วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การขับขี่กับรถเสียศูนย์



รถที่เสียศูนย์สามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง
รถยนต์ที่ได้มาตรฐานนั้น นอกเหนือจากโครงสร้างตัวถัง เครื่องยนต์ และชิ้นส่วนประกอบต่าง ๆ แล้ว ทางทีมผู้ผลิตยังได้ออกแบบระบบควบคุมทิศทาง ระบบรองรับน้ำหนัก และระบบกันสะเทือน เพื่อให้รถแต่ละคันมีประสิทธิภาพ และมีสมรรถนะในการขับขี่ รวมถึงการยึดเกาะถนน และการควบคุมพวงมาลัยให้สมบูรณ์ที่สุด
สำหรับรถยนต์ที่ถูกใช้งานอย่างสมบุกสมบันบนพื้นผิวถนนที่ขรุขระ หรือเกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดการสึกหรอของชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้อันเนื่องมาจากอายุการใช้งาน ซึ่งมักจะมีผลกระทบที่ทำให้การบังคับทิศทางของรถคันนั้นไม่ตรงตามที่เรา กำหนด บางครั้งอาจเกิดอาการกินซ้าย หรือกินขวา ก็เป็นได้เช่นกัน หรือเรียกอีกอย่างว่า "เสียศูนย์"
เมื่อรถของคุณเองมีอาการเสียศูนย์ คุณสามารถสังเกตได้ด้วยตนเองดังนี้
- ในขณะขับขี่ทางตรง รถเกิดอาการเบนออกไปทางซ้ายหรือขวา ทำให้ผู้ขับขี่ต้องขืนพวงมาลัยตลอดเวลา
- ขณะที่วิ่งเข้าโค้ง รถยนต์จะเสียการทรงตัวง่ายกว่าสภาพปรกติ การสึกของยางผิดไปจากเดิม หรือที่เรียกว่า "ยางสึก"
- ขณะวิ่งรอยล้อหลังจะไม่วิ่งไปทับรอยล้อหน้ารัศมีวงเลี้ยวทางด้านซ้ายและขวาไม่เท่ากัน
- ขณะเหยียบเบรคจะเกิดอาการปัดไปด้านใดด้านหนึ่ง
อาการเหล่านี้หากไม่รุนแรง ผู้ขับขี่สามารถนำรถเข้ารับการเช็กที่ศูนย์บริการใกล้บ้าน เพื่อให้ช่างปรับตั้งศูนย์ล้อใหม่ แต่ถ้าหากอาการดังกล่าวอยู่ในขั้นรุนแรง ควรนำรถเข้าซ่อมทั้งระบบทันที ซึ่งอาจจะต้องเปลี่ยนลูกหมากทั้งชุด ปรับแต่งองศาปีกนกและส่วนอื่น ๆ ให้ได้ค่าองศามาตรฐานตามเดิม ที่ออกมาจากโรงงานผลิต
นอกจากนี้ ควรเลือกศูนย์บริการที่ได้มาตรฐาน พร้อมช่างที่มีความรู้ ความชำนาญ และมีประสบการณ์สูง เพราะหากซ่อมไม่ถูกวิธี หรือใช้เครื่องดึงตัวถังที่ไม่ได้มาตรฐาน องศาหรือค่ามาตรฐานของโครงสร้างตัวถังจะเสียไป ซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนด้อยลง
ฉะนั้นผู้ขับขี่รถจึงควรดูแลรักษาระบบช่วงล่าง รวมทั้งลูกหมาก คันชักคันส่ง เมื่อมีการเสื่อมสภาพ "ไม่ควรฝืนใช้งานไปเรื่อย ๆ เพราะจะก่อให้เกิดผลเสียอย่างอื่นตามมา เช่น อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่บนถนนขรุขระ หรือหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ไม่ควรใช้ความเร็วสูง ควรชะลอความเร็ว และหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นหลุมขนาดใหญ่"
สำหรับรถยนต์ที่ทำการดัดแปลงช่วงล่าง เช่น เปลี่ยนช็อกแอบฯ ทำให้รถต่ำลง ยกสูงใส่ยางขนาดใหญ่กว่ามาตรฐาน เพื่อให้รถมีความสวยงามโดดเด่นมากยิ่งขึ้น แต่การปรับแต่งเหล่านี้ จะส่งผลทำให้รถเกิดอาการเสียศูนย์ได้ง่ายกว่าปรกติมากขึ้น


ที่มา : นิตยสาร รถวันนี้ :: http://www.nimseeseng.com

นำมาฝากโดยTQM Insurance Broker

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การดูแลรักษารถสีดำ เพื่อไม่ให้เกิดรอยขนแมว


