วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556
วิธีดูแลรถในหน้าร้อน
หน้าฝนอย่างนี้ทำไมไม่หาบทความดูแลรถในหน้าฝนล่ะ ก็เพราะว่าฝนมันตกไม่กี่วันเดี๋ยวมันก็ร้อนเหมือนเดิมน่ะสิครับ ยิ่งในสภาพอากาศบ้านเราที่ร้อนอบอ้าวอย่างนี้ เครื่องยนต์รถของท่านจะต้องทำงานหนักมากขึ้นเกิดความร้อนสูงขึ้น บางครั้งอาจทำให้เครื่องเกิดการ overheat ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การทำให้เครื่องยนต์เสียหาย วันนี้ขอเสนอวิธีการดูแลรถและเตรียมตัวก่อนเข้าถึงฤดูร้อนที่ใกล้มาถึง เพื่อที่จะไม่ต้องอารมณ์เสียเวลารถตายกลางทาง....
เรามาทำความรู้จักกับระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์กันก่อน ซึ่งมีอยู่ 2 รูป แบบด้วยกันคือ ระบบบายความร้อนด้วยอากาศ และระบบระบายความร้อนด้วยน้ำหล่อเย็น ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศเป็นระบบระบายความร้อนที่ใช้อยู่ในจักรยานยนต์ และในเครื่องยนต์เกษตร การระบายความร้อนแบบนี้จะให้แรงลมภายนอกมาปะทะเข้ากับครับระบายความร้อนที่ ติดอยู่กับเสื้อสูบ ด้วยอากาศภายนอกที่ร้อนมากยิ่งขึ้น (30-40) องศา ทำให้ระบบระบายแบบนี้มักมีปัญหามาก ทำให้ปะเก็นต่างๆของเครื่องยนต์เสื่อมสภาพเร็ว และอายุการใช้งานของเครื่องยนต์สั้นลง
การ ดูแลรักษาเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ควรมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ น้ำมันเครื่องที่ใช้หล่อลื่นเครื่องยนต์ควรเป็นน้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์ 100 % เพื่อ การหล่อลื่นที่ดีและช่วยระบายความร้อนของเครื่องยนต์ได้ดี ถ้าเครื่องยนต์มีพอร์ตที่สามารถติดตั้งชุดออยล์คูลเลอร์ควรที่จะทำการติด ตั้งชุดออยล์เพิ่มเติมเพื่อการระบายความร้อนของน้ำมันเครื่อง ช่วยให้เครื่องยนต์มีการระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น
ใน ส่วนของระบบระบายความร้อนด้วยน้ำหล่อเย็น เป็นระบบระบายความร้อนที่ใช้อยู่ในเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ซึ่งก็คือรถยนต์ทั่วไปก็ใช้ระบบระบายความร้อนในรูปแบบน้ำหล่อเย็นเช่นกัน จุดเด่นของระบบนี้อยู่ที่มีการหมุนเวียนน้ำหล่อเย็นเข้าไปในส่วนต่างๆของ เครื่องยนต์เพื่อลดความร้อน
ด้วย ประสิทธิภาพการระบายความร้อนที่ดีของระบบระบายความร้อนแบบน้ำหล่อเย็นไป พัฒนาใช้กับรถจักรยานยนต์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งระบบนี้เป็นระบบราบายความร้อนที่มีชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ต้องทำงานร่วมกัน อยู่หลายชิ่นส่วน คือ หม้อน้ำ, พัดลมระบายความร้อน, ปั๊มน้ำ, ท่อ น้ำ และวาล์วน้ำ ซึ่งแต่ละชิ้นส่วน มีการทำงานร่วมกันเป็นอย่างดี ฉะนั้นการดูแลรักษาระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์แบบน้ำหล่อเย็นจึงต้องมีการ ดูแลรักษาชิ้นส่วนอุปกรณ์ให้มีความสมบูรณ์ในทุกส่วน
สิ่ง แรกที่ต้องดูแลรักษาคือ หม้อน้ำ จะติดตั้งอยู่กับเครื่องยนต์ทำหน้าที่ระบายความร้อนของน้ำหล่อเย็นที่ออกมา จากเครื่องยนต์ ซึ่งการระบายความร้อนของน้ำหล่อเย็นด้วยพัดลมระบายความร้อนที่ติดตั้งอยู่ กับหม้อน้ำ ทำการดูดอากาศเย็นจากด้านหน้ารถยนต์เข้ามาผ่านแผงรังผึ้งหม้อน้ำเพื่อให้น้ำ หล่อเย็นมีอุณหภูมิลดลง แล้งส่งน้ำหล่อเย็นกลับสู่เครื่องยนต์เพื่อระบายความร้อนเครื่องยนต์อีก ครั้ง การดูแลรักษาหม้อน้ำให้มีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนได้ดีควรมีการตรวจ เช็คปริมาณน้ำในหม้อน้ำอย่างสม่ำเสมอ ถ้าน้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำมีสนิมก็ควรที่จะทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อเย็น ใหม่ เพื่อการระบายความร้อนที่ดียิ่งขึ้น (น้ำหล่อเย็นที่สนิมปนเปื้อน จะให้การระบายความร้อนของเครื่องยนต์ไม่ดีพอ เพราะผลสนิมจะเป็นสื่อนำความร้อนที่เพิ่มมากขึ้น และยังจะทำให้รูน้ำภายในเครื่องยนต์เกิดการอุดตันได้)
การ เปลี่ยนถ่ายน้ำหล่อเย็นเครื่องยนต์ สามารถทำได้โดยการคลายน๊อตใต้หม้อน้ำ ปล่อยน้ำหม้อน้ำทิ้ง เติมน้ำเข้าสู่หม้อน้ำด้านบนให้เท่ากับปริมาณน้ำที่ออกจากหม้อน้ำแล้ทำ การสตาร์ทเครื่องยนต์ให้เกิดน้ำหมุนเวียนไล่สนิมที่ตกค้างอยู่ภายในเครื่อง ยนต์และหม้อน่ำออกจนหมด แล้วค่อยทำการปิดน๊อตด้านล่างหม้อน้ำให้แน่น ทำการเติมน้ำหล่อเย็นใหม่ให้เต็ม ทำการติดเครื่องยนต์อีกครั้งเพื่อไล่อากาศที่อยู่ในระบบออกให้หมด ทำการเติมน้ำให้เต็มอีกครั้งก็เป็นอันเสร็จสิ้นการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อ เย็น สำหรับรถที่มีหม้อพักน้ำเย็นก็ควรที่จะทำการล้างหม้อพักน้ำเย็นด้วย ภายนอกของหม้อน้ำก็ควรทำความสะอาดเช่นกันโดย ทำการล้างน้ำฉีดแผงรังผึ้งหม้อน้ำให้สะอาด เพื่อล้างฝุ่นหรือสิ่งสกปรกที่มาเกาะอยู่แผงรังผึ้งเพื่อให้อากาศไหลเวียน ได้ดี จะทำให้การระบายความร้อนทำได้ดียิ่งขึ้น แต่การฉีดน้ำล้างแผงรังผึ้งไม่ควรฉีดน้ำแรงมากๆ เพราะจะทำให้ครีบของแผงรังผึ้งบิดพับ อากาศจะไหลผ่านไม่สะดวก
สิ่ง ที่สองคือ พัดลมระบายความร้อนเครื่องยนต์ พัดลมระบายความร้อนที่ใช้จะเป็นระบบดูด โดยดูดอากาศจากภายนอกห้องเครื่องยนต์ผ่านแผงรังผึ้งเข้ามาเป่าระบายความร้อน ของเครื่องยนต์ มีอยู่ 2 แบบคือ พัดลมไฟฟ้า และพัดลมใช้กำลังเครื่องยนต์ ซึ่งแบบไฟฟ้านั้นเป็นการระบายความร้อนที่รับการควบคุมการทำงานด้วยชุด เซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อน เมื่อเครื่องยนต์มีค่าความร้อน 80-90 องศา ระบบเซ็นเซอร์จะสั่งการให้พัดลมระบายความร้อนทำงาน ซึ่งแตกต่างกับพัดลมแบบใช้กำลังเครื่องยนต์ ที่มีการทำงานอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เครื่องยนต์สตาร์ท จนเครื่องดับ การดูแลรักษาควรมีการตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอ ถ้าพัดลมไฟฟ้า มีการหมุนในความเร็วรอบที่น้อยลง หรือแรงลมระบายความร้อนเบากว่าเดิมก็ควรเปลี่ยนพัดลมใหม่ ส่วนการดูแลพัดลมที่ใช้กำลังจากเครื่องยนต์ ควรมีการตรวจเช็คความหนืดของใบพัด ถ้ามีการหนืดน้อยควรจะเติมซิลิโคนเข้าไปในชุดปั้มพัดลมเพิ่ม (การ เติมซิลิโคนไม่ควรเติมมากเพราะจะทำให้พัดลมมีการดูดอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ ในปริมาณที่มากทำให้เกิดเสียงดัง และยังทำให้รถมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น
