว่าใครผิดใครถูก แม้แต่เวลาที่คุณคิดว่า คุณเป็นฝ่ายผิด คุณอาจจะไม่ผิดอย่างที่คิดก็ได้
3.ให้ข้อมูล ให้คุณให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณ ชื่อ- ที่อยู่เลขทะเบียนรถ และ ชื่อประกันที่คุณ มีแก่คู่กรณี หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ
4.หาข้อมูล หลังจากคุณให้ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นแล้ว คุณควรขอข้อมูลจากคู่กรณีด้วยเช่นเดียวกัน หากอีกฝ่ายไม่ให้ ก็ให้คุณจดเลขทะเบียน รูปพรรณของรถเอาไว้ อย่า !พยายามยึดใบขับขี่ของคู่กรณี เพราะคุณอาจโดนข้อหาลักทรัพย์
5.แจ้งตำรวจ หลังเกิดเหตุ คุณควรแจ้งตำรวจทุกครั้ง แม้จะเป็นเพียงอุบัติเหตุเล็กน้อย หรืออีกฝ่ายยอมรับผิดก็ตาม เพราะมิฉะนั้นแล้ว หากอีกฝ่ายแจ้งความในภายหลัง เจ้าหน้าที่จะสรุปว่าคุณหลบหนี และคุณจะเป็นฝ่ายผิดทุกกรณี หากเจ้าหน้าที่ยังไม่มาให้คุณไปแจ้งความยังสถานีตำรวจ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดูที่เกิดเหตุ และตีเส้นตำแหน่งรถ อย่าเลื่อนรถจนกว่าเจ้าหน้าที่จะมาถึง หากไม่สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ ให้คุณทำหนังสือยืนยันเหตุการที่เกิดขึ้นไว้เป็นหลักฐาน โดยลงชื่อยืนยันไว้ทั้ง 2 ฝ่าย อย่าหลงเชื่อคู่กรณี หากบอกว่าไม่ต้องแจ้งตำรวจ เพราะอีกฝ่ายอาจปฏิเสธความรับผิดชอบในภายหลัง ในกรณีนี้ หากคุณไม่มีเจ้าหน้าที่เป็นพยานหรือหนังสือยืนยัน ตามกฏหมายจะถึงว่า คำพูดของคุณอ่อนหลักฐาน
6.หาพยาน โดยสอบถามจากคนบริเวณที่เกิดเหตุ อาจเป็นคนเดินถนน หรือรถคันข้าง ๆหากเขายินยอมเป็นพยาน ให้คุณจดชื่อ-ที่อยู่เพื่อติดต่อเอาไว้ เพื่อในกรณีเหตุที่ซับซ้อน เช่น คุณกำลังเข้าถนน 4 เลน รถ 2 เลนแรกหยุดให้คุณแล้ว แต่คุณชนรถในเลนที่ 3 ในกรณีนี้ คุณอาจเป็นฝ่ายผิดหากไม่สามารถหาพยานมายืนยันได้
7.ไปโรงพยาบาล หากคุณสงสัยว่าได้รับบาดเจ็บ ควรไปพอแพทย์เพื่อตรวจ หากปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นอันตรายและการเรียกร้องค่าเสียหายใน ภายหลังจะยากขึ้นด้วย
8.แจ้งความ ในกรณีที่มีผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต จะต้องไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ทันที แม้กฏหมายจะผ่อนปรนให้แจ้งความใน 6 เดือน เพราะบริษัทประกันภัยรถยนต์ส่วนใหญ่ไม่รับรองใบแจ้งความย้อนหลัง
9.ตกลงเงื่อนไข การจ่ายค่าเสียหาย เรียกเจ้าหน้าที่ประกันภัยมาทันที ที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่สามารถแนะนำคุณได้ว่า ควรให้บริษัทชดใช้ หรือคุณควรจ่ายเอง เพราะเบี้ยประกันภัยรถยนต์ของคุณอาจเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 20 หากค่าชดใช้นั้นเกินกว่าเบี้ยประกัน ร้อยละ 200 (ตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัทประกันภัยรถยนต์) หากต้องชดใช้ 2,100 บาท ค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ของคุณจะเพิ่มขึ้นเป็น 3,200 บาท คุณอาจจะประหยัดได้มากกว่า หากจ่ายเงินชดใช้ 2,100 บาทเอง
10.อย่ารีบรอมชอม หลังอุบัติเหตุ หากอีกฝ่ายยอมรับเป็นฝ่ายผิด และคุณสงสัยว่าคุณจะได้รับบาดเจ็บ อย่าเพิ่งรีบรับข้อเสนอให้ยอมความ เพราะการบาดเจ็บของคุณ อาจจะต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะรู้ว่าอาการของคุณรุนแรงเพียงใด หากคุณยอมความไปแล้ว การเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติม จะทำได้ยากขึ้น แต่ถ้าคุณไม่ได้รับบาดเจ็บ และข้อเสนออีกฝ่ายเป็นที่น่าพอใจ ก็ให้คุณยอมความได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น จากสถิติอุบัติเหตุ ร้อยละ 70 เกิดจากความประมาท การระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำแนะนำทั้ง 10 จะเป็นการดีที่สุด
ด้วยความปถานาดีจาก บริษัท TQM Insurance Broker
ที่มา : http://www.thaihomemaster.com
ด้วยความปถานาดีจาก บริษัท TQM Insurance Broker
ที่มา : http://www.thaihomemaster.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น