1. ไม่ ควรใช้ไม้ขนไก่ หรือแปรงปัดฝุ่นทุกชนิด ปัดฝุ่นเพื่อทำความสะอาดรถ เพราะขณะที่ปัดฝุ่น ไม้ปัดฝุ่นจะลากถูขี้ฝุ่น เม็ดทราย ไปตามสีรถ ทำให้เกิดริ้วรอย ประหนึ่งว่าใช้กระดาษทรายเช็ดรถเลยทีเดียว
 2. ห้าม ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรถแทนการล้างรถ เพราะจะเป็นการทำลายสภาพสี โดยรอยขนแมวจะเกิดขึ้นจากผงฝุ่นต่างๆ ที่ติดบนผ้า ยิ่งเช็ดรถมากขึ้นการเกิดรอยก็ย่อมมากขึ้นตามปริมาณกากเช็ด ควรล้างรถอย่างเดียว
 3. หลีก เลี่ยงการล้างรถตามปั๊ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องล้างรถอัตโนมัติ เพราะการล้างรถที่ไม่ได้มาตรฐาน จะทำให้เกิดรอยขนแมวขึ้นได้อย่างมหาศาล
 4. ผ้า ที่ล้างรถและเช็ดรถ ควรจะเป็นผ้าที่สะอาดและนุ่ม ถ้าสามารถใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มได้ก็จะยิ่งดีมากๆเลย และถ้าจะให้ยิ่งดีขึ้นควรใช้ผ้าชามัวร์หรื่อผ้าไมโครไฟเบอร์ และอย่าออกแรงเช็ดหรือถูมากจนเกินไป
 5. เคลือบ สีรถบ่อยๆ ให้บ่อยกว่ารถสีอ่อน เพราะการเคลือบสีเปรียบเสมือนการสร้างแผ่นฟิล์มขึ้นมาป้องกันชั้นแลคเกอร์ รวมไปถึงชั้นสีของรถ นอกจากจะมีส่วนทำให้รถมีความเงางานมากขึ้นแล้ว การเคลือบสียังมีส่วนช่วยในการปกป้องสีรถ ไม่ให้หมอง เก่า ด้าน สีแตก ก่อนเวลาอันควร อีกทั้งยังสามารถช่วยป้องกันรอยขีดข่วน รอยขนแมว และความร้อนจากห้องเครื่องและแสงแดด ที่สามารถทำลายสีรถ ตลอดจน ปกป้องคราบสกปรกต่างๆ ที่เกิดจากมูลนก ยางไม้ น้ำค้าง ยางมะตอยได้เป็นอย่างดี

การล้างรถ


การ ทำความสะอาดรถเป็นเรื่องที่เราเจ้าของรถต้องให้ความเอาใจใส่เป็นประจำ เพราะจะเป็นผลดีต่อรถ ด้วยวิธีทำความสะอาด เริ่มจากการใช้ไม้ขนไก่ หรือถ้าผ้าแห้งนุ่มๆปัดหรือเช็ดฝุ่นออกเบาๆ และ ผ้าที่ใช้จะต้องไม่มีความหยาบ หรือมีของแข็งใดๆ ติดอยู่ หากปัดหรือเช็ดแล้วไม่สะอาดพอให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออก ไม่ควรใช้ผ้าแห้งเช็ดอย่างรุนแรง เพราะเกิดรอยขีดข่วนบนรถ การล้างต้องใช้น้ำสะอาด และจะต้องล้างให้สะอาดด้วย หากสามารถทำได้ควรฉีดน้ำล้างดิน โคลน หรือสิ่งสกปรกต่างๆ ใต้ท้องรถให้สะอาดทุกส่วนด้วย โดยปฏิบัติดังนี้
 - ควร ล้างบริเวณใต้ท้องรถและล้อก่อนด้วยแปรงอ่อนๆ ขัดขณะฉีดน้ำล้าง หรือจะใช้น้ำผสมสบู่ล้างครั้งหนึ่งก่อนแล้วล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
 - ล้างจากส่วนบนสุดของรถลงมาไม่ควรใช้แปรงขัดเป็นอันขาด ให้ใช้ผ้านุ่มๆ ฟองน้ำ หรือหนังชามัวร์เท่านั้น เพราะอาจทำให้สีถลอกได้
 - ถ้า ยังมีคราบสกปรกที่น้ำธรรมดาล้างไม่ออก ให้ใช้น้ำสบู่ล้างแทน ไม่ควรใช้ผงซักฟอกล้างรถ เมื่อคราบน้ำสกปรกออกหมดแล้ว ให้ใช้น้ำสะอาดล้างซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
 - หลังจากล้างน้ำแล้ว ต้องเช็ดให้แห้งทันที การปล่อยให้น้ำแห้งเองจะเกิดเป็นคราบน้ำเป็นดวงๆติดอยู่บนรถตลอดทั้งคัน
 - เมื่อล้างรถจนสะอาดดีแล้วอาจจะใช้สารเคมีเคลือบสี ประเภทครีมขี้ผึ้งแวกซ์ขัดให้แลดูเงางาม

ด้วยความปราถนาดีที่นำมาฝากจากTQM Insurance Broker

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

7 สิ่งที่ต้องทำ เมื่อรถคุณพังระหว่างทาง


ทุก วันนี้รถยนต์ที่มากขึ้น ทำให้การจราจรในบ้านเราล้วนแต่วุ่นวายจนเกิดปัญหาต่างๆ มากมาย ที่ส่งผลให้การจราจรติดขัด และหนึ่งในหลายสาเหตุที่เราพบประจำนั้น ก็ไม่พ้น "รถเสีย" ที่ทำเอาติดกันไปยาวเป็นกิโลเมตร เพียงเพราะการกีดขวางการจราจรชั่วครู่ ที่วันนี้คงถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องมาพุดคุยกัน
เมื่อรถพังควรทำอย่างไร หลายคนที่ขับรถนั้นคงไม่ใช่ช่างที่จะสามารถซ่อมรถให้วิ่งต่อได้ในบัดดล สามารถเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่สิ่งที่พึงจำไว้คือว่า เมื่อรถพังเราควรที่จะทำอย่างไรก็ตามไม่ให้เกิดปัญหากับเพื่อนร่วมทางและ 7 ข้อไปนี้ เราอยากจะมาช่วยแนะนำคุณให้รู้รักษาจากสถานการณืที่คุณอาจจะต้องเจอในวันใด วันหนึ่งในอนาคต