สิ่ง ที่สาม คือ ชุดปั้มน้ำ และวาล์วน้ำ ด้วยระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ต้องมีการหมุนเวียนน้ำหล่อเย็นไปยังส่วน ต่างๆของเครื่องยนต์ และส่งน้ำหล่อเย็นเข้าไปยังหม้อน้ำเพื่อระบายความร้อนของน้ำหล่อเย็นแล้วส่ง กลับมาเข้าสู่เครื่องยนต์อีกครั้ง เพื่อทำการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ สิ่งที่ทำหน้าที่เหมือนประตูปิดเปิดให้ปริมาณน้ำหล่อเย็นเข้าสู่เครื่องคือ ชุดวาล์วน้ำ เมื่อเครื่องยนต์มีค่าความร้อนน้อย วาล์วก็จะปิดให้น้ำหล่อเย็นไหลผ่านในปริมาณน้อย เพื่อรักษาอุณหภูมิของเครื่องยนต์ให้มีการเผาไหม้ที่ดี ถ้าเครื่องยนต์มีค่าความร้อนสูง ชุดวาล์วน้ำก็จะทำการเปิดให้น้ำหล่อเย็นไหลเข้าสู่เครื่องยนต์ในปริมาณมากๆ เพื่อการระบายความร้อนที่ดียิ่งขึ้น การดูแลรักษาชุดวาล์วน้ำควรทำการเปลี่ยนปีละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันปัญหาของอาการวาล์วน้ำตาย อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับการทำงานของชุดวาล์วน้ำ นั้นคือชุดปั๊มน้ำ จะทำหน้าที่ปั้มน้ำที่ได้รับการระบายความร้อนจากหม้อน้ำเข้าสู่เครื่องยนต์ และผลักดันไล่น้ำหล่อเย็นที่มีค่าความร้อนสูงกลับเข้าไปสู่หม้อเพื่อทำการ ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำอีกครั้ง การชำรุดเสียหายของชุดปั๊มน้ำมักเกิดจาก อายุการใช้งานที่ยาวนาน ทำให้ชุดซีลต่างๆ เกิดการฉีกขาดหรือสึกกร่อน ทำให้เกิด การรั่วซึมของชุดปั๊มน้ำ การดูแลรักษาควรทำการเปลี่ยนชุดปั๊มน้ำใหม่ เพื่อให้ปั๊มน้ำเข้าสู่เครื่องยนต์ได้ดียิ่งขึ้น (สำหรับท่านที่มีทุนทรัพย์น้อยต้องการ ซ่อมปั๊มน้ำ ไม่ขอแนะนำครับ ไม่คุ้มกับค่าเงินที่เสียไป ใช้ได้ประมาณ 3 เดือนก็รั่วซึมอีกครับ)
สำหรับ สิ่งสุดท้าย คือ สายพานและท่อยาง ด้วยการทำงานของชุดปั๊มน้ำหล่อเย็นมีการทำงานด้วยการรับแรงฉุดของเครื่อง ยนต์ที่ส่งผ่านสายพานมายังชุดปั๊มน้ำเพื่อทำการปั๊มน้ำส่งน้ำหล่อเย็นเข้าไป ยังส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ เพื่อระบายความร้อนของเครื่องยนต์ ฉะนั้นการดูแลรักษา ควรทำการปรับตั้งสายพานให้ตึง เพื่อการส่งถ่ายกำลังเครื่องยนต์ไปยังชุดปั๊มน้ำได้ดียิ่งขึ้น ถ้าสายพานมีรอยแตกร้าวฉีกขาด ก็ควรที่จะเปลี่ยนสายพานใหม่ทันที และนอกจากสายพานที่ต้องให้การดูแลแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เช่นกันคือ ชุดท่อยาง ด้วยระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์มีชุดท่อยางต่างๆมาก การดูแลรักษาชุดท่อยางควรที่จะตรวจท่อยางต่างๆว่ามีรอยแตกร้าวหรือไม่ ถ้ามีควรที่จะทำการเปลี่ยน และตรวจเช็คเข็มขัดรัดท่อยางหให้แน่นทุกจุด
เพียงท่านดูแลรักษาระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ได้ครบทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมา ก็จะทำให้ท่านขับขี่รถยนต์ท่องเที่ยวไปได้อย่างสบายใจ ไม่มีปัญหาเรื่องความร้อนอย่างแน่นอนครับ
ด้วยความปราถนาดีจากเรา ประกันภัยรถยนต์
วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556
7 ข้อควรจำสำหรับคนขับรถทางไกล "หน้าเทศกาล"
ความจริงแล้วเราน่าจะมาพูดเรื่องนี้ก่อนช่วงเดินทางสงกรานต์ แม้เราจะรู้ดีว่า หลายคนอาจจะพลาดที่ไม่ได้ บทความนี้ แต่ถือไว้ว่าเก็บไว้ใช้ในครั้งหน้าสำหรับการเดินทาง ที่เราก็ขอให้ทุกคนไปมาโดยสวัสดิภาพ แล้วกลับมาอ่านเรากันเยอะๆ
ที่ผ่านมาทุกครั้งที่มีเทศกาลเดินทางเรามารีวิวบทความย้อนหลัง ดูเหมือนว่า เราจะมีการพูดถึงตัวรถไปมาก แต่ว่าความจริงแล้วการขับรถให้มีประสิทธิภาพไม่ได้มีแค่ในส่วนของรถยนต์ตัวมันเองเท่านั้น แต่คนขับก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน และเรามี 6 ข้อ สำคัญ สำหรับคนเดินทางที่รู้ไว้ใช่ว่า มันช่วยคุณได้
1. นอนหลับให้พอ การขับรถเดินทางไกล สิ่งสำคัญ คือคุณควรนอนหลับให้เพียงพอต่อการเดินทาง ควรนอนสะสมให้ครบ 8 ชั่วโมง หรือ 6 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำเพื่อลดการง่วงขณะขับขี่ ซึ่งสามารถเป็นต้นเหตุของการหลับในได้
2.งดเหล้าเบียร์ และยาที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท การทานยาเหล้า-เบียร์มีผลทำให้ร่างกายอ่อนล้า เช่นเดียวกับยากดประสาทประเภทต่าง เช่น ยาแก้แพ้ ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการขับขี่ลดลงได้
3.ท่านั่งที่ถูกต้อง หลายคนมักนั่งขับรถไม่ถูกต้อง ด้วยความกังวลว่ามันจะไม่สบาย แต่ความจริงแล้วท่านั่งขับขี่คือสิ่งที่สำคัญต่อการขับรถ เพราะช่วยให้คุณไม่เมื่อยล้า หรือนั่งผิดท่า ซึ่งทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่ดี และนำมาสู่ความเหนื่อยอ่อนการขับขี่หรืออาการหลับในได้
ท่านั่งที่ดีควรอยู่ในท่าที่นั่งสบาย โดยมีพนักพิงโอบกระชับสะโพกและแผ่นหลัง ที่สำคัญไม่ควรนั่งชิดพวงมาลัยจนเกินไป ให้ใช้ข้อมือวัด1 ช่วงแขนจากพวงมาลัย คือจุดที่ดีที่สุดในการขับขี่
4.หาคนช่วยขับถ้าไปทางไกล บางครั้งเราต้องยอมรับว่าการเดินทางไกลค่อนข้างจะทำให้เกิดอาการเหนื่อยล้าหรือเพลียได้ บางทีการหาเพื่อนที่สามารถขับรถได้นั่งไปด้วยก็ย่อยจะเป็นทางออกที่ดีกว่า ในการทำให้การเดินทางปลอดภัยยิ่งขึ้น แต่คุณก็ควรเลือกคนที่มีความชำนาญในการขับขี่ด้วย แต่หากเพื่อคุณไม่ชำนาญทางก็อาจจะสลับกันขับในช่วงที่คิดว่าเป็นจุดเสี่ยงก็ได้
5.พักรถทุก 2 ชั่วโมง การเดินทางไกลย่อมมีการเมื่อยล้าเป็นธรรมดา และเราขอแนะนำว่า คุณควรจอดพักสักครู่ ทุกๆ 2 ชั่วโมง หรือ 110 กิโลเมตร โดยประมาณ เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย ที่สำคัญอย่าลืมแวะเข้าห้องน้ำ เพื่อผ่อนคลายร่างกลายตัวเอง
6. น้ำเปล่า..ออพชั่นความสดชื่น หลายคนขับรถส่วนใหญ่มักจะเกิดความเมื่อยล้ากลางทาง และการคลายเครียดที่ดี อาจจะอยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร แต่ว่า น้ำคือสิ่งที่สามารถดับกระหายได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับที่มันช่วยในการผ่อนคลายความเครียดได้ ซึ่งการดื่มน้ำขณะขับรถจะสามารถช่วยผ่อนคลายได้ในระดับหนึ่ง และสามารถเพิ่มความสดชื่นได้ รวมถึงยังช่วยลดอาการเส้นเลือดดำอุดตันจากการนั่งขับขี่เป็นระยะเวลานานๆ
7.คลายความเหนื่อยด้วยลมธรรมชาติ และจังหวะเพลง การขับรถในทางไกลแม้จะเมื่อยล้า แต่ถ้าคุณง่วงหรือเพลียมากๆ ลองปิดแอร์แล้วเปิดกระจกรับลมธรรมชาติสามารถช่วยให้คุณดื่มด่ำกับ ลมสดชื่นระหว่างการเดินทาง ที่สำคัญวิทยุก็เป็นอีกสิ่งที่ช่วยได้ถ้าอ่อนล้า พยายามหาเพลงที่มีจังหวะสนุกสนาน จะช่วยให้คุณตื่นตัวขณะขับขี่
ทั้ง 7 ข้อที่กล่าวมานี้เราหวังว่าจะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างปลอดภัย ในช่วงวันเทศกาลต่างๆ ไม่เพียงเฉพาะเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น ยังไง ก็ข้อทุกคนเดินทางไป-มา ปลอดภัย ในทุกเส้นทาง.ครับ
เพื่อความไม่ประมาณของผู้ขับขี่ ด้วยความปราถนาดีจาก ประกันภัยรถยนต์
วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556
