วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รถควันดำแก้ไขได้




ควันดำของเครื่องยนต์ดีเซลเกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งทำให้คาร์บอนบางส่วนในน้ำมันเชื้อเพลิง (ไฮโดรคาร์บอน) ไม่ได้ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จึงเหลือเป็นเขม่าดำออกมาทางท่อไอเสีย
ซึ่งสามารถวิเคราะห์แยกสาเหตุที่รถมีควันดำได้ ดังนี้
1. เครื่องยนต์สึกหรอมาก เช่น ลูกสูบ และกระบอกสูบ แหวนลูกสูบชำรุด
2. ปั๊มฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงชำรุด และทำงานไม่ถูกต้อง หรือฉีดน้ำมันในจังหวะที่ไม่ถูกต้อง
3. หัวฉีดน้ำมันแรงดันสูงที่จ่ายเข้าไปในห้องเผาไหม้ชำรุด
4. กรองอากาศอุดตัน
5. น้ำมันเครื่อง มีอายุการใช้งานมาก
6. เขม่าควันดำ และฝุ่นละออง ค้างอยู่ภายในท่อไอเสีย
วิธีแก้ไข
1. ซ่อมแซมเครื่องยนต์ในส่วนที่สึกหรอ เช่น เปลี่ยนลูกสูบ แหวนลูกสูบ หรือ ทำการคว้านกระบอกสูบ แล้วเปลี่ยนลูกสูบให้ใหญ่ขึ้น
2. ทำการเช็กปั๊ม โดยนำเข้าศูนย์บริการ ทำการปรับแต่งปั๊มจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง เปลี่ยนชิ้นส่วนที่ชำรุดสึกหรอ รวมทั้งปรับแต่งหัวฉีดน้ำมัน และเปลี่ยนชิ้นส่วน ที่สึกหรอ รวมทั้งการปรับแต่ง อัตราและจังหวะการฉีดน้ำมัน ให้ถูกต้องเป็นไปตามบริษัทผู้ผลิตกำหนด
3. เปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ เพื่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบรูณ์
4. เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ตามระยะเวลาที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด
5. ปรับแต่งเครื่องยนต์ให้ทำงานถูกต้อง ตามระยะเวลาที่เหมาะสม
6. ทำการล้างท่อไอเสีย โดยใช้น้ำหรือลมฉีดชะล้างเขม่า และฝุ่นละอองภายในท่อไอเสีย
ที่มา : สาระน่ารู้ กรมการขนส่งทางบก
ที่ทางเรา ประกันภัยรถยนต์ นำมาฝาก

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เทคนิคขับรถให้เอาอยู่ กับ 4 อุปสรรคสุดท้าทาย บนเส้นทางสไตล์ลุย



หากคุณกำลังจะสตาร์ทรถคู่ใจเพื่อออกทะยานสู่เส้นทางสไตล์ลุย แน่ใจแล้วหรือยังว่าคุณพร้อมรับมือกับสารพัดอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นบนเส้นทางนั้น ที่อาจทำให้รถและสัมภาระเสียหาย หรือคนบนรถบาดเจ็บได้  เพื่อการขับรถลุยแรงเต็มสตรีมอย่างปลอดภัย ลองมาเรียนรู้เทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณ “เอาอยู่” กับ 4 อุปสรรคท้าทายที่อาจเกิดขึ้นบ่อยที่สุด
1. ทางโค้งแค่ไหนก็เอาอยู่
ขึ้นชื่อว่าเส้นทางลุย ๆ จะเจอทางโค้งฉวัดเฉวียนก็ไม่แปลก ซึ่งคุณก็ไม่ต้องวอรี่จนเกร็งให้เมื่อย ขับไปสบาย ๆ โดยขับเข้าทางโค้งอย่างช้า ๆ ชะลอความเร็วก่อนเข้าโค้ง ไม่ใช่ชะลอเอาตอนเข้าโค้งแล้วเพราะรถจะเสียหลัก จากนั้นบังคับพวงมาลัยและใช้ความเร็วตามความเหมาะสม เมื่อผ่านโค้งและเห็นทางตรงข้างหน้าแล้ว จึงค่อย ๆ เหยียบคันเร่งเพื่อขับในความเร็วระดับปกติต่อไป แล้วต่อให้อีกสักกี่ทางโค้งคุณก็เอาอยู่ด้วยเทคนิคนี้
ถึงหมอกจะหนาจนทำให้คุณมองเห็นไม่ชัด และถนนก็ลื่นจนทำให้รถอาจเสียหลักได้ง่าย ๆ ก็อย่าเพิ่งจิตตกจนทำอะไรไม่ถูก เพราะคุณสามารถเอาอุปสรรคนี้อยู่ได้ด้วยการค่อย ๆ ไป โดยขับฝ่าหมอกไปช้า ๆ ทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าไว้ และหูตาต้องไว ทั้งคอยมองรอบ ๆ สังเกตการณ์ และเปิดหน้าต่างรถเพื่อฟังเสียงรอบด้าน พร้อมทั้งเตรียมเบรกกะทันหันให้ทันทุกเมื่อ
โหดจริง แรงจริง และคาดเดายากจริง สำหรับอุปสรรคข้อนี้ แต่คุณก็พอมีทางเอาอยู่ได้โดยเมื่อสังเกตเห็นมอเตอร์ไซค์วิ่งสวนมาที่รถคุณ ให้รีบเบรกชะลอความเร็วและเปลี่ยนเลนออกห่าง แต่ถ้าหลบไม่พ้นพลาดถูกก้อนหินขึ้นมา คุณก็ยังมีโอกาสปลอดภัยเพราะอย่างน้อยความเร็วที่ลดลงก็ช่วยลดความแรงของก้อนหินได้
เอาอยู่ในที่นี่ไม่ได้หมายความว่าทำให้น้ำลด หรือหลีกเลี่ยงไม่ต้องโดนน้ำได้ เพราะกับเส้นทางสไตล์ลุย ๆ ไม่ว่าจะสภาวะฝนตกน้ำท่วมกะทันหัน ทางเป็นหลุมบ่อน้ำขัง หรือแม้กระทั่งต้องข้ามผ่านลำธาร คุณก็ต้องยอมพารถลุยน้ำไปจริง ๆ ซึ่งเทคนิคที่ช่วยให้คุณเอาอยู่กับอุปสรรคนี้ก็คือ ลุยน้ำไปโดยไม่ทำให้เครื่องดับ โดยพยายามป้องกันไม่ให้เกิดการพัดน้ำเข้าเครื่อง อาทิ ไม่เปิดแอร์ ขับเกียร์ต่ำ ไม่เร่งเครื่อง และลดความเร็วเมื่อมีรถสวนมา เป็นต้น