1.ตั้งสติและเปิดไฟฉุกเฉิน ทุกครั้งเรามาย้ำว่าสติคือสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการที่คุณจะแก้ปัญหาต่างๆ และเมื่อคุณพบว่ารถเกิดปัญหา โดยเฉพาะดับกลางอากาศ หรือรถพบอาการผิดปกติ ให้เริ่มต้นด้วยปุ่มไฟฉุกเฉินเพื่อส่งสัญญาณเพื่อนร่วมทางก่อนว่ารถคุณ บกพร่อง และไม่สามารถเดินทางต่อได้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเข้าใจผิดของเพื่อนร่วมทาง เพื่อที่เขาจะได้หาทางเบี่ยงหรือหลบหลีกคุณ
2.พารถเข้าข้างทาง คุณคงไม่อยากเจออุบัติเหตุใช่หรือไม่ ถ้าใช่!! จงรีบพารถคุณเข้าข้างทาง โดยเร็ว เนื่องจากการจอดรถท่ามกลางจราจรมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง ที่สำคัญที่สุดอย่าแอบไปทางขวาโดยเด็ดขาด ให้จอดรถเสียชิดๆไหล่ทางด้านซ้ายเท่านั้น
3.มือถือช่วยชีวิต มือถือมีประโยชน์และในยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ใช้มันเสีย โทรหาบริการช่วยเหลือฉุกเฉินหรือตามผู้เชี่ยวชาญมาช่วยคุณ แต่ถ้าไม่มีจริงๆ ลองโทรเข้าวิทยุจราจรต่างๆ เช่น จส.100 หรือ สวพ. 91 หรือเบอร์อื่นๆ ก็ช่วยให้คุณสามารถผ่านเหตุการณ์ไปได้
4.อยู่กับรถเสมอ จงจำไว้ว่าอย่าไปไกลจากรถเพียงเพราะว่ามันเสียหรือใช้การไม่ได้ คุณควรจะอยู่ในรถหรือใกล้ ที่สำคัญอย่าเปิดประตูฝั่งที่มีการจราจรเพื่อความปลอดภัย และหากรถคุณมีป้ายสัญญาณฉุกเฉินสามเหลี่ยม ก็ควรนำมันมาตั้งในระยะ 50 เมตร จากตัวรถเพื่อบอกว่ารถคุณเสียด้วย เพื่อเป็นจุดสังเกตกับเพื่อนร่วมทาง
5.ได้เวลาช่างจำเป็น ถ้าคุณพอเป็นอยู่บ้าง บางครั้งปัญหารถเสียก็อาจจะไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิดและคุณสามารถที่จะระบุ ปัญหาได้ เช่น ขั้วแบตเตอร์รี่หลวม หรือ ยางแบน บางอย่างคุณสามารถทำเองได้เพื่อช่วยตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่จะง่ายทุกครั้งไป ดังนั้น ถ้าคุณพอจะทำได้ควรจะช่วยตัวเองดูก่อนบ้าง และควรตรวจสอบให้ดีเผื่อจะสามารถระบุปัญหาได้
6.คอมมอนเซนส์ได้เวลาใช้มันให้เป็นประโยชน์ ความรู้สึกกับยามฉุกเฉิน อาจจะช่วยให้คุณรอดได้ยิ่งกับถนนต่างจังหวัดอันห่างไกล บางครั้งเมื่อคุณรู้ปัญหาก็จะสามารถแก้เอาได้ง่ายๆ เช่นน้ำมันหมด แต่เมื่อสักพักใหญ่ก่อนรถเสียเหมือนเพิ่งผ่านปั้มมา บางทีคุณอาจจะลอวตะเกียกตะกายไปปั้มเพื่อหาทางออกด้วยตัวเองได้อะไรแบบนั้น หรือถ้าไม่คุ้นสถานที่ จำไว้ว่าคนท้องถิ่นช่วยคุณได้ แต่ก้ต้องรู้จักระวังคนที่แฝงตัวเป็นมิจฉาชีพในคราบพลเมืองดีด้วย
7.ระวังคนดีเกินไป บางคนอาจจะพบว่าเมื่อรถเสียเรามีพลเมืองดีมาช่วยทันใจถูกใจกดไลค์ให้เลย แต่บางทีเราก็ต้องคอยระวังตัวอย่าระเริงไปมาก เพราะปัจจุบันมีมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในคราบคนดีมากพอสมควรและคุณก็ควรระวัง ตัวเองไว้ก่อนเป็นยอดดี
รถเสียอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากจจะเจอกับตัว เพราะมันทั้งเสียเวลาและเสียทรัพย์ แถมท้ายด้วยการเสียอารมณ์อีกต่างหาก แต่ทั้ง 7 ข้อแนะนำเรานี้ก็หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อคุณกันบ้าง ที่อาจจะช่วยให้รักษาตัวรอดและไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ที่ไม่ประสงค์ดี

สาระดี ๆ ที่ฝากจาก TQM Insurance Broker

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การใช้เอกสารแบบฟอร์มชนแล้วแยกแลกใบเคลม ( Knock for Knock)