เทคโนโลยี Turbo-Super Charger และ Variable Cylinder ช่วยประหยัดน้ำมัน
ทุกวันนี้รถประหยัดน้ำมันกำลังได้รับความนิยมอย่างมากไม่ว่าจะเป็นรถอีโค่คาร์ รถยนต์ไฮบริด และรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วยก็ได้การตอบรับมากขึ้นเรื่อย ๆ ทางค่ายรถยนต์ต่างก็แข่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบทางการตลาดกันอย่างขมักเขม้น ส่วนเทคโนโลยีที่เราจะนำเสนอในวันนี้เป็นมีอยู่ 2 ระบบคือ Turbo-Super Charger และเทคโนโลยีสูบแปรผัน Variable Cylinder Turbo-Super Charger : เทคโนโลยีสำหรับเค้นพลังจากขุมพลังบล็อกเล็ก
เรื่องนี้เราเคยพูดถึงกันไปครั้งหนึ่งแล้วกับไอเดียในการเพิ่มพลังจากขุม พลังรุ่นเล็กให้สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสมในรถที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
เทอร์โบนั้นแต่ดั้งเดิมเป็นที่รู้กันว่ามันคือชุดเพิ่มพลังให้กับเครื่อง ยนต์นิยมมากในรถสปอร์ตทั้งรุ่นเล็ก-รุ่นใหญ่พกมาให้ได้ขับสนุกกันแทบทุกรุ่น แต่ในยุคที่น้ำมันแพงนี้เทอร์โบก็กลับมาอีกครั้งในหน้าที่เดิม แต่ค่ายรถยนต์หลายเจ้าก็ใช้ให้มันเป็นประโยชน์ในการสร้างพลังจากเครื่องยนต์ บล็อกเล็กให้ตอบสนองได้เทียบเท่าเครื่องรุ่นใหญ่
ข้อดีของการใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กลงนั้น อยู่ที่อัตราประหยัดที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน จากขนาดเครื่องที่ลดลงแม้การพ่วงเทอร์โบเข้ามานั้นจะทำให้มีอัตราสิ้นเปลือง มากขึ้น แต่ก็ดีกว่าการใช้เครื่องยนต์บล็อกใหญ่ เพราะตามหลักแล้วเครื่องขนาดเล็กยิ่งซดน้ำมันน้อย เพียงแต่เทอร์โบเหมือนการทำให้มันเบ่งพลังได้ดีขึ้นเท่านั้นเอง
Variable Cylinder : เทคโนโลยีสูบแปรผันของเล่นใหม่ที่มาแล้วในหลายรุ่น ปัจจุบันเราหลายคนคงเคยได้ยินและรู้จักกับระบบวาล์วแปรผันที่ถือเป็น หนึ่งในนวัตกรรมเครื่องยนต์ยุคใหม่ที่อัดแน่นอนมาเต็มที่เพื่อเพิ่มสมรรถนะ การขับขี่มากกว่าการประหยัดน้ำมัน
สมรรถนะที่ดีขึ้นอาจหมายถึงการขับขี่ที่เร้าใจ แต่กับการประหยัดน้ำมันแล้วการทำให้เครื่องยนต์มีปริมาตรที่แปรผันถือเป็น ทางออกที่ดีที่สุด และไม่ว่าคุณจะรู้หรือไม่ มันก็มีมานานตั้งแต่ช่วงปี 2006 แล้วในรถหลายรุ่น โดยเฉพาะรถยนต์ยี่ห้อ Honda ที่สำคัญมีวางขายในบ้านเราด้วย
เทคโนโลยีสูบแปรผันนี้ปัจจุบันจะมีอยู่ในเครื่องยนต์รุ่นใหญ่ที่มีการทำ งานตั้งแต่ 6 สูบ ขึ้นไป โดยใช้วิธีการไม่สั่งจ่ายน้ำมันหรือจุดระเบิดในสูบนั้น ทำให้ลดอัตราสิ้นเปลืองในยามที่ไม่ได้ใช้พละกำลังขับขี่มากนัก โดยเฉพาะการขับขี่ในเขตเมือง หรือ เมื่อความเร็วคงที่ สูบที่จุดระเบิดจะไม่มีผลใดๆ ต่อการสึกหรอเครื่องยนต์
ทั้ง หมดที่กล่าวมานี้หลายเทคโนโลยีเริ่มถูกเติมเข้ามาแล้วในรถรุ่นใหม่ ที่ยังไม่นับรวมการเปิดกว้างในการใช้พลังงานทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้นในรถ รุ่น ซึ่งใครที่กำลังต้องการรถยนต์ที่สามารถตอบสนองการใช้งานในเรื่องความประหยัด นั้นคงต้องมองกันอย่าถี่ถ้วนสักนิด เพราะซื้อรถสักคันนั้นก็หลายตังค์แถมยังต้องใช้ไปอีกนาน 4-5 ปี
ความรู้เล็ก ๆ ที่ทางเรา ประกันภัยรถยนต์ นำมาฝากทุท่าน
วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556
วิธีเพิ่มอายุการใช้งานของ "ยางรถยนต์"
ยางรถยนต์ยี่ห้อต่าง ๆ ที่เข้ามาขายในประเทศทไทยมีลักษณะการผลิตที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งยางที่มีความนุ่มนิ่มนวลในการขับขี่ ยางที่มีความแข็งสำหรับรถแข่งเพื่อให้การเข้าโค้งที่หนึบไม่ย้วย ดังนั้นในการเลือกใช้งานยางรถยนต์จึงต้องเลือกตามทีจุดประสงค์ที่ใช้งาน ซึ่งยางรถยนต์ยังเป็นชิ้นส่วนเดียวของรถยนต์ที่สัมผัสกับพื้นถนน ดังนั้นเมื่อมีการใช้งานไปนาน ๆ ยางก็ย่อมเกิดการสึกหรอหากแต่การสึกหรอของดอกยางจากการใช้งานของผู้ขับขี่ แต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งาน และการดูแลรักษาเป็นสำคัญ นอกจากนี้ อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อีกด้วย ซึ่งปัจจัยหลักที่มีผลต่อการสึกหรอมีดังนี้
ความดันลมยาง การเติมลมยางอ่อนกว่ามาตรฐานทำให้อายุยางสั้นลง บริเวณไหล่ยางจะเกิดความร้อนสูง และสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น ซึ่งอาจทำให้เนื้อยางไหม้ และโครงสร้างยางแยกตัวออกจากกัน อันนำไปสู่การบวมล่อน และระเบิดของยาง นอกจากนี้อาจทำให้โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาดหรือหักได้ และยังเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันอีกด้วย
การเติมลมยางมากเกินไปไม่เป็นผลดีเช่นกัน เนื่องจากพื้นที่สัมผัสของหน้ายางกับพื้นถนน ลดลง อาจทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่าย และโครงยางอาจ ระเบิดได้ง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก หรือถูกตำ เนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็มที่เกิดการยืดหยุ่นตัวได้น้อยอายุยางก็จะลดน้อย ลง
เนื่องจากดอกยางจะสึกบริเวณตอนกลางมากกว่าส่วนอื่น และทำให้ความนุ่มนวลในขณะขับขี่ลดลงอีกด้วยน้ำหนัก บรรทุก การบรรทุกน้ำหนักมากเกินไป จะทำให้มีการบิดตัวบริเวณหน้ายางที่สัมผัสพื้นผิวถนนมาก ทำให้เกิดความร้อนได้ง่าย เป็นผลให้มีการสึกหรอ ของเนื้อยางอย่างรวดเร็ว อายุยางก็จะสั้นลงความเร็ว ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูง จะมีแรงเสียดทานและความร้อนที่เกิดขึ้นตามมาด้วย ซึ่งจะมีผลต่อความต้านทานต่อการสึกหรอ ทำให้อายุของยางลดลงตามไปด้วยการ เบรกและการออกตัว ในขณะที่รถยนต์วิ่งอยู่บนถนนจะเกิดแรงเฉื่อย ซึ่งมีค่าสูงกว่า ความเร็ว ดังนั้น เมื่อเบรกจนล้อหยุดหมุนแล้ว แรงเฉื่อยของตัวรถจะดันให้ล้อลื่นไถลไปกับพื้นถนน ทำให้ยางเกิดการสึกหรอ ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเร็วและระยะในการเบรกเป็นสำคัญ ส่วนการออกตัวอย่างรุนแรง ทำให้ล้อหมุนฟรี หน้ายางจะเสียดสีกับพื้นถนนอย่างหนัก ทำให้ยางสึกหรอเร็วขึ้นสภาพ รถยนต์ เช่น ช่วงล่างและศูนย์ล้อ มีผลอย่างมากกับการสึกหรอ ที่รวดเร็ว หากระบบศูนย์ล้อผิดพลาดไปจากสเปกของรถ จะทำให้เกิดแรงเสียดทานและลื่นไถลที่หน้ายางมากกว่าปรกติสภาพ ผิวถนน ผิวถนนยิ่งราบเรียบมาก ยางก็จะยิ่งสึกหรอช้า ใช้งานได้นานกว่าการขับรถบนถนนที่ขรุขระ เพราะความต้านทานต่อการหมุนบนถนนเรียบมีน้อยกว่า ยางจึงเสียดสีกับผิวถนนเพื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยแรง ที่น้อยกว่า นอกจากนี้ลักษณะเส้นทางก็มีผลเช่นกัน การขับขี่บนทางตรงจะเกิดการสึกหรอช้ากว่าการขับขึ้นเขา หรือขับบนถนนที่คดเคี้ยวสภาพอากาศ ยางรถยนต์มีส่วนผสมหลักเป็นยางธรรมชาติ จึงทนต่ออุณหภูมิสูงได้น้อยกว่ายางสังเคราะห์ ดังนั้น หากยางเกิดความร้อนมากขึ้นจากการใช้งาน ก็จะยิ่งส่งผลต่อการสึกหรอที่รวดเร็วและนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่ ทำให้ยางของรถคุณสึกหรอ คงทำให้หลายคนหายสงสัยกันได้บ้างว่าการสึกหรอของยางนั้นมาจากสาเหตุใด