2. หมอกลงจัดก็เอาอยู่
3. เอาอยู่แม้เจอมอเตอร์ไซค์ปาหิน
4. ลุยน้ำให้เอาอยู่
นอกจากเทคนิคที่ได้แนะนำแล้ว การขับรถของคุณก็จะยิ่งเพอร์เฟ็คท์ หากได้ใช้รถที่เหมาะ อย่าง กระบะอเมริกันพันธุ์แกร่ง“เชฟวี่ โคโลราโด” ใหม่! จากเชฟโรเลต
ที่รวมทุกคุณสมบัติเพื่อการขับรถบนเส้นทางสไตล์ลุย ทั้งดีไซน์ภายในอารมณ์สปอร์ต โครงสร้างภายนอกบึกบึนทนทาน พื้นที่บรรทุกขนาดใหญ่ พลังขับแรงด้วยเครื่องยนต์ตระกูลดูราแม็กซ์ในตำนาน เทคโนโลยีระบบเบรกเหนือมาตรฐาน และความแข็งแกร่งตั้งแต่โครงสร้างตัวถังไปจนถึงแผงประตูแชสซีสต์เพื่อปกป้องทุกชีวิตในห้องโดยสาร
และที่ยิ่งโดดเด่นเกินใคร “เชฟวี่ โคโลราโด” ยังพาคุณลุยได้ถึงไหนถึงกัน ด้วยสมรรถนะการ “ลุยน้ำ” ที่ผ่านการทดสอบจริง พิสูจน์ชัดแล้วว่า สามารถขับลุยน้ำสบาย ๆ ในความลึกที่ 40 เซนติเมตรโดยไม่ก่อความเสียหายใด ๆ ให้กับตัวถังและเครี่องยนต์ และยังขับลึกได้สูงสุดถึง 80 เซนติเมตร
แล้วไม่ว่าจะอุปสรรคท้าทายขนาดไหน เพียงเรียนรู้เทคนิคขับรถและออกสตาร์ทไปกับกระบะอเมริกันพันธุ์แกร่ง เชฟวี่ โคโลราโด คุณก็พร้อมขับลุยสุดแรง เอาอยู่จนสุดเส้นทาง!

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ง่ายๆ กับการกำจัดกลิ่นเบาะหนังรถยนต์


181

หลายคงเคยเจอปัญหาเกี่ยวกับกลิ่นเบาะ หนังที่ไม่พึงประสงค์ หรือกลิ่นของรถใหม่ที่บางคนอาจจะไม่ชอบแต่สำหรับคนที่ชอบกลิ่นรถใหม่ก็สงวน ไว้ไม่ว่ากันค่ แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบวันนี้เรามีวิธีกำจัดขจัดกลิ่นเหล่านี้มาฝากกันค่ะ


8ZCaXC3



1. นำรถยนต์ไปจอดกลางแดด นาน 1 – 2 ชั่วโมง เปิดประตูรถยนต์ทั้งหมด สัปดาห์ละครั้ง สักระยะหนึ่ง กลิ่นเหม็นใหม่ของขอบยาง เบาะหนัง กาว จะค่อย ๆ จางลง
2. นำหอมหัวแดงทุบพอแบน ๆ ใส่ภาชนะไปวางไว้ในรถยนต์ในช่วงที่ไม่ได้ใช้รถยนต์ จะช่วยดูดซับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้
3. นำถ่านไม้ใส่ภาชนะ ไปวางไว้ในรถยนต์ ในช่วงที่ไม่ได้ใช้รถยนต์ จะช่วยดูดซับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้
4. นำน้ำหอมกลิ่นที่ชอบ ใส่ไว้ในรถยนต์ จะช่วยบรรเทากลิ่นได้
5. เมื่อไม่ใช้รถยนต์ จอดรถไว้ในบ้าน ควรเปิดประตูรถทิ้งไว้เพื่อระบายกลิ่น
หรืออีกวิธี
1. หากล่องพลาสติคขนาดพอเหมาะ เจาะรูขนาด 3 ม.ม.ให้รอบกล่องเลยเจาะเยอะๆครับ แล้วนำถ่านไม้มาทุบเป็นก้อนเล็กๆใส่ให้เต็มกล่อง วางไว้ใต้เบาะนั่ง วางไว้ได้ตลอดเวลาค่ะ ไม่ต้องเปลี่ยน ถ่านไม้มีคุณสมบัติดูดกลิ่นได้ดี นำไปประยุกต์ใช้กับตู้เย็นได้ด้วย
2. ใช้ใบเตยตัดเป็นท่อนสั้นๆขนาด 3 – 5 นิ้วมัดรวมกันประมาณ 1 กำมือวางไว้ในรถสัก 2 – 3 กำ กลิ่นใบเตยหอมชื่นใจครับลองปลูกไว้ในบ้านเป็นไม้ประดับและใช้ประโยชน์ได้ ด้วย ที่สำคัญใบเตยต้องเปลี่ยนทุกสัปดาห์นะคะถ้าไม่มีที่บ้านหาซื้อได้ตามร้านขาย ดอกไม้สดทั่วไปได้คะ
3.หลังจากนี้เราก็จะได้รถใหม่ กลิ่นหอมสดชื่นแล้วค่ะ

เกร็ดเล็กๆ ที่ทางเราเอามาฝากจาก #ประกันภัยรถยนต์

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556



หลายคงเคยเจอปัญหาเกี่ยวกับกลิ่นเบาะหนังที่ไม่พึงประสงค์ หรือกลิ่นของรถใหม่ที่บางคนอาจจะไม่ชอบแต่สำหรับคนที่ชอบกลิ่นรถใหม่ก็สงวนไว้ไม่ว่ากันค่ แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบวันนี้เรามีวิธีกำจัดขจัดกลิ่นเหล่านี้มาฝากกันค่ะ



1. นำรถยนต์ไปจอดกลางแดด นาน 1 – 2 ชั่วโมง เปิดประตูรถยนต์ทั้งหมด สัปดาห์ละครั้ง สักระยะหนึ่ง กลิ่นเหม็นใหม่ของขอบยาง เบาะหนัง กาว จะค่อย ๆ จางลง
2. นำหอมหัวแดงทุบพอแบน ๆ ใส่ภาชนะไปวางไว้ในรถยนต์ในช่วงที่ไม่ได้ใช้รถยนต์ จะช่วยดูดซับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้
3. นำถ่านไม้ใส่ภาชนะ ไปวางไว้ในรถยนต์ ในช่วงที่ไม่ได้ใช้รถยนต์ จะช่วยดูดซับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้
4. นำน้ำหอมกลิ่นที่ชอบ ใส่ไว้ในรถยนต์ จะช่วยบรรเทากลิ่นได้
5. เมื่อไม่ใช้รถยนต์ จอดรถไว้ในบ้าน ควรเปิดประตูรถทิ้งไว้เพื่อระบายกลิ่น
หรืออีกวิธี
1. หากล่องพลาสติคขนาดพอเหมาะ เจาะรูขนาด 3 ม.ม.ให้รอบกล่องเลยเจาะเยอะๆครับ แล้วนำถ่านไม้มาทุบเป็นก้อนเล็กๆใส่ให้เต็มกล่อง วางไว้ใต้เบาะนั่ง วางไว้ได้ตลอดเวลาค่ะ ไม่ต้องเปลี่ยน ถ่านไม้มีคุณสมบัติดูดกลิ่นได้ดี นำไปประยุกต์ใช้กับตู้เย็นได้ด้วย
2. ใช้ใบเตยตัดเป็นท่อนสั้นๆขนาด 3 – 5 นิ้วมัดรวมกันประมาณ 1 กำมือวางไว้ในรถสัก 2 – 3 กำ กลิ่นใบเตยหอมชื่นใจครับลองปลูกไว้ในบ้านเป็นไม้ประดับและใช้ประโยชน์ได้ ด้วย ที่สำคัญใบเตยต้องเปลี่ยนทุกสัปดาห์นะคะถ้าไม่มีที่บ้านหาซื้อได้ตามร้านขายดอกไม้สดทั่วไปได้คะ
3.หลังจากนี้เราก็จะได้รถใหม่ กลิ่นหอมสดชื่นแล้วค่ะ


วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เซ็นเซอร์อินฟาเรดดีอย่างไร


ใน ปี 2553 ที่จะถึงนี้ผู้ผลิตยานยนต์จะนำระบบเซ็นเซอร์สำหรับเบรคฉุกเฉิน (EBA) ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทคอนติเนนทอล ไปใช้ในยานยนต์สำหรับสังคมเมือง ระบบดังกล่าวได้ติดตั้งเป็นครั้งแรกแล้วในรถยนต์วอลโว่ รุ่น XC 60 ประโยชน์ของระบบนี้ก็คือขณะขับขี่ด้วยอัตราความเร็วปกติในเมือง ระบบเซ็นเซอร์อินฟาเรด (EBA) จะทำการส่งข้อมูลให้รถเบรคโดยอัตโนมัติ ในระยะที่เสี่ยงต่อการชนท้าย เพื่อป้องกันการชน
บริษัทคอนติเนนทอล ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลก ประสบความสำเร็จในการแนะนำให้กลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ในยุโรปนำ ระบบเซ็นเซอร์สำหรับเบรคฉุกเฉิน (EBA) ไปใช้ เพื่อป้องกันการชนท้าย ระบบเซ็นเซอร์นี้จะทำหน้าที่ตรวจดูสภาพถนนที่อยู่ข้างหน้ารถ พร้อมทำงานควบคู่กับระบบเบรค เมื่อเกิดความเสี่ยงจากการชนหัวถึงท้าย (nose-to-tail) ระบบนี้จะสั่งการไปที่เบรคโดยอัตโนมัติ ในกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่สามารถเบรคได้ทันท่วงที หรือมีการตอบสนองที่ช้าเกินไป โดยระบบนี้มีส่วนประกอบที่สำคัญสองส่วน คือ เซ็นเซอร์อินฟาเรด ที่สามารถตรวจสอบสภาพถนนที่อยู่ข้างหน้ารถ และจับสัญญาณอันตรายบนท้องถนน และระบบเบรคอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคอนติเนนทอลเป็นผู้จัดหาทั้งหมดนี้
ระบบดังกล่าวจะ ช่วยป้องกันการชน เมื่อความเร็วในการขับขี่อยู่ที่ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สภาพการขับขี่ในเมือง ผู้ขับขี่มักมีความเสี่ยงจากการชนท้ายบ่อยครั้ง เนื่องจากผู้ขับขี่ต้องเบรค และเร่งคันเร่งอยู่ตลอด จากสถิติของตำรวจพบว่า 75% ของอุบัติเหตุมักเกิดขึ้นที่ความเร็วไม่เกิน30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาที่รถเคลื่อนที่อย่างช้า ๆ หรือขณะ ?ขับ ๆ หยุด ๆ? ระบบเซ็นเซอร์ที่ถูกพัฒนา และผลิตโดยบริษัทคอนติเนนทอล บนพื้นฐานของ CV Sensor (Closing Velocity Sensor) สามารถลดความเสี่ยงจากการโดนชนท้าย ระบบเซ็นเซอร์จะถูกติดตั้งไว้หลังกระจกหน้าในบริเวณที่ปัดน้ำฝนสามารถทำความ สะอาดได้โดยนี้ทำงานด้วย ลำแสงเลเซอร์ 3 เส้น ที่คอยตรวจดูสภาพบนท้องถนนข้างหน้าในรัศมี 8 เมตร เซ็นเซอร์ดังกล่าวจะค้นหายานพาหนะที่จอดอยู่ หรือเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อพบสิ่งกีดขวาง หรือเมื่อรถอยู่ในระยะประชิดกับคันหน้า ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ระบบเบรคจะทำงานโดยอัตโนมัติ
ในการขับขี่ซึ่งผู้ขับขี่ทิ้งระยะห่างจากคันหน้า ด้วยความเร็ว15 กิโลเมตร/ ชั่วโมงระบบนี้จะช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงการชนท้ายได้ และในกรณีที่การขับขี่มีอัตราเร็วขึ้น ระบบก็จะช่วยบรรเทาความรุนแรงของการชนลงได้ ในขณะเดียวกันระบบนี้ยังช่วยป้องกันผู้ขับขี่ ด้วยการส่งผ่านข้อมูลไปยังหน่วยควบคุมถุงลมนิรภัย และส่งคำสั่งไปยังระบบควบคุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดร. ราฟท์ เครเมอร์ ประธานกลุ่มธุรกิจแชสซี และความปลอดภัย และหนึ่งในกรรมการบริหารของคอนติเนนทอล กล่าวว่า ?การออกแบบให้เหมาะสมกับยานยนต์ทุกรุ่น และการนำไปใช้งาน สามารถเป็นไปได้ด้วยโมดุลที่สามารถปรับให้เข้ากับความต้องการของผู้ผลิตได้ การที่ผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่าง ๆ นำระบบดังกล่าวไปใช้ ทำให้คอนติเนนทอลบรรลุเป้าหมาย ?ความปลอดภัยสำหรับทุกคน? ?ซึ่งสามารถลดปริมาณการเกิดอุบัติเหตุ และการบาดเจ็บลงได้?
กลุ่มคอนติเนนทอล คอร์ปอเรชั่น เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งมอบชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำลำดับต้นๆ ของโลก มียอดขายในปี 2551 มากกว่า 24 พันล้านยูโร หรือประมาณ 1.08 ล้านล้านบาท (1,080 พันล้านบาท) ในฐานะที่กลุ่มคอนติเนนทอล เป็นผู้จัดหาผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญ ได้แก่ ระบบเบรก ระบบและชิ้นส่วนสำหรับระบบส่งกำลังและแชสซี หน้าปัดรถยนต์ อุปกรณ์เพิ่มความบันเทิงในรถยนต์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ ยางรถยนต์และยางสังเคราะห์ เป็นต้น

เกร็ดเล็กที่ทางเรา #ประกันภัยรถยนต์ นำมาฝากให้รู้กัน

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แต่งรถยังไง ให้ถูกกฎหมาย


กฎหมายพระราชบัญญัติรถยนต์ เพื่อให้เพื่อน ๆ วัยรุ่น วัยมันส์ ขาซิ่งทั้งหลายได้รับรู้กันทั่วหน้ากันครับ เริ่มด้วยเรื่องของ

การใส่ Part (ชุดแต่งรอบคัน)

รวม ไปถึงชุดกันชนรอบคันด้วย ซึ่งกรณีนี้ทางเจ้าหน้าที่จะพิจารณาจากลักษณะของการติดตั้ง หากติดตั้งในลักษณะที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกา ย หรือจิตใจของผู้อื่น เช่น ไม่ติดยื่น ติดยาวจนเกินไป และไม่มีส่วนหนึ่ง ส่วนใดเป็นสิ่งแหลมคม ยื่นออกมาทำร้ายให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ อันนี้ถือว่าไม่ผิดกฎหมายนะครับ แต่จะผิดกฎหมายก็ต่อเมื่อติดตั้งในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อื่น เช่น ติดยื่น ติดยาวจนเกินไป หรือมีลักษณะเป็นของแหลมคม จนมีคนเดินผ่านรถไปเฉี่ยวถูกทำร้ายให้ได้รับบาดเจ็บ

V7419126-0

ต่อ ไปว่าด้วยเรื่อง กระจกมองข้างแต่งซิ่งทรงต่าง ๆ ซึ่งการติดกระจกมองข้างทรงต่าง ๆ ไม่ว่าจะอันเล็ก อันใหญ่ ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย สามารถติดได้ เหตุผลเพราะ พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 บัญญัติว่า รถยนต์ต้องมีและใช้เครื่องอุปกรณ์สำหรับรถดังต่อไปนี้
- เครื่องมองหลัง เป็นกระจกเงา ติดอยู่ในที่ที่ผู้ขับรถ สามารถมองเห็นภาพการจราจรด้านข้าง และด้านหลังได้ทุกขณะอย่างชัดเจน
เนื่องจากไม่ได้กำหนดจำนวน หรือขนาดของเครื่องมองหลัง ดังนั้นจึงสามารถติดเพิ่มจากเดิมได้โดยไม่ผิดกฎหมาย