(Knock for Knock) ชนแล้วแยกแลกใบเคลม

เป็นกรณีการเคลมสดกรณีพิเศษ คือในบางครั้งเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน บางครั้งสภาวะแวดล้อมก็อาจไม่เอื้ออำนวยให้สามารถรอพนักงานเคลมมาเปิดเคลม ได้ ซึ่งเป็นไปได้ว่าคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีธุระต้องรีบไปทำ หรือตอนเกิดเหตุนั้น เป็นเวลากลางคืนประกอบกับสถานที่เกิดเหตุค่อนข้างเปลี่ยว ซึ่งอาจจะเป็นประเด็นในเรื่องของความปลอดภัย ดังนั้นในทางปฎิบัติการรอพนักงานเคลมเพื่อจะมาดำเนินการตามขั้นตอนนั้นอาจจะ ไม่สามารถทำได้ ถ้าอย่างนั้นจะมีวิธีการใดบ้างที่เรายังสามารถรักษาสิทธิ์ในการเคลมประกันภัยรถยนต์โดยที่ไม่ได้ทำตามขั้นตอนปกติ สามารถทำได้ครับ แต่ต้องเป็นกรณีที่ไม่มีผู้บาดเจ็บเท่านั้น
เพื่อความสะดวก และรวดเร็ว โดยที่ท่านไม่จำเป็นต้องรอพนักงานบริษัท ฯ สามารถใช้เอกสารชนแล้วแยกแลกใบเคลม (Knock for Knock)โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้
  1. หากรถคู่กรณีเป็นรถสี่ล้อที่ทำประกันภัย ประเภท 1 ที่มีเอกสาร Knock for Knock ไม่ว่าจะเป็นบริษัทฯ ใดก็ตาม โดย
    - เป็นรถสี่ล้อที่มีน้ำหนักรถรวมบรรทุกไม่เกิน 3 ตัน หรือ
    - รถที่จดทะเบียนที่นั่งไม่เกิน 15 ที่นั่ง
    ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูกให้ออกเอกสาร "KNOCK FOR KNOCK" ให้คู่กรณีได้เลย โดยปฏิบัติดังต่อไปนี้
    1.1 กรอกข้อความรายละเอียดต่าง ๆ ลงในเอกสาร "KNOCK FOR KNOCK" ให้ครบถ้วน
    1.2 ให้ผู้ขับขี่ทั้งสองฝ่าย ลงลายมือชื่อในเอกสาร แล้วแลกเปลี่ยนกับเอกสารของคู่กรณี
    1.3 แยกย้ายจากที่เกิดเหตุได้ทันที
    1.4 นำเอกสารที่ได้จากคู่กรณี มาติดต่อบริษัทฯ เพื่อดำเนินการแจ้งเหตุและจัดซ่อมต่อไป
    กรณีตกลงกันไม่ได้ว่า ใครเป็นฝ่ายผิดใครเป็นฝ่ายถูกให้ดำเนินการดังนี้
    - ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อทำเครื่องหมาย ณ ที่เกิดเหตุ แล้วเคลื่อนรถออกจากที่เกิดเหตุ
    - แจ้งบริษัทฯ โดยทันที

  2. หากรถคู่กรณีไม่มีประกัน หรือมีประกันภัยประเภทอื่น ที่มิใช่ประเภท 1 ให้ออกเอกสาร "ใบยินยอมรับผิด" ให้คู่กรณีโดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้ หากท่านเป็นฝ่ายผิด
    - ให้ท่านกรอกรายละเอียดลงในใบยินยอมรับผิดและลงชื่อท่าน
    - กรอกรายละเอียดของคู่กรณี , รายละเอียดความเสียหาย และให้คู่กรณีลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน
    - ฉีกตัวจริงให้คู่กรณี เพื่อมาติดต่อ
    บริษัทประกัน ต่อไป
    หากท่านเป็นฝ่ายถูก
    - ให้คู่กรณีกรอกรายละเอียด หรือท่านกรอกเอง
    - ลงชื่อทั้งคู่ไว้เป็นหลักฐาน ฉีกสำเนาให้คู่กรณี และเก็บตัวจริงไว้เพื่อติดต่อ
    บริษัทประกันต่อไป
    - หากท่านมีข้อสงสัย โปรดติดต่อ
    บริษัทประกันที่ท่านได้ซื้อไว้

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การ 'รันอิน' สำหรับรถใหม่



ในยุคนี้สมัยนี้การจะถอยรถสักคันมันคงไม่ได้เป็นเรื่องยากสักเท่าใด ถึงขนาดที่ว่าคนขับแทบยังไม่ทันได้รู้จักรถของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ก็หามาครอบครองได้เสียแล้ว
คำง่ายๆ 2 พยางค์ 'รันอิน' แต่มันแบกคำถามต่างๆ นานาไว้จนมากมาย ไม่ว่าจะต้องทำการรันอินหรือไม่ รันอินที่ระยะทางเท่าไหร่ดี แล้วควรค่อยๆ ขับ หรือขับแบบเต็มเหนี่ยวไปเลย ซึ่งก็ต้องบอกว่าคำตอบของมันที่ถูกต้องจนเป็นทฤษฎีหรือหลักการให้ยึดตามน่ะ มันยังไม่มี!! ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ใจล้วนๆ

แต่เอาเป็นว่าไทยรัฐออ นไลน์จะขอหยิบยกแนวทางตามความนิยมที่ปฏิบัติสืบต่อส่งทอดจากรุ่นสู่รุ่น เป็นรูปแบบการรันอินชนิด 'เพลย์เซฟ' หรือแบบ 'ปลอดภัยไว้ก่อน' นั่นแหละขึ้นมานำเสนอ



รันอิน? คืออะไร ไหนใครไม่เคยได้ยิน

คำว่า 'รันอิน' มีที่มาจากความคิดที่ว่า ภายในเครื่องยนต์ หรือชิ้นส่วนบางชิ้นต้องการระยะเวลาในการปรับตัวให้เข้าที่เสียก่อนที่มันจะ พร้อมเริ่มทำงานจริงๆ อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งโดยมากชิ้นส่วนเหล่านี้เรียกร้องระยะทางประมาณ 1,000 กม.แรกตั้งแต่ออกรถจากศูนย์ ที่มันอยากบอกว่า 'เบาๆ หน่อยครับเจ้านาย'


ความเชื่อยุคใหม่

แต่ ในระยะหลังก็มีความเชื่อคลื่นลูกใหม่ไม่ว่าจากสายข่าววงในแห่งหนใดก็คงไม่มี ใครสามารถชี้เป้า หล่นความคิดเห็นต่างๆ นานาว่าการรันอินมันกลายเป็นการกระทำอันตกยุค เพราะสมัยนี้เขารันอินมาจากโรงงานกันหมดแล้ว ซึ่งก็อาจจริงดังที่ว่า แต่คำถามคือ โรงงานเขาจะใจดีรันอินรถเป็นหมื่นๆ คันได้ทั้งหมดจริงๆ หรือ?

แต่ หากใครคิดว่าเป็นคน 'รักตัว กลัวรถพัง' ก็ขอแนะนำให้ทำตามผู้หลักผู้ใหญ่ในอดีตก็ไม่น่าจะเสียหายตรงไหน เพราะที่แน่ๆ การรันอินก็ไม่เคยทำให้รถคันไหนพัง หรือว่าไม่จริง!