เทคนิดดี ๆ ที่เราทาง ประกันภัยรถยนต์ นำมมาฝากทุกท่าน
ความดันลมยาง การเติมลมยางอ่อนกว่ามาตรฐานทำให้อายุยางสั้นลง บริเวณไหล่ยางจะเกิดความร้อนสูง และสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น ซึ่งอาจทำให้เนื้อยางไหม้ และโครงสร้างยางแยกตัวออกจากกัน อันนำไปสู่การบวมล่อน และระเบิดของยาง นอกจากนี้อาจทำให้โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาดหรือหักได้ และยังเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันอีกด้วย
การเติมลมยางมากเกินไปไม่เป็นผลดีเช่นกัน เนื่องจากพื้นที่สัมผัสของหน้ายางกับพื้นถนน ลดลง อาจทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่าย และโครงยางอาจ ระเบิดได้ง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก หรือถูกตำ เนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็มที่เกิดการยืดหยุ่นตัวได้น้อยอายุยางก็จะลดน้อย ลง
เนื่องจากดอกยางจะสึกบริเวณตอนกลางมากกว่าส่วนอื่น และทำให้ความนุ่มนวลในขณะขับขี่ลดลงอีกด้วยน้ำหนัก บรรทุก การบรรทุกน้ำหนักมากเกินไป จะทำให้มีการบิดตัวบริเวณหน้ายางที่สัมผัสพื้นผิวถนนมาก ทำให้เกิดความร้อนได้ง่าย เป็นผลให้มีการสึกหรอ ของเนื้อยางอย่างรวดเร็ว อายุยางก็จะสั้นลงความเร็ว ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูง จะมีแรงเสียดทานและความร้อนที่เกิดขึ้นตามมาด้วย ซึ่งจะมีผลต่อความต้านทานต่อการสึกหรอ ทำให้อายุของยางลดลงตามไปด้วยการ เบรกและการออกตัว ในขณะที่รถยนต์วิ่งอยู่บนถนนจะเกิดแรงเฉื่อย ซึ่งมีค่าสูงกว่า ความเร็ว ดังนั้น เมื่อเบรกจนล้อหยุดหมุนแล้ว แรงเฉื่อยของตัวรถจะดันให้ล้อลื่นไถลไปกับพื้นถนน ทำให้ยางเกิดการสึกหรอ ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเร็วและระยะในการเบรกเป็นสำคัญ ส่วนการออกตัวอย่างรุนแรง ทำให้ล้อหมุนฟรี หน้ายางจะเสียดสีกับพื้นถนนอย่างหนัก ทำให้ยางสึกหรอเร็วขึ้นสภาพ รถยนต์ เช่น ช่วงล่างและศูนย์ล้อ มีผลอย่างมากกับการสึกหรอ ที่รวดเร็ว หากระบบศูนย์ล้อผิดพลาดไปจากสเปกของรถ จะทำให้เกิดแรงเสียดทานและลื่นไถลที่หน้ายางมากกว่าปรกติสภาพ ผิวถนน ผิวถนนยิ่งราบเรียบมาก ยางก็จะยิ่งสึกหรอช้า ใช้งานได้นานกว่าการขับรถบนถนนที่ขรุขระ เพราะความต้านทานต่อการหมุนบนถนนเรียบมีน้อยกว่า ยางจึงเสียดสีกับผิวถนนเพื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยแรง ที่น้อยกว่า นอกจากนี้ลักษณะเส้นทางก็มีผลเช่นกัน การขับขี่บนทางตรงจะเกิดการสึกหรอช้ากว่าการขับขึ้นเขา หรือขับบนถนนที่คดเคี้ยวสภาพอากาศ ยางรถยนต์มีส่วนผสมหลักเป็นยางธรรมชาติ จึงทนต่ออุณหภูมิสูงได้น้อยกว่ายางสังเคราะห์ ดังนั้น หากยางเกิดความร้อนมากขึ้นจากการใช้งาน ก็จะยิ่งส่งผลต่อการสึกหรอที่รวดเร็วและนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่ ทำให้ยางของรถคุณสึกหรอ คงทำให้หลายคนหายสงสัยกันได้บ้างว่าการสึกหรอของยางนั้นมาจากสาเหตุใด
เทคนิดดี ๆ ที่เราทาง ประกันภัยรถยนต์ นำมมาฝากทุกท่าน
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556
ไม่ยากถ้าอยากดูแล"พรม"
- ขณะที่ท่านก้าวขึ้นรถควรขจัดสิ่งสกปรก เช่น โคลน ทราย กรวด หรือหินที่ติดมากับรองเท้าให้ร่วงหลุดไปบนพื้นถนนก่อนที่จะก้าวขึ้นรถ
- ควรปัดหรือดูดฝุ่นอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ซึ่งถ้าหากเจ้าของรถไม่สะดวกที่จะทำเองก็สามารถใช้บริการนี้ได้จากสถานนีบริการ ทั่วๆ ไป
- ใช้แผ่นยางซึ่งมีขายอยู่ทั่วๆ ไปปูทับบนพื้นพรมบริเวณที่มักจะถูกรองเท้าสัมผัสบ่อยๆ เพื่อเป็นตัวรองรับกรวดทรายหรือฝุ่น ซึ่ง พรมรองเท้าหรือแผ่นยางนี้จะสามารถนำออกมาทำความสะอาดได้โดยสะดวก
- ถ้าพรมเปียกน้ำเพียงเล็กน้อย ให้นำผ้าหรือกระดาษทิชชูมาซับน้ำออก นำรถจอดไว้กลางแดดโดยเปิดกระจกทิ้งไว้ ความร้อนจะช่วยทำ ให้พรมแห้งแต่ในกรณีที่น้ำเปียกพรมมาก ควรถอดเบาะนั่งออกก่อน หลังจากนั้นจึงถอดพรมออกมาซักแล้วผึ่งแดดจัดๆ เหมือนการตากผ้าทั่วไป เพียงแต่อาจต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 2 วัน หรือจนกว่าพรมจะแห้ง สนิท จึงนำเข้าที่ตามเดิม ซึ่งหากท่านไม่สามารถถอดอุปกรณ์ต่างๆ ได้ด้วยตนเอง วิธีที่ดีที่สุด คือนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อให้ช่างที่ชำนาญถอดพรมออกซัก
- พรมเปื้อนโคลนหรืออาเจียน การทำความสะอาดที่ถูกวิธีควรใช้อุปกรณ์ตักเซาะเอาเศษความสกปรกออก หลังจากนั้นใช้ผ้าแห้งที่สะอาดหรือกระดาษซับความเปียกชื้นออกไปจนหมาด ควรเช็ดจากวงนอกเข้าไปกลางจุดที่เปื้อนเพื่อป้องกันความสกปรกขยายวงกว้างออกไป ถ้าความสกปรกยังไม่หมดไปใช้แชมพูซักพรมฉีดบริเวณนั้น หากภาย ในรถของท่านยังมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ติดอยู่ ควรนำรถไปจอดกลางแดดที่ร้อนจัดปิดกระจกทุกบานไว้ประมาณ 2-5 ชั่วโมง จึงค่อยเปิดประตูรถให้ลมพัดผ่าน ความร้อนจากแสงแดดจะช่วยทำลายกลิ่นให้ จางลงหรือหมดไป หากยังไม่หายสนิทก็ทำซ้ำเช่นนี้อีกจนกว่ากลิ่นจะจางลงไป
- หมากฝรั่งติดพรม การขูดเซาะออกขณะที่หมากฝรั่งอ่อนตัวทำได้ยาก เนื่องจากหมากฝรั่งจะเหนียวทำให้เกิดความเสียหายกับเนื้อพรมได้ และถ้าไม่ระวังหมากฝรั่งอาจจะเลอะเทอะกระจายเพิ่มขึ้น วิธีที่พึงปฏิบัติคือใช้ก้อนน้ำแข็งมาประคบที่หมากฝรั่งให้เย็นจนแข็งตัว จากนั้นก็ใช้ช้อนขูดออก จะทำให้หมากฝรั่งหลุดออกได้ง่ายขึ้น
- พรมเปื้อนสารเคมี ในกรณีที่พรมเปื้อนสารเคมีที่เกิดจากน้ำยาทาเล็บ น้ำมันเครื่องหรือไขจาระบี การซักด้วยน้ำเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่สามารถล้างคราบของสารเคมีออกได้หมด เพราะจะมีความมันติดหลงเหลืออยู่ ควรใช้แชมพูสำหรับซักพรมโดยเฉพาะ มาทำการล้างออกทันทีก่อนที่สารเคมีเหล่านี้จะจับนาน ซึ่งอาจจะทำให้ล้างออกยาก
ความรู้ดี ๆ ที่ทางเรา ประกันภัยรถยนต์ นำมาฝากทุกท่าน
วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556
ขับรถให้ถูกท่าจะช่วยรักษาหลัง
ในปัจจุบันรถยนต์ถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตประจำวันสำหรับมนุษย์ เนื่องจากคนต้องใช้รถยนต์เป็นพาหนะไปทำงาน
เทคนิดดี ๆ เพื่อสุขภาพของคุณ ที่ทางเรา ประกันภัยรถยนต์ นำมาฝาก
วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556
เทคนิคการจอดรถบนทางลาดชัน