V7419126-1

อีก เรื่องกับเทรนด์ฮิต ไฟตัดหมอก ซึ่งขอบอกเอาไว้เลยนะครับว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าเปิดไฟตัดหมอกพร่ำเพรื่อ ก็มีสิทธิ์โดนจับได้นะครับ มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ไม่ให้เกินงามด้วยเช่นกัน ดังนี้

1. สามารถติดได้ที่หน้ารถข้างละหนึ่งดวงอยู่ในระดับเดียวกัน ใช้ไฟแสงขาว หรือแสงเหลือง
มี กำลังไฟเท่ากันไม่เกินดวงละ 55 วัตต์ สูงจากพื้นทางราบไม่เกินกว่าระดับโคมไฟแสงฟุ่งไกล (ไฟสูง) และโคมไฟแสงพุ่งต่ำ (ไฟต่ำ) ศูนย์รวมแสงต้องอยู่ต่ำกว่าแนวขนานกับพื้นทางราบไม่น้อยกว่า 2 องศา หรือ 0.20 เมตรในระยะ 7.50 เมตร และไม่เฉไปทางขวา

2. ไฟตัดหมอกจะเปิดไฟ หรือใช้แสงสว่างได้เฉพาะในทางที่จะขับรถผ่าน มีหมอก ควัน หรือฝุ่นละอองจนเป็นอุปสรรค อันอาจเกิดอันตรายในขณะขับรถ และเมื่อไม่มีรถอยู่ด้านหน้าหรือสวนมาในระยะของแสงไฟ

ดังนั้น สรุปว่า
1. การติดไฟตัดหมอก มีเงื่อนไขตาม ข้อ 1
2. การใช้ไฟตัดหมอก ต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขตาม ข้อ 2

V7419126-2

อีกหนึ่งเรื่องที่วัยรุ่นนั้นขาดไม่ได้เช่นกันนั่นก็คือ ท่อไอเสีย

รถ ยนยต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงขนาดท่อไอเสีย และปลายท่อด้านท้ายมีขนาดใหญ่กว่าปรกติ ซึ่งจะมีความผิดหรือไม่นั่นบอกได้เลยว่า ไม่ผิดครับ แต่สำคัญอย่าให้เสียงดังเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ก็พอ
คือ ต้องไม่เกิน 100 เดซิเบล

V7419126-3

เรื่องนี้ก็สำคัญ และยังเป็นที่ค้างคาอยู่ในจิตใจของวัยรุ่นมาโดยตลอดกับการโหลดเตี้ย-ยกสูง

ว่า ที่ถูกกฎหมาย และผิดกฎหมายนั้นเป็นยังไง (ทำไมรถโหลดเตี้ยชอบโดนจับ แต่ทำไมรถ Off Road ยกสูงถึงไม่ค่อยโดนจับ) กล่าวเลย ก็คือ รถโหลดเตี้ย หรือรถยกสูง ไม่ผิดกฎหมาย เว้นแต่รถโหลดเตี้ย หากโหลดแล้ว มีผลต่อเนื่องไป ทำให้ส่วนอื่นของรถผิดกฎหมายไปก็จะถือว่ามีความผิดไปด้วย

ซึ่งเห็น ได้ชัดที่สุดคือ การโหลดเตี้ยทำให้ระดับของไฟหน้ารถผิดไปจากเดิมตามที่กฎหมายพระราชบัญญัติรถ ยนต์กำหนดไว้ ได้แก่ ไฟหน้ารถถูกกำหนดให้สูงจากพื้นทางราบถึงจุดศูนย์กลางดวงโคมไม่น้อยกว่า 0.60 ม. แต่ไม่เกิน 1.35 ม. หากนำรถไปโหลดเตี้ยแล้วลองเอาไม้บรรทัดวัดดูว่าน้อยกว่า 0.60 ม. หรือไม่ หากน้อยกว่าก็ผิดกฎหมายครับ สำหรับรถยกสูงหากไฟสูงเกิน 1.35 ม. ก็ผิดกฎหมายพระราชบัญญัติรถยนต์เช่นเดียวกันครับ
ถ้าโหลดตามรูปก็ผิดนะคับ อิอิ

V7419126-4

เรื่อง สุดท้ายกับสิ่งที่ไม่สามารถยั้งใจวัยรุ่นเอาไว้ได้ นั่นก็คือ เรื่องของความเร็วสำหรับวัยรุ่นขาซิ่ง และ การตรวจจับความเร็ว ของทางเจ้าหน้าที่ในลักษณะที่ผิดกฎหมายนั้นก็ได้แก่

1. ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับประเทศไทยนั้นแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน

1.1 ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นกฎกระทรวงออกตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ระบุไว้โดยสรุปดังนี้
รถส่วนบุคคล รถเก๋ง รถแท๊กซี่ รถปิคอัพขนาด 1 ตัน
- ใช้ความเร็วในเขต กทม.หรือ เขตเทศบาลได้ไม่เกิน 80 กม./ชม.
- ใช้ความเร็วนอกเขต กทม.หรือนอกเขตเทศบาล ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 90 กม./ชม.
- ซึ่งความเร็วดังกล่าวข้างต้นรวมถึงบนทางด่วนทุกขั้น (ที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร) ด้วย

1.2 ยกเว้นทางมอเตอร์เวย์ มีกฎหมายระบุไว้เป็นการเฉพาะให้วิ่งได้ไม่เกิน 120 กม./ชม. เหตุที่เป็นเช่นนี้เข้าใจว่า เพราะมอเตอร์เวย์เป็นทางในระดับพื้นราบ ไม่มีทางโค้ง หรือจุดที่เกิดอันตรายมาก และส่วนใหญ่เป็นเส้นทางตรง ๆ ไม่ค่อยมีทางร่วมหรือทางเชื่อม ทำให้รถสามารถใช้ความเร็วได้มากอย่างปลอดภัย แต่บนทางด่วน มีทางเชื่อม ทางขึ้นลง ทางแยก รวมทั้ง มีทางโค้ง โค้งหักศอก เป็นทางยกระดับ ทางลาดชัน อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย หากใช้ความเร็วสูง ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นบ่อย ๆ กรณีรถเกิดอุบัติเหตุแล้ว ตกลงจากทางด่วนลงมาพื้นราบ ทำให้คนที่ไม่มรู้เรื่องรู้ราวด้านล่างตายไปหลายกรณี แล้ว

1.3 กรณีการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ส่วนใหญ่จะบังคับใช้ หรือเข้มงวดกับรถที่ขับรถเร็วจนผิดปกติ หรือใกล้จุดที่น่าจะเกิดอันตราย เช่น แหล่งชุมชน เป็นต้น และจะมีการใช้เครื่องเรดาห์ ในการตรวจจับโดยเครื่องดังกล่าว ได้รับการรับรองความมาตรฐานจากกองทัพอากาศ เป็นระยะ ๆ เพื่อกันปัญหาร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนทางด่วนจะมีการเรียกตรวจจับที่คว ามเร็วเกินกว่า 110 กม./ชม. โดยผู้ขับขี่จะถูกเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่รถ และออกใบแทน (ใบสั่ง) ให้รับไป ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษไว้ ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ส่วนใหญ่พนักงานสอบสวนจะปรับไม่เกิน 500 บาท แต่จะถูกยึดใบขับขี่ตามมาตรการบันทึกคะแนนไว้ 15 วัน หลังจากนั้น มารับใบขับขี่คืนได้ที่โรงพักที่เราเสียค่าปรับ