รันอิน ทำแบบนี้ ดูแล้วดีที่สุด

สำหรับวิธีการ รันอินมันไม่ได้มีการถ่ายทอดผ่านคัมภีร์เล่นไหน แต่ส่วนใหญ่มาจากปากต่อปาก ทำได้ง่ายๆ โดยพยายามควบคุมสติและฝ่าเท้าที่สัมผัสคันเร่งในช่วง 1,000 กม. แรกให้ได้ เมื่อผ่านพ้นก็ถือว่า 'คุณสอบผ่าน'

ในช่วงระยะเวลารันอิน ไม่ควรใช้ความเร็วและรอบเครื่องยนต์คงที่เป็นระยะเวลานานๆ เพราะมีความเชื่ออย่างเป็นมั่นเหมาะว่า มันจะเกิดการเสียดสีขั้นรุนแรงต่อเนื่องภายในเครื่องยนต์ อันก่อให้เกิดการสึกหรอมากผิดปกติ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยนิยมนำรถที่ยังไม่พ้นรันอินไปเที่ยวซิ่งต่างจังหวัด กัน

สิ่งที่ต้องห้ามและไม่ควรอย่างยิ่ง คือหลีกเลี่ยงการลากรอบจนสูงเกินจำเป็น สักไม่เกิน 2,500 รอบ/นาที กำลังสวย ส่วนบรรดาเกียร์อัตโนมัติทั้งหลายแหล่ อย่าริอ่านเล่นการคิกดาวน์เกียร์บ่อยๆ เพราะมันไม่ส่งผลดีต่อระบบเกียร์แน่ๆ

การ บรรทุกหนักควรหลีกเลี่ยงเช่นเดียวกัน อดใจให้พ้นรันอินเสียก่อนน่าจะเป็นผลบวกที่สุด เหมือนภาษิตไทยที่ว่า 'อดเปรี้ยวไว้กินหวาน' นั่นแหละ เกิดใจร้อนรีบเร่งไป โรงงานประกอบนอตตัวไหนมาไม่แน่นละก็ ทางใครทางมันละทีนี้



ระบบเบรก รันอินที่ต้องการ

นอกเหนือจากเครื่อง ยนต์ที่เป็นส่วนสำคัญแล้ว ระบบเบรกไม่ว่าจะรถใหม่ หรือรถที่เพิ่งเปลี่ยนผ้าเบรก ก็ล้วนต้องการรันอินระบบเบรกทั้งนั้น เพื่อให้ผ้าเบรกปรับสภาพเข้ากับจานเบรกเสียก่อน ระยะรันอินระบบเบรกก็ราวๆ 200-300 กม. สำหรับการใช้งานจริง ในช่วงนี้ไม่ควรเบรกรุนแรง หรือหยุดรถอย่างกะทันหันอย่างทันทีทันใด



ยางรถยนต์ ก็ขอเอี่ยวเรื่องรันอิน

ยังไม่หมดแค่ นั้น ยางรถยนต์ก็ต้องการรันอินเช่นกัน เพราะเมื่อสัมผัสพื้นครั้งแรก ยางรถยนต์ต้องการเวลาสำหรับการปรับโครงสร้างให้เข้าที่กับพื้นถนน รับรู้ถึงน้ำหนักและลักษณะการใช้งานของตัวรถ

ในระยะรันอินของยางอยู่ ที่ 500 กม.แรก ไม่ควรใช้ความเร็วมากเกินไป อยู่ระหว่าง 100-120 กม./ชม. ถือว่ากำลังดี และที่สำคัญอย่าทำเท่แบบไม่ยั้งคิดด้วยการออกตัวด้วยความรุนแรงถึงขั้นล้อ ฟรี เพราะมันไม่เท่นักหรอกแถมงานจะถามหาเอาได้


ไม่ว่าอย่างไรก็ดี สำหรับเทคนิกการรันอิน ยังคงเป็นความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคน เพียงแต่ว่ามันมีแนวโน้มและเหตุผลที่ใครจะคิดเป็นทางไหน แต่เชื่อว่าสำหรับใครหลายๆ คนแล้ว ของที่ยังใหม่สดซิงไม่เคยผ่านการใช้งาน ในช่วงแรกๆ ก็ควรให้มันค่อยเป็นค่อยไปไม่จริงหรือ...

เกร็ดความรู้ที่นำมาฝาก TQM Insurance Broker



วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

“เครื่องเสียงติดรถ“ เรื่องเสี่ยงภัยที่คุณหมางเมิน


 ถ้าพูดถึงรถยนต์ในปัจจุบันแล้ว มาตรฐานหนึ่งที่ถูกนำเข้ามาบรรจุไว้ในรถทุกรุ่นที่ไม่ว่าจะรุ่นไหน ยี่ห้อ หันไปก้ต้องเจอ วิทยุ CD-Mp3 บ้างเพิ่มจอสัมผัสมาให้ได้ใช้งานกันอย่างลงตัว แลับ้างทันสมัยสั่งง่ายด้วยการเปล่งเสียง
     "เครื่องเสียงติดรถยนต์" ในปัจจุบัน กลายเป็นของแถมที่มาอย่างครบครันกับตัวรถ แต่แม้มันจะเป็นเรื่องที่ทำให้เราไม่ต้องเสียเงินจ่ายค่าแต่งเครื่องเสียง เพิ่มเติม แต่การฟังเครื่องเสียนงในรถนั้น ก็มีน้อยคนนักที่จะคิดว่ามันอันตราย