หากเลือกได้คงไม่มีใครอยากจอดรถบนทางลาดชัน เพราะการจอดรถบนทางลาดชันนั้นรถของคุณอาจเกิดการเคลื่อนไหลได้ จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการจอดเป็นพิเศษกว่าจอดบนพื้นราบปกติ โดยมีเทคนิคดังนี้
- ควรหมุนพวงมาลัยให้ล้อหน้าเลี้ยวไปทางขอบทาง/ฟุตบาท/กำแพง เพราะหากกรณีรถเกิดการเคลื่อนที่ไหล จะได้ถูกเบรคโดยขอบทาง/ฟุตบาท/กำแพงครับ
- กรณีจอดรถไม่ชิดขอบทาง ไม่มีขอบทาง/ฟุตบาท/กำแพง ควรหมุนพวงมาลัยให้ล้อหน้าเลี้ยวไปทางด้านตรงข้ามถนน เพราะหากกรณีรถเกิดการเคลื่อนที่ไหลจะได้ไม่กีดขวางการจราจรครับ
- ดับเครื่องยนต์ และดึงเบรกมือขึ้นจนสุด
- เลื่อนคันเกียร์ไปยังตำแหน่งถอยหลัง (เกียร์ธรรมดา) หรือเข้าตำแหน่งเกียร์ P (เกียร์อัตโนมัติ) เพื่อป้องกันไม่ให้รถเคลื่อนที่ไหลถอยหลัง
- เพื่อความมั่นใจยิ่งขึ้น ควรหาก้อนหินมารองหลังล้อด้วยครับ
- เมื่อท่านจอดรถในที่ปลอดภัยได้แล้ว ก่อนการออกตัวก็สำคัญเช่นกัน อย่าลืมว่าล้อของท่านยังอยู่ในตำแหน่งเลี้ยวและมีก้อนหินรองล้ออยู่ด้วย
เทคนิคดี ๆ ที่ทางเรา ประกันภัยรถยนต์
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556
คปภ.จับมือประกันภัยตรวจสภาพรถยนต์ฟรี
คปภ.ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมสหมิตรการซ่อมรถยนต์แห่งประเทศไทย จัดกิจกรรม “ตรวจรถยนต์ก่อนเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2556”
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนที่จะเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว เข้าใช้บริการตรวจสอบสภาพรถยนต์ฟรีก่อนเดินทาง และขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ด้วยความไม่ประมาท ตลอดจนตรวจสอบวันหมดอายุการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ก่อนเดินทางด้วยเพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น การทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของท่านได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนประกันภัย 1186 หรือ www.oic.or.th
นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. และภาคอุสาหกรรมประกันภัย ร่วมมือกันจัดโครงการรณรงค์ลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2556 โดยในช่วงแรกจะเป็นกิจกรรมตรวจสภาพการทำงานของรถยนต์ก่อนออกเดินทาง เช่น ระดับน้ำมันเกียร์ ระดับน้ำในหม้อน้ำ หม้อพัก และน้ำหล่อเย็น ระดับน้ำมันเบรก แบตเตอร์รี่ แรงดันลมยาง และสภาพยางรถยนต์ ระบบไฟส่องสว่าง ไฟเลี้ยว ไฟเบรก รวมถึงระบบเครื่องปรับอากาศ เพื่อร่วมรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางท่องเที่ยว หรือกลับภูมิลำเนา การตรวจสอบสภาพรถยนต์ให้พร้อมก่อนใช้งาน เป็นการช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้ทางหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมรณรงค์ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ภายใต้คำขวัญ “ขับขี่ปลอดภัย ประกันภัยห่วงใยคุณ” โดยการจัดตั้งศูนย์บริการร่วมประกันภัยครบวงจร ซึ่งกำหนดเปิดตัว ในวันศุกร์ที่ 29 มี.ค 2556 เวลา 10.00 น. ณ ลานอเนกประสงค์ สำนักงาน คปภ.
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนที่จะเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว เข้าใช้บริการตรวจสอบสภาพรถยนต์ฟรีก่อนเดินทาง และขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ด้วยความไม่ประมาท ตลอดจนตรวจสอบวันหมดอายุการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ก่อนเดินทางด้วยเพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น การทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของท่านได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนประกันภัย 1186 หรือ www.oic.or.th
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556
เกียร์มีเสียงดัง
| ||
การพิจารณาแก้ไขปัญหานี้นอกจากจะมองถึงระยะห่างของร่องเฟืองแล้วยังต้องมองถึงระยะชิดกันของเฟืองต่อเฟือง (End play) ที่อยู่ในแถวเดียวกันด้วย ในหลายๆ กรณีที่ระยะห่างของ เฟืองต่อเฟือง ที่ขบกันจะมีระยะห่างที่พอดีหรือเหมาะสมตามที่ผู้ผลิตได้กำหนดหรือออกแบบไว้แล้ว แต่ระยะชิดกันของเฟืองต่อเฟืองถ้าพลาดไปจากที่ถูกออกแบบไว้ (เศษของพันมิลลิเมตร) ก็จะทำให้เฟืองเบียดกันส่งผลถึงการขบกันระหว่างที่ผิดไป เสียงดังก็จะเกิดขึ้นมีมากมายหลายคำถามที่บอกว่าแล้วชุดคลัตช์มาเกี่ยวด้วยอย่างไร เพราะเมื่อแตะ กด เหยียบคลัตช์เพียงเบาๆ เสียงที่ได้ยินก็เงียบหายไป คำตอบมีอยู่ว่าทันทีที่เท้ากดไปบนแป้นคลัตช์ ลูกปืนคลัตช์ในหัวหมูเกียร์จะวิ่งไปกดแผ่นกดคลัตช์ทำให้ผ้าคลัตช์ถอยห่างจากฟลายวีล กำลังงานจากเครื่องยนต์ก็จะหยุดอยู่ที่ฟลายวีลเท่านั้นกระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่เรียกว่า คลัตช์จาก เมื่อคลัตช์จากเฟืองเกียร์สี่ไม่หมุน ชุดเพลารองไม่หมุนตาม ทุกส่วนในห้องเกียร์หยุดการเคลื่อนไหว เสียงที่ได้ยิน (เหล็กกับเหล็กกระทบกัน) จึงไม่มี เกียร์ครางเมื่อเกียร์ว่างเกิดขึ้นได้กับทั้งรถใหม่และรถเก่าถ้าเป็นรถเก่าเฟืองเกียร์สึกหรอ ระยะชิดของเฟืองในแถวจะห่างกันแก้ไขโดยการเปลี่ยนเฟืองเกียร์หรือปรับตั้งทั้งระยะห่างและระยะชิด รถใหม่ (ไม่ถึงหกหมื่นกิโลเมตร)ผ่าเกียร์ตรวจสอบระยะห่างแบกแลชและระยะชิด (End play) แล้วปรับตั้งใหม่ หรือออกแบบเฟืองเกียร์ ปรับปรุงวัสดุ กันใหม่ แน่นอนครับที่ผู้ผลิต (รถใหม่) ยากที่จะยอมรับความจริงในข้อนี้
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556
เทคนิคการขับรถให้ปลอดภัยยามค่ำคืน
| ||
1. รู้สถานะตัวเองก่อนขับ เราไม่ได้บอกให้คุณตั้ง Status แต่การรู้ว่าเรากำลังเป็นอย่างไรก่อนขึ้นขับรถในยามค่ำคืนนั้นคือเรื่อง สำคัญ โดยมาก สิ่งที่เลี่ยงได้ยากสำหรับการขับรถในยามค่ำคืน คือการเหนื่อยล้า บรรยากาศที่เงียบสงบนั้นชวนหลายคน "หลับใน" ได้ อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องสงสัย และถ้าคุณรู้สถานะตัวเองว่า เหนื่อย เพลีย อ่อนล้า ก็ทำให้เราหาทางแก้ เช่นการหาเพลงคึกๆมันส์ๆ ฟัง ช่วยให้กระปรี้กระเปร่ายิ่งขึ้น ไม่มากก็น้อย หรือถ้าไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ ก็จอดข้างทาง พักผ่อนสักนิด โดยเฉพาะ หากคุณเดินทางไกล ช่วยลดความเสี่ยงได้ | ||