V7419126-5

ปกติ การจับกุมผู้ขับขี่รถเร็วกว่า กม.กำหนดก็ได้ทำเป็นเหตุการณ์ประจำวันอยู่แล้ว แต่บาง สน.ไม่มีพื้นที่ให้จับเนื่องจากไม่มีระยะทางไกล ๆ ในการยิงด้วยเครื่องตรวจจับ เฉลี่ยเดือนละประมาณ 1,000 ราย

การขับ รถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. อาจดูช้าไปบ้างในเขตกรุงเทพฯ แต่เป็นความเร็วที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะลดความรุนแรงของการบาดเจ็บได้ รวมทั้งเป็นความเร็วที่ประหยัดน้ำมัน ในยุคพลังงานเชื้อเพลิงมีราคาแพง ส่วนผลต่างของเวลาระหว่าง 90 กม./ชม. กับ 110 กม./ชม. จะไม่มีความแตกต่างกันมากนัก

เครดิต
ขอขอบคุณ ที่มา หนังสือ The Truck ฉบับ ส.ค.51
ท่าน chp__chp จาก cm-club

V7419126-6

จากคุณ : bigkeymouse PANTIP.com

ที่ทาง #ประกันภัยรถยนต์ นำมาฝากกัน

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

จัดระบบเบรกหน้าฝน

จัดระบบเบรกหน้าฝน

ฤดูฝนเป็นฤดูที่ระบบเบรกค่อนข้างมีปัญหาที่สุด เนื่องจากน้ำฝนจะเข้าไปทำความเสียหายให้ระบบเบรกระหว่างขับขี่ ทำให้เกิดปัญหาเบรกลื่นเบรกไม่อยู่ และทำให้เกิดอุบัติเหตุได้




เปลี่ยนน้ำมันเบรกบ้าง

ควรเปลี่ยนปีละหนึ่งครั้ง เพราะว่าน้ำมันเบรกนั้นสามารถดูดความชื้นในอากาศเข้าไปได้ จึงเป็นเหตุให้จุดเดือดของน้ำมันเบรกลดลงด้วย เวลาขึ้นเขาลงเขาอาจจะเป็นเหตุให้เหยียบเบรกจมหาย หรือที่เรียกว่าเบรกแตกนั่นเอง

เปลี่ยนผ้าเบรกผสมเนื้อโลหะ

ถ้าถึงคิวต้องเปลี่ยนผ้าเบรกแล้ว ให้คุณเลือกแบบผสมเนื้อโลหะด้วย เพราะทนความร้อนได้สูงและมีแรงยึดจับมากกว่าเบรกธรรมดาหลายเท่า แม้จะขับลุยฝนก็ไม่อุ้มน้ำ ซึ่งปลอดภัยในการขับขี่
เทสต์เบรกกินซ้ายขวา
หากคุณขับรถเองเป็นประจำก็น่าจะสังเกตอาการได้ แต่ถ้าคุณไม่แน่ใจให้ลองเลือกถนนที่ไม่ค่อยมีรถ และขับด้วยความเร็วประมาณ 40 กม./ชม. จากนั้น ปล่อยพวงมาลัยและเหยียบเบรกทันที หากมีอาการกินซ้ายหรือกินขวาต้องรีบแก้ไขทันที
ถอดระบบทำความสะอาด
เมื่อใกล้หมดหน้าฝนแล้วควรถอดล้อและระบบช่วงล่างเพื่อนำมาทำความสะอาด เนื่องจากรถเราวิ่งฝ่าหน้าฝนลุยน้ำมากว่า 3 เดือน ทำให้มีโคลนหรือกรวดเข้าไปติดค้างในระบบเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ระบบเบรกมีประสิทธิภาพต่ำลงด้วย
รีดน้ำจากผ้าเบรก
ระหว่างที่คุณขับขี่ตะลุยรถลงน้ำหรือวิ่งฝ่าฝนด้วยคราวจำเป็น เมื่อหมดเขตฝนแล้วให้คุณขับแล้วย้ำเบรกบ่อยๆ เพื่อให้น้ำที่เกาะอยู่ที่ผ้าเบรกได้ถูกรีดออกไป เมื่อเบรกจะได้ไม่ลื่นหรือไถลไปชนกับคันอื่นๆ

เกร็ดเล็กๆ ที่ทางเรา #ประกันภัยรถยนต์ นำมาฝากทุกท่าน

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556



ภาพภูมิอากาศในประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในภัยร้ายที่คอยบั่นทอนยางรถของคุณ ยางต้องเจอกับสภาพถนนและอุณภูมิที่แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละวัน เราจึงควรเอาใจใส่ต่อยาง?เพราะสิ่งที่จะได้รับตอบแทน คือการขับขี่ที่ปลอดภัยตลอดเส้นทาง ซึ่งทางที่ดีจึงควรตรวจสอบยางของท่านอย่างน้อย สัปดาห์ละ 1 ครั้ง

วิธีตรวจสอบคุณภาพยางแบบง่ายๆ
1 ตรวจสอบหน้ายาง และแก้มยาง ว่ามีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้นหรือไม่ เช่น รอยบาดจากของมีคมประเภทเศษแก้ว การบวมบริเวณแก้มยาง การแตกลายงาในทุกส่วนของยาง
หากเกิดการฉีกขาดจากแก้มยางจนลึกไปถึงผ้าใบชั้นใน ควรเปลี่ยนใหม่ทันที ไม่ควรซ่อม เพราะแก้มยาง คือจุดที่ยางต้องรับน้ำหนัก และมีการบิดตัวไปมาในขณะที่ท่านขับขี่ ยางอาจเกิดการระเบิดขึ้นได้ หากมีรอยฉีกขาดบริเวณแก้มยาง

2 น้ำมันทุกชนิด มีผลก่อให้เกิดการบวมของยาง หรือยางร่อนออกจากขอบกระทะล้อ ควรหลีกเลี่ยงการจอดรถบนคราบน้ำมัน หรือหากมีน้ำกรดหกโดนยาง ควรรีบล้างออกด้วยน้ำสบู่ พร้อมตรวจสอบสภาพของกระทะล้อ และจุกวาล์วเติมลมเป็นประจำ เพราะบ่อยครั้งการแบนหรือรั่วซึมเกิดขึ้นจากสองจุดนี้ และควรมีฝาปิดจุกเติมลม เพื่อป้องกันการซึมของลมยาง

3 เมื่อรถเสีย และต้องถูกลากเป็นระยะทางไกลๆ ควรเพิ่มแรงดันลมยางที่ล้อหลังอีก 3-4 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว

4 การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง หรือการออกตัวอย่างรุนแรง หรือออกรถแบบกระชาก จะทำให้ยางมีการสึกเร็วกว่าการขับขี่แบบปกติมาก

5 ควรตรวจสอบความลึกของดอกยาง ว่าถึงระดับที่ควรจะเปลี่ยนยางหรือไม่ ซึ่งความลึกของดอกยางที่เหมาะสมควรมากกว่า 2 มิลลิเมตร ยางบางรุ่นในยุคปัจจุบัน มีสัญลักษณ์บอกความลึกของดอกยาง เป็นแท่งเชื่อมระหว่างดอกยาง บริเวณส่วนลึกสุดของร่องยาง (แต่ไม่ไช่ทุกร่อง) เมื่อใดที่ดอกยางสึกจนถึงแท่งนี้แล้ว ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ ของยางควบคู่กันไปด้วย เช่น สภาพของเนื้อยางมีการบวม หรือแตก เพราะยางบางเส้นอาจหมดอายุการใช้งานแล้ว 2 มิลลิเมตร ก็ตาม