เรื่องจริงที่แฝงอยู่กับสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคนี้สมัยนี้ใครก็ฟัง วิทยุ ในรถทั้ง แม้ "เครื่องเสียง" จะเป็นสิ่งที่ให้ความบันเทิง เพื่อแก้เหงาสำหรับใครที่ชิบสันโดดในการขับรถ ทั้งยังให้การรับข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ แต่ในผลดีทีมีอย่างมากมาย ถ้าใช้เกินความจำเป็นก็อาจจะเป็นผลร้ายก็ได้
     ตามปกติแล้วในขณะที่รถยนต์วิ่งนั้นย่อมจะมีเสียงรบกวนจากภายนอกอยู้ว ทั้งจากเครื่องยนต์ก็ดี หรือเสียงยางที่สัมผัสกับพื้นถนน ตลอดจน เสียงเศษดินกรวดต่างๆที่มาจากธรรมชาติ ทว่าเสียงที่น้อยนิดเหล่านี้กลับเป้นอุปสรรคต่อความบันเทิงในห้องโดยสาร วึ่งการเอาชนะเสียงเหล่านี้ได้ คุณจะต้องเร่งความเข้มของเสียงหรือ หมุน Volume ให้ดังมากขึ้นเพื่อกลบเสียงที่เกิดขึ้นจากภายนอก
     การเร่งเสียงที่เพิ่มขึ้นเพื่อกลบเสียงภายนอกนี่แหละที่เป้นบ่อเกิดของปัญหา เพราะเมื่อเกิดอยู่ในสภาวะฉุกเฉินการเปิดเครื่องเสียงให้มีเสียงดังกว่าปกติ ถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวดต่อการแก้ไขสถานการณ์ เช่นการได้ยินเสียงแตรจากเพื่อนร่วมทาง ไปจนถึงเสียงของความผิดปกติต่างๆของระบบต่างๆของรถ ซึ่งจะส่งผลตรงต่อการแก้ไขสถานการณ์ระหว่างรอดอย่างหวุดหวิด หรือเจอจังๆก็ได้
     ทั้งนี้จากการวิจัยของ Populus ในเกาะอังกฤษที่มีผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 2000 คน เมื่อ ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ยังให้ผลการค้นพบที่น่าสนใจ โดยระบุว่า ขาร๊อคหลังพวงมาลัยมักจะมีพฤติกรรมขับขี่ที่เร้าร้อนหลังได้ ฟัง ในขณะที่คนขับที่ฟังเพลงคลาสสิคและเพลงป๊อป ขณะขับขี่จะช่วยให้ผ่อนคลาย เช่นเดียวกันกับเพลงแจ๊ส
   ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ระบุว่า เสียงของรถยนต์ที่สามารถใช้งานบนถนนปัจจุบัน ต้องมีระดับเสียงที่ต่ำกว่า 100 เดซิเบลเอ ในระยะ 0.5 เมตร ซึ่งหมายความว่าหากต้องการกลบเสียงรถยนต์ที่เราวิ่งอยู่นั้นอาจจะต้องเร่ง เสียงวิทยุมากถึง 100 เดซิเบลเลยทีเดียว
     ตามปกติ แล้วเสียงที่เราได้ยินและเริ่มเป็นอันตรายต่อโสตประสาททางด้านการได้ยิน ของหูนั้นจะมีระดับอยู่ที่ 85-90 เดซิเบล และถ้าเสียงที่ได้ยินมากกว่า 140 เดซิเบล ก็อาจจะเสี่ยงหูดับถาวร ซึ่งคิดง่ายๆว่าการที่เราเร่งเสียงที่ต้องเอาชนะเสียงรถที่มีอย่างมากที่สุด 100 เดซิเบล และการเอาชนะได้นั้นต้องมีการเพิ่มความเข้มของเสียงขั้นต่ำอีก 20 เดซิเบล นั่นหมายถึง คุณต้องใช้เสียงมากที่สุดถึง 120 เดซิเบลในรถธรรมดาทั่วไปในการฟังเพลงให้สะใจวัยโจ๋
      เสียงที่ดังเกินขนาดย่อมไม่ส่งผลดีทั้งต่อความปลอดภัยของผู้อื่นบนถนน เช่นเดียวกับสุขภาพหุของผู้ขับขี่ แต่ในขณะที่เราอาจจะเลี่ยงไม่ได้ในการผ่อนคลายขณะขับขี่ด้วยเสียงเพลง ขับรถเย็นนี้ลองลดเสียงลงสักนิดว่าเพื่อหูที่ได้ยินต่อไปอีกยาวนาน
ที่มา :สนุกดอทคอม
เป็นเเกร็ดความรู้ที่ TQM Insurance Broker นำมาฝาก

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไขปัญหาคาใจ แล้วรถ “อีโค่คาร์“ คืออะไร?


ทุกวันนี้หลายคนที่กำลังจะซื้อรถคง ไม่มีใครไม่เคยได้ยินคำพูดกล่าวทั้งจากสื่อต่างๆเกี่ยวกับรถยนต์ "อีโค่คาร์"  ที่แม้ปัจจุบันรถอีโค่คาร์จะกลายเป็นคำที่เราคุ้นหูกันเป็นอย่างดี แต่เคยสงสัยบ้างไหมว่า รถยนต์ที่เรากำลังพูดถึงนี้เป็นรถยนต์อะไรกันแน่ 
รถยนต์ "อีโค่คาร์" เป็น รถยนต์ที่เกิดจากนโยบายของภาครัฐบาลเมื่อหลายปีที่แล้ว ที่เล็งเห็นความเป็นไปได้ของราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นตามลำดับในอนาคต ทำให้เกิดแผนในการสร้างรถยนต์นั่งขนาดเล็กขึ้น โดยมุ่งเน้นในเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อม มากกว่าความประหยัดน้ำมัน แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองสิ่งก็ไปด้วยกันทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ ต่อความเข้าใจของคนทั่วไป
รถอีโค่คาร์