2. อย่าเข้าใกล้รถที่มีพฤติกรรมแปลกๆ เมื่อคุณเดินทางยามค่ำคืน สิ่งที่ควรจำคือ แม้คุณจะพร้อม แต่อย่างวางใจในเพื่อนร่วมทาง เพราะเพื่อนร่วมทางนี่แหละที่สำคัญที่สุด และบ่อยครั้งที่อุบัติเหตุนั้นมีเพื่อนร่วมทางเป็นส่วนสำคัญ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเวลาขับรถในยามค่ำคืนนั้น คงไม่พ้นการที่ต้องระแวดระวัง โดยเฉพาะรถยนต์ที่เดินทางไปกับเรา ซึ่งบางครั้งมีพฤติกรรมแปลกๆ เช่นขับเร็วผิดปกติ หรือมีอาการเลื้อย-ส่าย ขับรถไม่ตรงเลน/กินเลนและ เด็กแว้นซ์ จงพึงระวังและทางที่ดี ถ้าเจอเจ้าหน้าที่ด้านหน้า ให้บอกเจ้าหน้าที่ เพราะคุณอาจเป็นส่วนหนึ่งช่วยให้ถนนปลอดภัยมากขึ้นก็ได้ 3. มองให้ละเอียดก่อนใช้ความเร็ว ลายครั้งโดยเฉพาะในต่างจังหวันั้น ถนนจะไร้ไฟส่องทาง และเมื่อความมืดเข้ามาเยือนนั้น มันก็ทำให้การสัญจรยิ่งอันตรายมากขึ้น หลายครั้งความประมาทของอุบัติเหตุเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และความมืดถือเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการขับขี่ ดังนั้น พยายามมองให้ดี ถ้าไม่มีรถสวนไฟสูงก็สามารถช่วยได้ เช่นเดียวกับไฟตัดหมอก ที่ช่วยเพิ่มระยะการมองเห็นได้ โดยเฉพาะการขับขี่ในต่างจังหวัด | ||
4 ระแวดระวังตามแยกต่างๆ ทางตัดและทางแยก ถือเป็นจุดสำคัญในการขับขี่ยามค่ำคืน เนื่องจากเมื่อการจราจรเบาบางจุดเหล่านี้นั้นมักจะกลายเป็นไฟเหลืองกระพริบ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จนสนใจ อันที่จริงไฟเหลืองที่ติดแทนการปล่อยสัญญาณไฟฟ คือการบอกให้ระวัง และจุดตัดต่างๆเหล่านี้ มันกลายเป็นจุดเกิดเหตุที่บ่อยๆพอๆ กับช่วงทางโค้งอันตราย ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการชะลอความเร็ว จะดีกว่า 5. เคารพกฏจราจรอย่าเคร่งครัด ยิ่งค่ำคืน แม้ถนนจะโล่งแต่สิ่งที่ละเลยไม่ได้คิอเรื่องของกฏจราจร หลายคนมักจะละเลยการปฏิบัติตามกฏทำให้บ่อยครั้งเป้นต้นเหตุของอุบัติเหตุ หรือไม่ก็เกิดอุบัติเหตุเสียเอง ดังนั้นจำไว้ว่าเคารพกฏให้มากที่สุด เพราะหากคุณไร้ซึ่งกฏโอกาสเสี่ยงก็จะเยอะขึ้นนั่นเอง ด้วยความหวังดีจากเรา ประกันภัยรถยนต์ |
วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556
ตรวจเช็ครถก่อนเดินทางไกล "วันสงกรานต์"
ใกล้ถึงวันสงกรานต์เข้ามาเต็มที หลาย ๆ คนอาจต้องขับรถเดินทางไกล ๆ เนื่องด้วยปัญหารถติดทำให้การเดินทางต้องใช้ระยะเวลาเพิ่มมายิ่งขึ้น ทำให้ต้องใช้งานรถยนต์มากขึ้นและคงไม่ดีแน่หากรถเสียกลางทาง ดังนั้นเราควรจะตรวจเช็คสภาพรถยนต์เบี้ยงต้นก่อนเดินทางเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ครับ | ||
หลายครั้งที่เราได้กล่าวว่า " ดูแลรถแล้วรถจะดูแลเรา" แต่ดูเหมือนเรื่องนี้จะยังไม่เป็นที่สนใจหรือใส่ใจ อะไรมากมายนัก เพราะหลายคนมักคิดว่า ตราบใดที่รถยังสามารถสตาร์ทติดและวิ่งได้ก็ไม่ใช่ปัญหา ทั้งที่ความจริงแค่สาเหตุเล็กๆ ก็อาจจะทำให้คุณกลับบ้านไม่ปลอดภัย หรือไปไม่ถึงที่หมาย และต่อไปนี้คือ 5 สิ่งที่ควรตรวจก่อนที่จะออกเดินทาง 1.เบรค สิ่งที่หลายคนมักลืมไปทั้งที่เราใช้กันเป็นประจำอย่าง "เบรค" ไปเสียสนิท เพราะหยุดทีไรเหยียบๆไปมันก็อยู่ทุกที แต่ใครใช้รถมาระยะเวลานานก็ควร จะลองตรวจเช็คเบรคก่อนเดินทางบ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายที่จะทำ ซึ่งหากตรวจพบว่า เบรคคุณใกล้หมด และต้องเดินทางไปยังเส้นทางที่มีความชัน เช่นทางเหนือ ควรจะเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่เสียก่อนเดินทาง | ||
2.ระบบกันสะเทือนและการบังคับล้อ ช่วงล่างก็สำคัญไม่แพ้กันต่อการเดินทาง โดยเฉพาะในส่วนของระบบบังคับเลี้ยวเองควรตรวจสอบการตอบสนอง พวงมาลัยที่ดีไม่ควรมีระยะหมุนฟรีทิ้ง เมื่อเราหมุนพวงมาลัย ส่วนช่วงล่างๆอื่น ควรตรวจสอบให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ไม่ควรมีรอยรั่วซึมของน้ำมันที่กระบอกโชก หรือลูกยางฉีกขาด ซึ่งข้อนี้อาจจะต้องปรึกษาช่างผู้ชำนาญการ 3.หม้อน้ำ เครื่องยนต์ต้องอาศัยการระบายความร้อนและหม้อน้ำก็คือหนึ่งในสิ่งที่ช่วย คลายความร้อนเครื่องยนต์ได้ บ่อยครั้งที่เราพบว่ารถตายกลางทางเหตุจากหม้อน้ำไม่ได้รับการดูแลรักษา ทางที่ดีก่อนออกเดินทางควรตรวจเช็ค หม้อน้ำ โดยเปิดฝาหม้อน้ำขณะเครื่องเย็นก่อนสตาร์ทตอนเช้า หรือดูถังพักน้ำว่า หม้อน้ำมีสภาพเป็นเช่นไร ถ้าน้ำสีเหมือนสนิมควรจะเปลี่ยนทันทีโดยใช้บริการช่างผู้ชำนาญการหรือ ถ้าคุณพอมีความรู้ก็สามารถเปลี่ยนเองได้ไม่ยาก | ||
4 .ล้อและยาง แม้จะเห็นกันประจำ แต่พวกเราหลายคนมักไม่ใส่ใจ การเดินทางไกลที่ดี ควรจะต้องมียางที่มั่นใจได้ในการขับขี่ เนื้อยางควรจะเหลือเยอะพอประมาณ เนื่องจากใช้ความเร็วสูงมากกว่าการขับขี่ในเขตเมือง และยังช่วยในการหยุดรถให้ได้ประสิทธิภาพด้วย ข้อสำค้ญในเรื่องยาง ทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งที่คุณควรเช็คก่อนออกเดินทาง เริ่มต้นด้วยการเช็คลมยางให้เป็นไปตามค่าที่กำหนดในมาตรฐานคู่มือประจำรถ และไม่ควรใช้ยางแตกลายงา เพราะอาจจะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง 5.เครื่องยนต์ แม้เราอาจจะมากล่าวเป็นสุดท้าย ของรายการตรวจสอบก่อนเดินทางในช่วงวันสงกรานต์ แต่ เครื่องยนต์ก็ถือเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ต้องพร้อมต่อการเดินทาง เครื่องยนต์ควรอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ควรนำรถที่มีสภาพเครื่องยนต์ไม่พร้อมเดินทางไกล เพราะสามารถเสี่ยงต่ออาการตายกลางทางมากกว่า ในการทำงานหนักระหว่างการเดินทาง นอกจากนี้เครื่องยนต์ที่ไม่สมบูรณ์ยังมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายของคุณในการเดิน ทางเพิ่มมากขึ้น โดยไม่จำเป็นจากอัตราสิ้นเปลืองที่เพิ่มมากขึ้น |
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556
รถโดนขี้นก จะทำยังไงดี
| ||
หลายคนคงคิดว่า ขี้นกอาจจะเป็นแค่คราบสกปรกที่ไม่นาน ก็สามารถเอาออกได้ แต่ที่จริงมันมีผลต่อสีรถ และวันนี้เรามีคำแนะนำในการดุแลรถ หากคุณต้องผจญกับเหตุที่ช่วยไม่ได้ เมื่อนก เห็นรถคุณเป็นห้องน้ำเคลื่อนที่ 1.อย่าปล่อยวาง หลายคนวางใจกับขี้นก ในฐานะที่มันเป้นเพียยงอีกความสกปรกที่ดูแล้ว อาจจะไม่ต่างจากฉี่ของสุนัขที่บ้านเราอาจจะเจอกันจน ชิน แต่ที่แล้วความชินชาของเราก็เป็นผลเสีย เพราะที่จริงขี้กนกมีผลต่อการรักษาสี มันมีคุณสมบัติที่สามารถทิ้งคราบด่างไว้ได้และมันทำให้รถคุณไม่สวยแน่นอน ทางที่ควะจะเร่งในการเอาออกแต่เสียเนิ่นๆ โดยใช้ผ้าที่มีเนื้อนิ่ม หรือกระดาษที่มีเนื้อในการหยิบ ..ห้ามถูโดยเด็ดขาด! | ||