6 ควรเขี่ยเศษก้อนกรวด เศษแก้ว ที่ติดอยู่บริเวณร่องยางออกให้หมด เพราะเศษกรวดเหล่านี้ อาจเบียดแทรกและทิ่มตำเนื้อยางให้เสียหายได้

ข้อมูลดี ๆ ที่ทาง #ประกันภัยรถยนต์ นำฝากกัน

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

10 เทคนิคเตรียมรถให้พร้อมเที่ยวสงกรานต์




มาถึงเดือนที่เป็นยอดปรารถนาของใครหลายคน เมษายน เดือนที่ร้อนที่สุดแต่มีวันหยุดยาวเยอะสุด ๆ เหมาะแก่การออกตะลอนเที่ยวให้หนำใจ ก่อนจะสตาร์ทรถออกไปตะลุยท่องเที่ยวในวันหยุดยาวอย่างสงกรานต์ คุณแน่ใจแล้วหรือว่ารถของคุณพร้อมออกไป พะบู๊กับการจราจรของสยามประเทศแล้ว

ไปเช็คกันเลยครับว่า 10 เทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยให้รถคุณใช้งานได้คุ้มค่า สมสมรรถนะ และปลอดภัยสูงสุดสำหรับการท่องเที่ยวที่สนุกสนานในช่วงวันหยุดยาวที่จะถึงนี้

1. สละเวลาเล็กน้อยทำความเข้าใจกับเครื่องยนต์ของรถคุณสักนิด อาจจะดูเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่อย่างน้อยคุณควรจะรู้หลักง่าย ๆ โดยเฉพาะการเช็คระดับน้ำและน้ำมันเครื่อง

2. เช็คที่กรองอากาศเพราะรถก็ต้องการอ๊อกซิเจนเช่นกัน หากที่กรองอากาศสกปรก รถคุณจะวิ่งได้ไม่เต็มที่แถมยังเปลืองน้ำมัน การวิจัยพบว่าหากเปลี่ยนที่กรองอากาศที่สกปรกออก คุณจะประหยัดน้ำมันได้ถึง 8% ของหนึ่งถังเลยทีเดียว

3. ยางรถยนต์เป็นหัวใจของความปลอดภัย คุณควรเช็คลมยางให้เรียบร้อยอีกครั้งก่อนออกเดินทาง โดยดูปริมาณลมยางที่เหมาะสมจากคู่มือที่มากับรถ นอกจากนั้นยังควรเช็คดอกยาง และลมของยางสำรองเผื่อไว้ด้วย

4. ตรวจดูไฟรถให้พร้อม โดยเฉพาะทริปที่ต้องมีการเดินทางตอนกลางคืน ทั้งไฟหน้า ไฟท้าย ไฟตัดหมอก ไฟสูง ไฟเบรก และไฟฉุกเฉิน โดยอาจจะให้เพื่อนยืนอยู่นอกรถเพื่อเช็คความเรียบร้อย

5. ควรเช็คที่ปัดน้ำฝนให้พร้อมเพราะรถคุณต้องพร้อมเผชิญกับทั้งน้ำและแป้งตลอดเทศกาลสงกรานต์ คุณไม่จำเป็นต้องซื้อน้ำยาราคาแพง แค่น้ำยาล้างจานสองสามหยดผสมกับน้ำเปล่าก็เพียงพอแล้ว และสามารถสังเกตสภาพยางของที่ปัดน้ำฝนได้ง่าย ๆ หากที่ปัดน้ำฝนของคุณทำให้เกิดรอยจาง ๆ บนกระจก นั่นเป็นสัญญาณว่าคุณควรเปลี่ยนได้แล้ว

6. เบรกเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณต้องเช็ค สัญญานของปัญหาที่สังเกตได้ง่าย ๆ คือ เหยียบแล้วเบรกไม่นิ่งแต่มีอาการกระเด้งนิดหน่อย เหยียบเบรกแล้วรถเบนไปด้านใดด้านหนึ่ง หรือมีเสียงแปลก ๆ รีบแก้ไขทันทีครับ

7. โช้คอัพเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับความปลอดภัยในการขับรถ แน่นอนว่าเราไม่แนะนำให้คุณพยายามเปลี่ยนโช้คเอง แต่คุณควรจะสามารถเช็คได้ว่าโช้คอยู่ในสภาพดีหรือไม่ โดยให้คนที่แข็งแรงออกแรงกดรถทีละด้าน หากรถคืนตัวเป็นจังหวะเดียวแสดงว่าโช้คยังอยู่ในสภาพดี แต่หากรถกระดกขึ้นลงหลายทีก่อนจะหยุด คุณควรจะนำรถไปให้ช่างตรวจสอบ

8. คุณไม่จำเป็นต้องพกรองเท้าให้ครบทุกสีทุกวัน เราแนะนำให้คุณเอาหนังสือ รองเท้า ไม้กอล์ฟ หรือของใช้ที่ไม่จำเป็นออกบ้าง ถ้าหากคุณใส่ของในรถ 48 กิโล รถของคุณจะกินน้ำมันมากขึ้นถึง 2% เลยทีเดียว

9. เตรียมชุดปฐมพยาบาลและไฟฉายไว้เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน

10. เตรียมเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินต่างๆ ไว้เผื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อย่างน้อยคุณควรจะมีเบอร์ของตำรวจทางหลวง (1193) ศูนย์อุบัติเหตุบนทางด่วน (1543) สถานีวิทยุ จส. 100 (1137) สถานีวิทยุสวพ. 91 (1644) แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย (191) และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทั่วประเทศ 24 ชั่วโมงจากฟอร์ด (Ford Roadside Assistance) ที่เบอร์ 1800-22-000 หรือ 1401-222-000


หากการเตรียมเช็ครถที่เราแนะนำมาข้างต้นฟังดูเหมือนภาษาต่างดาวสำหรับคุณ สิ่งง่าย ๆ ที่คุณทำได้ คือนำรถเข้าตรวจสอบและเช็คสภาพก่อนออกเดินทางที่ศูนย์บริการใกล้บ้าน เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะท่องเที่ยวได้สนุก ราบรื่น และปลอดภัยตลอดเส้นทาง


ด้วยความห่วงจาก #ประกันภัยรถยนต์

วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เกร็ดความรู้เล็ก ๆ เกี่ยวกับ abs



เอี๊ยดดดด…… โครม!!!…. เป็นเสียงที่คุ้นเคยกันดีว่าก่อนรถจะชน เรามักจะได้ยินเสียงอะไรทำนองนี้ ทำไมเอี๊ยดแล้วต้องต่อด้วยโครมล่ะ ก็เพราะว่าเมื่อเราเบรครถอย่างกระทันหัน เบรคจะจับล้ออย่างรวดเร็วและทำให้ล้อล๊อค เมื่อล้อล๊อคตาย หน้าสัมผัสยางจะสัมผัสกับถนนเพียงจุดเดียว และนั่นก็เป็นสาเหตุให้ประสิทธิภาพของการเกาะถนนลดลงมาก (จริงๆแล้วมันเรียกว่าลื่นไปเลยก็ไม่ผิดนักก็เลย เอี๊ยดดดด…) เมื่อเกินอาการลื่นแบบนี้ขึ้นนอกจากจะทำให้ระยะเบรคยาวขึ้นมากแล้ว รถยนต์ก็จะสูญเสียการเลียวด้วย แม้ว่าผู้ขับจะพยายามเลี้ยวหลบวัตถุที่
เกร็ดความรู้เล็ก ๆ เกี่ยวกับ abs