Eco Car เป็น ชื่อเรียกอย่างย่อจากสื่อต่างๆ ที่มาจากคำว่า Ecology Car  หรือรถยนต์รักษาสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ตามที่หลายคนเข้าใจว่าคือรถยนต์ประหยัดพลังงานหรือ Economy Car  ซึ่งแม้จะดูเหมือนว่ามีความคล้ายคลึงกันแต่ก็มีความแตกต่างกัน ในแง่ของความหมาย ซึ่งแนวคิดของรถอีโค่คาร์ในบ้านเรานั้น ต้องปฏิบัติตามกฏที่สำคัญหลายข้อ จึงจะผ่านการรับรองว่า รถคันดังกล่าวเป็นอีโค่คาร์ และจะได้รับส่วนลดตามนโยบายของภาครัฐบาลด้วย
1.       ความประหยัดน้ำมัน รถ ยนต์อีโค่คาร์ต้องประหยัดน้ำมันตามกฏเกณฑ์ โดยต้องมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร หรือ น้ำมัน 1 ลิตรวิ่งได้ระยะทาง 20 กิโลเมตร
2.       การรักษาสิ่งแวดล้อม กำหนด ให้รถยนต์รุ่นที่จะถูกผลิตขึ้นมาเป็นอีโค่คาร์ ต้องมีการปล่อยมลพิษปลอดภัยระดับ Euro4 คือ มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์น้อยกว่า 120 กรัมต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร เท่านั้น
3.       ความปลอดภัยชั้นนำ ต้อง ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง ตามมามาตรฐานความปลอดภัยของยุโรป (UNECE 94 และ 95) ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยจากการชนด้านหน้าและด้านข้าง
4.       ความเหมาะสมต่อการใช้งาน ใช้ได้ทั้งเครื่องยนต์เบนซินมีความจุไม่เกิน  1.3  ลิตร  และที่ยังไม่เห็นก็มีเครื่องยนต์ดีเซล ที่กำหนดให้มีขนาดไม่เกิน  1.4  ลิตร ซึ่งแน่นอนว่ามันน่าจะมีในอนาคตอันใกล้นี้
ดังนั้นถ้ามองรถยนต์อีโค่คา ร์แล้ว นี่ไม่ใช่รถยนต์ที่มีราคาถูกไร้คุณภาพตามที่หลายคนเข้าใจ ทั้งที่เพียงติดกับภาพลักษณ์ในเรื่องขนาดของมัน หากแต่นี่คือรถที่มีมาตรฐานต่างๆรองรับมากมาย ซึ่งถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนมุมมองจากความเป็นรถกระป๋องราคาถูกมาสู่ รถที่มีดีที่มาตรฐาน ซึ่งราคาที่ถูกของมันมาจากการอุดหนุนจากภาครัฐไม่ใช่ต้นทุนต่ำอย่างเข้าใจ

นำมาฝากจาก TQM Insurance Broker

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการเปลี่ยนยางรถยนต์แบบง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง




เทคนิคการเปลี่ยนยางรถยนต์แบบง่าย ๆ ได้ด้วยตัวเอง (TOUCH MAGAZINE)

ยาง รถยนต์ หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Tire (Tyre) เป็นส่วนที่ห่อหุ้มล้อรถเพื่อลดแรงกระแทกกับพื้นถนน โดยยางรถยนต์ในสมัยนี้จะทำจากยางสังเคราะห์ ยางธรรมชาติ วัสดุจำพวกผ้าและเส้นลวด พร้อมทั้งเคมีสังเคราะห์อื่น ๆ ยางรถยนต์มีหลายแบบ และควรเลือกให้เหมาะสมกับประเภทของยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ จักรยาน จักรยานยนต์ รถบรรทุก หรือเครื่องบิน ลมที่ถูกเติมเข้าไปในยางรถยนต์นั้น โดยทั่วไปแล้วมักจะเติมลมให้ต่ำกว่าระดับลมสูงสุดผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อนั้น กำหนดมา ซึ่งดูได้ง่าย ๆ จากตัวเลขแสตมป์อยู่บนยาง หรือดูในคู่มือที่ให้มากับรถ ถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนรถยนต์ของตัวเองให้เป็นรถแข่ง ก็ไม่ต้องเติมลมให้เต็มก็ได้

สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนยาง?

ถ้าไม่ได้เป็นเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ยางแตกระเบิด ก็มาจากสาเหตุตามธรรมชาติ เห็นยางรถยนต์แข็ง ๆ หนา ๆ ขนาดนี้ แต่มันไม่ได้ทำจากวัสดุที่สามารถกักเก็บลมได้ตลอด หมายความว่าทุก ๆ วันลมจะรั่วออกจากยางรถยนต์ของคุณโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันก็มีการแก้ไขโดยเติมไนโตรเจนเข้าไปแทนลมยาง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ยางมีสภาพดีคงทนอยู่ได้นานกว่าการเติมลมแบบปกติถึง 75% เลยทีเดียว

สำหรับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้านั้น ยางของคู่หน้ามักจะสึกหรอหรือเสียหายได้เร็วกว่ายางคู่หลัง ดังนั้นเขาจึงบอกว่าให้สลับเอายางคู่หน้าและยางคู่หลังทุกหนึ่งปี เพื่อให้ยางทั้งสี่เส้นสึกเท่า ๆ กัน นอกจากนี้ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ยางแบนโดยไม่ได้ตั้งตัว คุณจึงควรเช็คสภาพของลมยางบ่อย ๆ ด้วย

อุปกรณ์ที่ใช้เปลี่ยนยางรถยนต์
  •  ยางอะไหล่ที่เป่าลมไว้เรียบร้อยแล้ว
  •  ประแจ
  •  แม่แรง
  •  ก้อนหิน
  •  ถุงมือกันเปื้อน
  •  ไฟฉาย (ในสถานการณ์ที่ต้องเปลี่ยนยางตอนกลางคืน)
1. ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนยางรถยนต์ คุณต้องแน่ใจว่าได้จอดรถให้ชิดขอบฟุตปาธหรือขอบถนนให้มากที่สุด และจอดในพื้นราบ ไม่ได้เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ไม่อย่างนั้นแล้ว รถของคุณอาจไหลขณะที่กำลังเปลี่ยนยางอยู่ก็ได้ ดีที่สุดคือต้องเลื่อนเกียร์ไปไว้ที่ P และดึงเบรกมือเพื่อเป็นการป้องกันอีกชั้นหนึ่ง หากยังกลัวรถจะเลื่อนมาทับตัวเองให้ลองหาก้อนหินมาขัดไว้ที่ล้อรถข้างที่ไม่ ได้เปลี่ยนยาง