2. กรณีขี้แห้ง หลายคนมักจะทิ้งไว้ให้แห่ง แต่นั่นเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ เพราะมันจะทำให้เกิดกัดกล่อนในชั่นของแล็คเกอร์ไปแล้ว วึ่งคุณไม่มีทางรู้เลย ในกรณีขี้แห้ง ถ้าคุณสะกิดๆ ออกอาจะทำให้เกิดการติดในบางส่วนอยู่ได้ ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด คือ ใช้ผ้านิ่ม หรือกระดาษเหมือนเดิม แต่ให้หาน้ำยาพวกแว๊ก หรือสารทำความสะอาดที่มีความสามารถในการหล่อลื่นมาทา ถ้ามันยากมาก ทาแล้ว ทิ้งไว้สักพัก ค่อยมาเช็ดออกอีกที 3.ล้างมือเพื่ออนามัยตัวเอง เราเคยได้ยินโรคหวัดนก กันมากมาย และคุณไม่มีทางรู้ว่า มูลนกนั้น จะมีอะไรปะปนมาบ้างอาจจะเป็นเชื้อโรค จำไว้ว่า ทุกครั้งที่หยิบขี้นกออกควรล้างมือโดยด่วน เพื่อป้องกันเชื้อโรค เอาไว้ก่อน 4.ล้างรถ ถ้า คุณมีเวลาว่างมากพอ การแวะไปล้างรถเสียหน่อยก้น่าจะเป็นเรื่องดี เพราะ การล้างรถยังเป็นการทำความสะอาดที่ดีที่สุดสำหรับรถยนต์ของคุณในการขจัดคราบ ความสกปรกที่เกิด และจะให้ดียิ่งขึ้นนั้น็ควรจะเคลือบแว้กซ์ตามลงไปด้วย แต่แน่นอนว่า ้คงต้องใช้เวลาในการทำการขัดเคลือบรถที่คุณรัก | ||
5.หาที่จอดรถใหม่ ใน กรณีที่คุณไปในที่เดิมๆแล้วพบกับขี้นกเป็นประจำ คงต้องแนะนำว่าที่ตรงนั้นอาจจะฮวงจุ้ยไม่ดี ในการจอดรถถ้าคุณรักรถของคุณ ทางที่ดี ลองเปลี่ยนที่จอดใหม่ น่าจะดีกว่าในการป้องและรักษาสภาพสีรถของคุณ คำแนะนำ 5 ข้อจากเรานี้ คือสิ่งที่เราพอจะช่วยได้บ้างในการดุแลรักษารถของคุณ สิ่งที่ตอ้งจำเอาไว้และสำคัญที่สุด คือ ขี้นกเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์กับสีรถ และมันยังทำให้รถคุณหมดราศีอีกด้วย นำมาฝากจาก #ประกันภัยรถยนต์ |
วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556
มารู้จักกับกระจกรถกันหน่อย
ประเภทของกระจก
กระจก Tempered
กระจกแบบ Tempered จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
กระจกแบบ Laminate
อยู่ดี ๆ กระจกก็แตกเฉยเลย...!!??
โครงสร้างรถมีปัญหา
กระจกเป็นโรคเครียด
เปลี่ยนกระจกใหม่
รูปแบบของการติดตั้ง
กระจกมาตรฐานต่ำ
โครงสร้างตัวถัง
วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556
วิธีการล้างเกียร์ออโต้
นำมาฝากจาก #ประกันภัยรถยนต์ ข้อมูลจาก ฅ-คนรักรถ |
วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556
สนิมในระบบหล่อเย็น
ในระบบหล่อเย็นของเครื่องยนต์ที่อยู่ในรถยนต์ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง หากระบบดังกล่าวมีการขัดข้องเกิดขึ้นถือเป็นเรื่องที่ใหญ่มากเลยทีเดียว ไม่ว่าเจ้าของรถยนต์ไม่สามารถใช้รถยนต์ได้แล้ว ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามมาก็จะมีราคาที่สูง นอกจากนั้นถึงขั้นอารมณ์เสียก็มี เป็นต้น ดังนั้น เจ้าของรถยนต์ควรเอาใจใส่กับเรื่องดังกล่าวไว้บ้างก็ดี
| ||
หากนำรถเข้าศูนย์บริการเป็นประจำ หรือท่านเจ้าของรถมีทักษะในการตรวจเช็ครวมถึงการบำรุงรักษา ปัญหาก็คงไม่เกิดขึ้นเท่าไรนัก ผิดกับรถยนต์ที่ขาดการบำรุงรักษา ปล่อยปะละเลย ดังเช่นเรื่องของน้ำยากันสนิมที่เติมในระบบหล่อเย็น สำหรับรถยนต์ที่ถูกตรวจแล้วพบว่า น้ำในหม้อน้ำรวมถึงถังพัก ซึ่งสามารถตรวจได้โดยง่ายที่สุดนั้น มีคราบของการเกิดสนิม นั้นก็หมายความว่าชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องในระบบหล่อเย็น เช่น เสื้อสูบ,ปั้มน้ำ,หม้อน้ำ,ฝาหม้อน้ำและอื่นๆ เป็นต้น แสดงว่าเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าความเสียหายใกล้เข้ามาเยือนท่านเจ้าของรถยนต์แล้ว ได้แก่
- หม้อน้ำตัน หรือการไหลเวี่ยนของน้ำทำได้ไม่ดี ความร้อนจะผิดปกติกว่าที่ควรจะเป็น คือ สูงขึ้นไม่ว่าขณะเดินเบาหรือเร่งเครื่องยนต์ก็ตาม นอกจากนั้นยังส่งผลถึงระบบปรับอากาศ หมายความว่า แผงคอยล์ร้อน ซึ่งจะทำการระบายความร้อนให้กับระบบปรับอากาศ มีความควบแน่นน้อยลง อาจทำให้เกิดความรู้สึกว่าแอร์ไม่เย็น
- ปั้มน้ำมีความเสียหายกว่าที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นซีลในตัวปั้มน้ำ,ลูกปืนปั้มน้ำ,ปะเก็นหรือซีลเลอร์ต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากสนิมเหล็กเหล่านั้น หากมีความเสียหาย ค่าใช้จ่ายจะสูง การปฏิบัติในรถยนต์ บางรุ่นยากมาก ดังนั้นก็เท่ากับว่าใช้เวลามากนั้นเอง
- ท่อยางต่างๆที่มีน้ำไหลผ่าน จะมีร่องรอยของการแข็งกรอบ ฉีกขาด ก่อนเวลาอันควรสังเกตได้หากทำการบีบแล้วจะมีเสียงดังแกรบๆ แสดงว่าคราบสนิมเกาะตามท่อยางด้านใน ความเสียหายก็จะตามมาได้โดยเร็ว
- ฝาหม้อน้ำ ซึ่งทำหน้าที่เป็นวาวล์น้ำประเภทหนึ่ง จะไม่สามารถควบคุมปริมาณน้ำระหว่างหม้อน้ำกับหม้อพักน้ำได้ เพราะหากเกิดสนิมนอกจากซีลแข็งกรอบแล้ว ตัววาวล์ก็จะทำงานผิดปกติไปจากเดิม
- วาวล์น้ำ ที่ตัวของมันเองจะมีการควบคุมการไหลเวียนของน้ำระหว่างน้ำร้อน-เย็น ตามภาระของเครื่องยนต์ หากมีคราบการเกิดสนิม การเปิด-ปิด เพื่อนำพาน้ำร้อนออกจากเครื่องยนต์แล้วเปิดให้น้ำเย็นเข้าสู่เครื่องยนต์ ไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์
- สำหรับเครื่องยนต์สมัยใหม่เป็นระบบหัวฉีด และต้องอาศัยอุณหภูมิของน้ำในการควบคุมรอบเดินเบานั้นอาจทำงานผิดไปจากเดิม ไม่ว่าการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง รอบเครื่องยนต์ไม่อยู่ในค่ากำหนด(ต่ำบ้าง,สูงบ้าง)เป็นต้น
- หากมีการถอดซ่อมใหญ่เครื่องยนต์ ทางไหลเวียนของน้ำที่เสื้อสูบจะมีสนิมเกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งสนิมดังกล่าว จะทำให้ชิ้นส่วนที่เป็นโลหะทั้งหลายมีการผุกร่อนในเวลาอันเร็ว ซึ่งก็มีตัวอย่างมาเล่าสู่กันฟังดังนี้คือ ขณะขับขี่มีอาการความร้อนขึ้นสูง ตรวจสอบพบว่ามีการรั่วของน้ำบริเวณเสื้อสูบ ตรวจลึกลงไปพบว่า ปลั๊กอุดตาน้ำมีการผุกร่อน นั้นก็แสดงว่า คราบสนิมต่างๆเหล่านั้น ส่งผลกระทบ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะมีค่าใช้จ่ายที่สูง การซ่อมบำรุงก็ยากใช้เวลาก็มาก ดังนั้น อย่ามองข้ามในเรื่องของน้ำยากันสนิมหม้อน้ำกันนะครับ
และที่กล่าวมาเป็นแค่บางส่วน ซึ่งเป็นผลกระทบของการไม่ใช้น้ำยากันสนิมหม้อน้ำ จะเห็นได้ว่าปัญหาจะตามมามากมาย ดังนั้น เจ้าของรถยนต์ควรเอาใจใส่ในเรื่องของน้ำยากันสนิมหม้อน้ำไว้บ้าง และควรจะเปลี่ยนถ่ายตามระยะเวลา รวมถึงประเภทของน้ำยาตามข้อกำหนดของรถยนต์รุ่นนั้นๆครับ
ท้ายนี้ หากท่านผู้อ่านทุกท่านมีความประสงค์ที่จะทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำยากันสนิมหม้อน้ำเอง ขอให้ศึกษาเกี่ยวกับเครื่องยนต์รุ่นนั้นๆ ที่กล่าวอย่างนี้เพราะ จะมีขั้นตอนของการไล่ลมในระบบหล่อเย็น ซึ้งไม่สามารถ ถอดปลั๊กถ่ายและเติมน้ำยาเข้าโดยง่าย ลักษณะเช่นนี้จะต้องมีวิธีการพอสมควร หากมีการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ก็ส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์เช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้เข้าศูนย์บริการเป็นดีที่สุดครับ
ความรู้ดี ๆ ที่ทางเรา ประกันภัยรถยนต์ นำมาฝาก
|
วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556
คู่มือป้องกัน ไฟไหม้ รถใช้ก๊าซ ประมาท..อาจจะบึ้ม!