กำลังจะชนแล้ว แต่รถจะยังเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดิมอยู่ดี นั้นเป็นสาเหตุของคำว่า โครมมม!!!
ในเมื่อตัวปัญหาของงานนี้ก็คืออาการล้อล๊อคตาย เราก็ต้องทำให้มันไม่ล๊อค และวิธีที่งายที่สุดก็คือ ผ่อนแรงเบรคที่จับล้อเอาไว้และเพิ่มแรงเบรคเข้าไปใหม่เพื่อให้ล้อหมุนอีกนิด ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนหน้าสัมผัสยางกับถนนเพื่อ เพิ่มแรงเสียดทานขึ้น ทำให้ล้อสามารถกลับมาเกาะถนนได้อีกครั้ง ทั้งนี้ขั้นตอนต่างๆที่ว่านี้ ทำงานด้วยความรวดเร็วมากๆ เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น จากหลักการดังกล่าวเป็นเหตุให้ต้องมีอุปกรณ์เพิ่มเติมจากเบรคในระบบเดิม

ระบบนี้มีอุปกรณ์เพิ่มขึ้นมาอีก 4 ตัว สำคัญๆ
1. ตัววัดความเร็วรถ ทำหน้าที่ตรวจจับว่าล้อมีอาการล๊อคหรือยังโดยอุปกรณ์ตัวนี้มักจะติดตั้งอยู่ตามล้อแต่ละล้อ
2. วาล์ว ทำหน้าที่ผ่อนแรงดันเบรคที่ล้อแต่ละข้าง
3. ปั๊ม ทำหน้าที่ปรับแรงดันกลับให้เบรค
4. ตัวควบคุม เป็นคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่คำนวนและควบคุมอุปกรณ์ทุกอย่างให้ทำงานกันอย่างสอดคล้องเป็นปี่เป็นขลุ่ย

ขับขี่ปลอดภัยขึ้นเพราะมีข้อดีหลักๆ 2 ข้อ
1. ระบบนี้สามารถทำให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้ในขณะที่เบรคอย่างกระทันหัน (เลี้ยวหลบได้)
2. สามารถหยุดรถได้ระยะทางสั้นลง (เทียบกับเมื่อล้อล๊อค)

อาการเบรคสะท้านเท้าเป็นเรื่องธรรมดา
อาการนี้จะเกิดขึ้นเป็นปกติขณะที่ ABS ทำงานเปิดปิดวาล์ว ผู้ขับก็เพียงแค่เหยียบเบรคให้เต็มแรงตามปกติต่อไป ไม่ต้องผ่อนเอง ระบบ ABS จะจัดการให้เองครับ

เกร็ดเล็กๆ ที่ทาง #ประกันภัยรถยนต์ นำมาฝากกัน 

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ข้อควรรู้ก่อนซื้อรถมือสอง


   คำถามที่เคยได้ยินกันมาอย่างยาวนาน และทุกวันนี้ก็ยังมีคนถามกันอยู่ก็คือ ซื้อ "รถมือสอง" ยังไงไม่ให้โดนหลอก ไม่ให้โดนย้อมแมว และได้ของที่คุณภาพ คุ้มกับเงินที่จ่ายไป เพราะไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า ทุกวันนี้ รถยนต์ กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ที่ 6 ของชีวิตเราไปแล้ว เราจึงต้องมีวิธีการเลือกซื้อการตรวจสอบ เพื่อให้ได้รถคุณภาพจริงๆ นี่เป็นข้อแนะนำในการดูรถมือสอง ข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคในการซื้อรถมือสอง และวิธีตรวจสอบรถแบบที่คุณสามารถดูเองได้เลยครับ

1. ขอดูคู่มือการรับบริการ และเอกสารติดรถ จะเป็นโชคดีของเราอย่างมาก หากเจ้าของรถเก็บเอกสารดังกล่าวไว้ เพราะว่าเอกสารพวกนี้ช่างเครื่องยนต์ที่มีประสบการณ์ หรือคนที่มีความคุ้นเคยกับการซ่อมเครื่องยนต์ สามารถบอกรายละเอียดของรถได้อย่างมากมาย เจ้าของรถที่มีการเก็บเอกสารไว้ ส่วนมากจะเป็นคนที่มีการดูแลรักษารถ และนำรถเข้าศูนย์บริการเป็นประจำ อย่างไรก็ตามอย่าลืมดูที่เอกสารเหล่านั้นว่าเป็นของรถคันนั้นหรือไม่



2. เช็คการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ต่างๆ แน่นอนว่านอกจากการเช็คสภาพของตัวรถแล้ว คุณสามารถเช็คการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ต่างๆ ดังกล่าว ควบคู่ไปกับการเช็คเลขไมล์ที่วิ่งในการตรวจสอบสภาพรถได้ โดยการเช็คว่าถ้าเลขไมล์ที่วิ่งน้อย แต่อุปกรณ์ต่างๆ เสื่อมสภาพไปมากแล้ว อันนี้จะแสดงถึงความผิดปรกติของรถ แต่ในทางกลับกันถ้าเลขไมล์ที่วิ่งสูง แต่อุปกรณ์อื่นๆ ยังอยู่ในสภาพดี รถคันนั้นก็ดู น่าสนใจ

3. สอบถามเกี่ยวกับ สถานที่ (ภูมิภาค) และสภาวะแวดล้อมในการขับขี่ของเจ้าของเดิม

4. เช็คอุปกรณ์ต่างๆ รอบตัวรถ เริ่มต้นจากการเช็ค ไฟบอกสัญญาณต่างๆ เช็คแตร เช็คอุปกรณ์ทำความสะอาดกระจกรถ เช็คสภาพยางรถยนต์ ฯลฯ

5. การทดลองขับและข้อควรสังเกต การทดสอบขับบนถนนที่มีสภาพถนนต่างๆ หลายๆ แบบจะยิ่งช่วยให้การตรวจสอบนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น โครงสร้างภายในของรถ เหมาะสมกับตัวคุณหรือไม่ การควบคุมรถบนท้องถนน และรวมถึงเสียงต่างๆ ทดลองปรับพนักที่นั่งในตัวรถว่า เหมาะสมกับตัวคุณหรือไม่ จากนั้นให้ลองสตาร์ทเครื่อง แล้วฟังดูว่ามีเสียงเครื่องกระตุกหรือไม่ เช็คระบบการขับเคลื่อน และการเปลี่ยนเกียร์ ทดสอบระบบเบรก ทำได้โดยการหาช่วงถนนที่ไม่ค่อยมีรถขับไปมาแล้ว ทำการเบรกจากระดับความเร็วที่ 50 กม./ชม. และถ้าเบรกแล้วมีอาการ สั่นที่คันเบรก ให้เช็คดูว่ารถคันนั้นมีระบบ ABS หรือเปล่า เพราะว่าเป็นอาการปกติของรถที่มีระบบนี้




   สุดท้ายก่อนที่จะสิ้นสุดการทดลองขับจริง ให้เช็คระบบควบคุมและ ระบบไฟฟ้าภายในรถว่ายังใช้งานได้ตามปกติหรือไม่ เช่น ทดสอบชุดเครื่องเสียง และลำโพงโดยการเพิ่มและลดระดับเสียง ทดสอบการใช้งานของปุ่มควบคุมต่างๆ บนรถ โดยอาจจะสอบถามลักษณะการใช้งานจากเจ้าของรถ ทดสอบ การทำงานของระบบเซ็นทรัล ล็อก และการเปิด-ปิดของประตู เช็คดูว่าเอกสารอยู่ครบหรือไม่ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดมากับตัวรถอยู่ในสภาพที่ยังใช้งานได้

เกร็ดความรู้ที่ทางเรานำมาฝาก  #ประกันภัยรถยนต์

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ขั้นตอนการทำความสะอาดภายในห้องโดยสารด้วยตัวเอง


เรื่องความสกปรกภายในห้องโดยสารนั้น เป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงได้ยากยิ่ง แม้ว่าจะพยายามรักษาความสะอาดอย่างดีที่สุดแล้วก็ตามแต่ทว่าก็ยังมิอาจ0tขวางกั้นการเล็ดรอดของฝุ่นละอองที่มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง และพร้อมจะเข้าประจำการในห้องโดยสารได้ทันทีที่มีโอกาส ไม่นับรวมบรรดาคราบสกปรกต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ (บ่อยซะด้วยซิครับ) ทางแก้จึงอยู่ที่การขจัดสิ่งสกปรกนั้นออกซะ ส่วนจะจัดส่งเข้าคาร์แคร์หรือบรรเลงเองก็ตามแต่โอกาสและงบประมาณนั่นแหละครับ


ไม่เถียงครับว่าบรรดาวัตถุดิบ, เครื่องไม้เครื่องมือ ตลอดจนความชำนาญของช่างที่คาร์แคร์นั้นพร้อมกว่าด้วยประการทั้งปวง แต่นั่นก็หมายถึงค่าใช้จ่ายที่สูงไม่น้อย
เลยทีเดียวถ้าเล่นกันเต็มระบบ ซึ่งก็อาจจะเกินความจำเป็นไปนิด ในกรณีที่ไม่ได้เปรอะเปื้อนซึมลึกถึงขนาดต้องรื้อภายในกันแทบทุกชิ้น แต่กับบางคนก็อาจจะยัง
ไม่ได้ดั่งใจซักเท่าไหร่ กับการ ?ล้างสี-ดูดฝุ่น? ก็เท่ากับว่าคุณต้องลงมือเองแล้วล่ะครับ และถ้าตกลงปลงใจได้ดังนั้นแล้วล่ะก็ ไปเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือได้เลย
ครับ ซึ่งที่ต้องใช้ก็จะมีเครื่องดูดฝุ่น ที่แนะนำว่าใช้เครื่องดูดฝุ่นบ้าน เพราะแรงลมในการดูดนั้นจะสูงกว่า แต่ก็ออกจะค่อนข้างเกะกะพอสมควร, แปรงขนนิ่มๆ หน่อย(แปรงสีฟันกับแปรงทาสีก็ได้นะ) น้ำยาทำความสะอาดต่างๆ และผ้า-ฟองน้ำไว้ใช้สำหรับเช็ดคราบสกปรกครับ ว่าแล้วก็ไปดูขั้นตอนการทำความสะอาดกันเลยครับ


พรมรองเท้ามีกี่ชิ้น เอาออกมาให้หมด จากนั้นนำไปสลัดฝุ่นออก แล้วค่อยตามด้วยการดูดฝุ่นอีกระลอก หรือถ้ายังไม่สาแก่ใจล่ะก็ แนะนำให้ซักไปเลยครับ ใน
กรณีที่ซักพรม หลังจากที่ชำระล้างพรมจนสะอาดเรียบร้อยดีแล้ว ก่อนที่จะนำพรมไปผึ่งแดด แนะนำให้ใช้โบลว์เออร์เป่าเพื่อไล่ลมก่อน เพราะจะช่วยให้พรมแห้งเร็วขึ้นครับ


ถึงคิวของเครื่องดูดฝุ่น กับภารกิจตักตวงเอาเศษฝุ่นละอองต่างๆ ออกจากตัวเบาะให้ทั่วทั้งตัวและทุกตัว รวมไปถึงที่บริเวณพรมชิ้นใหญ่ (อย่าลืมบริเวณที่วาง
เท้าของคนขับ) และห้องสัมภาระที่ด้านหลังด้วยนะครับ จากนั้นค่อยมาขจัดคราบสกปรกที่ติดอยู่ตามเบาะ (ถ้ามี) ด้วยน้ำยาทำความสะอาดกันต่อ ซึ่งขั้นตอนส่วน
ใหญ่ก็จะให้ฉีดน้ำยาไปยังบริเวณที่สกปรกก่อน จากนั้นรอเวลาให้ตัวน้ำยาทำการสลายคราบที่ฝังอยู่ (ประมาณ 10-15 นาที) แล้วค่อยเช็ดด้วยฟองน้ำหรือผ้าชุบ
น้ำพอหมาดๆ จนสะอาด แต่ถ้าหากยังเอาคราบสกปรกออกไม่หมด ก็ต้องลงน้ำยาอีกรอบ แล้วรอเวลาเล็กน้อย จากนั้นค่อยลงแปรงเพื่อช่วยสลายคราบอีกทีครับ


ปัดฝุ่นที่บริเวณซอกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกรอบสวิทช์ต่างๆ, วิทยุ, กรอบช่องแอร์ฯลฯ ด้วยแปรงทาสีอย่างเบามือ หรือถ้าที่วิทยุมีช่องเสียบ USB ล่ะก็ เอาเครื่องดูด
ฝุ่นแบบที่ใช้กับตัวคอมพิวเตอร์ (ซึ่งจะมีหัวแปรงนิ่มๆ ติดมาด้วย) มาใช้ได้เช่นกันครับ


เช็ดบริเวณคอนโซล และชิ้นส่วนต่างๆ ที่เป็นพลาสติคด้วยผ้าชุบน้ำบิดหมาดแต่หากมีคราบสกปรกก็ต้องพึ่งน้ำยาทำความสะอาดอเนกประสงค์ร่วมกันด้วยครับ
แล้วเช็ดจนสะอาด จากนั้นก็ตามด้วยน้ำยาเคลือบเพื่อป้องกันการทำร้ายจากแสงแดดอีกทีก็ได้ครับ เพราะจะช่วยป้องกันการแตก-กรอบของชิ้นส่วนได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะใครที่จะต้องจอดตากแดดบ่อยๆ ล่ะก็ เหมาะอย่างยิ่งเลยล่ะครับ แต่ถ้าเป็นหนังแท้ก็ควรจะต้องใช้น้ำยาทำความสะอาดและเคลือบเฉพาะหนังแท้ด้วยนะ
ครับจริงๆ แล้วการทำความสะอาดด้วยตัวเองนั้น ก็ไม่ได้จะยุ่งยากแต่อย่างใดเลยครับหากว่าไม่ได้เลอะมากมายอย่างน้ำมันเครื่อง-จาระบี, อาเจียน ฯลฯ หรือน้ำเข้าจนพรมเปียก+มีกลิ่นอับ ซึ่งถ้าหนักขนาดนั้นก็คงต้องพึ่งคาร์แคร์ที่อุดมไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือและน้ำยาทำความสะอาดเฉพาะทางมากกว่าครับ ความสะอาดภายในรถนั้น นอกจากความรู้สึกทางสายตาแล้ว ยังจะมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพของเราๆท่านๆ ด้วยนะครับ เพราะตลอดเวลาที่เรา (และคนอื่นๆ) อยู่บนรถนั้น อากาศที่เราใช้หายใจ มันก็หมุนเวียนอยู่ในห้องโดยสารนั่นแหละครับ ยิ่งคนที่เอาน้องหมาไปไหนมาไหนด้วย ยิ่งต้องดูแลเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษเลยล่ะครับ

เกร็ดความรู้ดีๆ ที่ทาง #ประกันภัยรถยนต์