แม้คนไทยจะเริ่มชินกับ "น้ำมันแพง" กันบ้างแล้ว แต่ยังไง ๆ แพงก็คือแพง ซึ่งสำหรับคนที่มีรถใช้ ส่วนหนึ่งก็หันไปพึ่งพา แก๊ส หรือ ก๊าซ มีการนำรถไปติดตั้งระบบการใช้ก๊าซแทนการใช้น้ำมันกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ขณะเดียวกันก็อาจจะเกิดการหวั่น ๆ ในเรื่องความปลอดภัย
รถไฟไหม้ แม้แต่กับรถที่ใช้น้ำมันก็อาจเกิดขึ้นได้ แต่กับ รถใช้ก๊าซ ความกลัวในเรื่องนี้มีมากกว่า !!
ทั้ง นี้ กับเรื่องความปลอดภัยสำหรับผู้ที่ใช้รถซึ่งติดตั้งระบบใช้ก๊าซนั้น ทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย มีการจัดทำคู่มือให้ความรู้ที่น่าสนใจ กล่าวคือ... รถยนต์ที่ติดตั้งระบบใช้ก๊าซจำเป็นจะต้องหมั่นตรวจเช็กดูแลรักษาเป็นอย่างดี และควรต้องรู้วิธีปฏิบัติเมื่อรถใช้ก๊าซเกิดประสบอุบัติเหตุ
สำหรับการดูแลรักษารถยนต์ที่ใช้ก๊าซนั้น มีดังนี้คือ...
1. ต้องตรวจสอบรถและระบบก๊าซตามระยะที่กำหนด
2. หมั่นตรวจสอบข้อต่อท่อส่งก๊าซ และการรั่วไหลของก๊าซ โดยใช้น้ำสบู่หยอดที่ข้อต่อก๊าซทุกจุดที่สามารถทำเองได้ โดยการตรวจรอยรั่วตามข้อต่อนั้นจะต้องทำการตรวจสอบขณะเปิดใช้ระบบก๊าซ
3. ควรเติมน้ำมันให้อยู่ในระดับ 14 ของถังน้ำมันด้วย เพราะขณะสตาร์ตรถต้องใช้การเผาไหม้จากน้ำมัน เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วระบบจึงจะถูกปรับไปใช้ก๊าซแทน
4. ต้องเติมก๊าซจากสถานีบริการที่ได้มาตรฐานเท่านั้น
5. หากไม่ใช้รถเป็นเวลานานควรปิดวาล์วมือหมุนที่ถังก๊าซ เพื่อป้องกันระบบวาล์วไฟฟ้าบกพร่อง เพราะถ้าบกพร่องอาจเกิดการระเบิดหรือเพลิงไหม้ได้
นอกจากการดูแลรักษา แล้ว การรู้วิธีปฏิบัติเมื่อรถใช้ก๊าซเกิดอุบัติเหตุก็ควรให้ความสำคัญ โดยข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระบุไว้ดังนี้คือ... รถยนต์ที่ใช้ก๊าซมีความเสี่ยงที่จะเกิดเพลิงไหม้ได้หากประสบอุบัติเหตุ รุนแรง โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ส่วนหนึ่งมาจากการเฉี่ยวชน และระบบไฟฟ้าลัดวงจร
วิธีป้องกันและข้อควรปฏิบัติ มีดังนี้คือ...
วิธีป้องกันและข้อควรปฏิบัติ มีดังนี้คือ...
เริ่ม จากวิธีป้องกันเพลิงไหม้รถ ควรขับรถในอัตราความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉิน นอกจากจะทำให้หยุดรถได้ทันแล้วยังช่วยลดแรงปะทะให้เหลือเพียง 45-55 กม./ชม. ซึ่งเป็นระดับความเร็วที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุจะไม่ ทำให้เกิดเพลิงไหม้รถ
กรณีประสบอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน เมื่อเกิดมีอุบัติเหตุ มีการเฉี่ยวชน ผู้ขับขี่รถที่ติดก๊าซควรดับเครื่องยนต์ แล้วรีบออกจากรถ กรณีใช้ถังก๊าซวาล์วมือหมุนแบบธรรมดาให้รีบปิดวาล์วด้วยตนเอง หากเป็นถังก๊าซระบบมัลติวาล์วระบบจะปิดเองโดยอัตโนมัติ หากได้กลิ่นก๊าซรั่วไหลให้รีบออกห่างจากรถ เพราะอาจเกิดระเบิด อาจเกิดเพลิงไหม้รถ พร้อมโทรศัพท์แจ้งช่างผู้ชำนาญการมาดำเนินการตรวจสอบโดยด่วน
ที่ สำคัญ...แม้หลังประสบอุบัติเหตุรถยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ แต่ก็ควรนำไปตรวจสอบสภาพ เนื่องจากระบบติดตั้งก๊าซอาจได้รับการกระทบกระเทือน ก๊าซอาจรั่วไหลและระเบิดได้ !!
กรณีระบบไฟฟ้าลัดวงจร ในขณะขับรถผู้ขับขี่ควรหมั่นสังเกตบริเวณกระโปรงหลังรถซึ่งเป็นที่ตั้งของ ถังก๊าซ หากพบสิ่งผิดปกติ เช่น มีควันไฟลอยขึ้นมา มีกลิ่นก๊าซรั่วไหลเข้ามาในห้องโดยสาร ให้รีบนำรถเข้าข้างทาง ปิดสวิตช์ไฟ ดับเครื่องยนต์ และปิดวาล์วถังก๊าซ พร้อมตรวจสอบอย่างละเอียด
วิธี ปฏิบัติเมื่อเกิดเพลิงไหม้รถ หากเพลิงไหมเล็กน้อยให้ใช้ถังดับเพลิงเคมีฉีดเข้าไปบริเวณต้นเพลิงจนเพลิง ดับสนิท หากไม่มีถังดับเพลิงเคมีให้ใช้ผ้าแห้ง ผ้าที่เปียกน้ำ ทราย มาโปะหรือตบบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้ หรือเจาะปากขวดน้ำเปล่าเป็นรูเล็ก ๆ ให้น้ำพุ่งฉีดไปบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้โดยตรง
หากเพลิงไหม้ลุกลาม อย่างรวดเร็ว ให้รีบออกห่างรถที่เกิดเพลิงไหม้โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันอันตรายจากการระเบิด พร้อมโทรฯ แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาควบคุมและระงับเพลิงไหม้โดยด่วน
"ที่ สำคัญ ผู้ขับขี่ควรจัดเตรียมถังดับเพลิงเคมีขนาดเล็ก หรือขวดน้ำเปล่าไว้ข้างเบาะ เพื่อให้สามารถหยิบใช้ได้ทันทีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ รวมถึงหมั่นตรวจสอบระบบติดตั้งก๊าซให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้รถได้" ...ข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระบุ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการตรวจสภาพรถและระบบก๊าซอย่างดี รวมถึงมีอุปกรณ์ดับเพลิงเตรียมพร้อมไว้แล้ว ในการขับขี่ก็ไม่ควรประมาท โดยเฉพาะบน "เส้นทางที่เสี่ยงอุบัติเหตุ" เช่น ถนนที่กำลังก่อสร้าง, ถนนที่กำลังมีการปรับปรุงซ่อมแซม, ถนนที่มีเลนสวน, ถนนที่ไหล่ทางแคบ, ถนนไม่มีไหล่ทาง, ถนนที่มีพื้นผิวจราจรขรุขระ เป็นต้น ซึ่งเส้นทางในลักษณะที่ว่ามานี้แม้แต่รถที่ใช้น้ำมันก็ควรต้องระมัดระวัง อยู่แล้ว ยิ่งเป็นรถที่ใช้ก๊าซก็ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุ อาจจะเกิดเพลิงไหม้ตามมาได้
ฤดูหนาว...มักมีคำเตือนให้ระวังไฟไหม้อาคารบ้านเรือน
ส่วนกับ "รถใช้ก๊าซ" ต้องระวังมากเป็นพิเศษ...ทุกฤดู
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)