2. เปิดกระโปรงท้ายรถยนต์เพื่อหยิบยางอะไหล่ออกมา พร้อมกับอุปกรณ์ที่จำเป็นในการเปลี่ยนยางอื่น ๆ ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์จะให้มาพร้อมกับรถอยู่แล้ว โดยยางอะไหล่นั้นอาจจะต้องมีการออกแรงงัดขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นจึงตรวจเช็คให้ดีเสียก่อนว่ายางอะไหล่ของคุณมีลมเต็มหรือเปล่า

3. หากจำเป็นต้องเปลี่ยนยางในที่ที่มีรถยนต์อื่น ๆ สวนไปมา ให้เปิดสัญญาณฉุกเฉินและตั้งป้ายฉุกเฉินเพื่อเตือนด้วย จะได้ไม่มีรถยนต์แล่นมาเสยคุณในขณะที่ก้มหน้าก้มตาเปลี่ยนยางรถยนต์อยู่

4. หากรถคุณมีฝาครอบล้อหรือกระทะล้อที่เป็นโลหะ ให้งัดฝานั้นออกก่อน แต่ถ้าล้อรถคุณเป็นล้อแม็ก ให้ถอดนอตที่ยืดล้อแม็กออกก่อน โดยใช้ประแจหมุนนอตทวนเข็มนาฬิกาทีละตัว

5. เมื่อนอตเริ่มหลวมแล้ว ให้วางแม่แรงไว้ใต้จุดยกแม่แรงที่กำหนดไว้ (ใกล้ ๆ ล้อที่ยางแบน) เสียบก้านหมุนแม่แรงเข้าไปในรูเพื่อหมุนแม่แรงขึ้น ให้หมุนจนรถยกขึ้นและล้อลอยเหนือพื้น

6. คลายนอตที่ล้อออกให้หมดทุกตัวแล้วจึงถอดล้อรถออก วางล้อเก่าไว้ไต้รถ ข้าง ๆ แม่แรงเพื่อป้องกันรถตกลงมาจากแม่แรง แล้วจึงใส่ล้ออะไหล่เข้าไปแทนที่

7. นำนอตเข้าไปใส่ในที่เดิม แล้วค่อย ๆ ขันทีละตัวจนครบ เลือกขันนอตตัวไหนก่อนก็ได้ แต่นอตตัวต่อไปต้องขันในทิศทางที่ตรงกันข้ามกันเสมอ

8. เสร็จแล้วจึงเก็บข้าวของ เท่านี้คุณก็จะสามารถขับพารถไปเข้าอู่เพื่อซ่อมต่อไปได้แล้ว

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับยางรถยนต์
  •  ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยางรถยนต์มีมูลค่าเป็น 20% ของค่าใช้จ่ายของรถทั้งคัน
  •  ยางรถยนต์ที่เติมลมน้อยกว่า 20% ของที่กำหนดไว้จะทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติถึง 50%
  •  83% ของปัญหายางรถยนต์มาจากข้อผิดพลาดในการเติมลม
  •  50% ของอุบัติเหตุในท้องถนนเกิดจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับยางรถยนต์
  •  การเติมลมยางรถยนต์ที่ถูกต้องสามารถช่วยชีวิตคนได้กว่า 25,000 คนต่อปี
ข้อมูลจาก http://aatireautosevice.wordpress.com

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ภัยธรรมชาติด้านน้ำ


1.1 อุทกภัย (Flood) หมาย ถึง อันตรายจากน้ำท่วม อันเกิดจากระดับน้ำในทะเล มหาสมุทร หรือแม่น้ำสูงมาก จนท่วมท้นล้นฝั่งและตลิ่ง ไหลท่วมบ้านเรือน ด้วยความรุนแรงของกระแสน้ำ ทำความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รูปแบบของอุทกภัยจากธรรมชาติ (types of natural flood) สามารถสรุปรูปแบบของอุทกภัยจากธรรมชาติได้ 4 ชนิด คือ
     1) น้ำป่าไหลหลาก หรือน้ำท่วมฉับพลัน (flash flood)มัก จะเกิดขึ้นในที่ราบต่ำหรือที่ราบลุ่มบริเวณใกล้ภูเขาต้นน้ำ เกิดขึ้นเนื่องจากฝนตกหนักเหนือภูเขาต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้จำนวนน้ำสะสมมีปริมาณมากจนพื้นดิน และต้นไม้ดูดซับไม่ไหวไหลบ่าลงสู่ที่ราบต่ำ เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว มีอำนาจทำลายร้างรุนแรงระดับหนึ่ง ที่ทำให้บ้านเรือนพังทลายเสียหาย และอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ (กรมอุตุนิยมวิทยา)
     2) น้ำท่วมขัง (drainage flood) เป็น ลักษณะของอุทกภัยที่เกิดขึ้นจากปริมาณน้ำสะสมจำนวนมาก ที่ไหลบ่าในแนวระนาบ จากที่สูงไปยังที่ต่ำเข้าท่วมอาคารบ้านเรือน เรือกสวนไร่นาได้รับความเสียหาย หรือเป็นสภาพน้ำท่วมขัง ในเขตเมืองใหญ่ที่เกิดจากฝนตกหนัก ต่อเนื่องเป็นเวลานาน มีสาเหตุมาจากระบบการระบายน้ำไม่ดีพอ มีสิ่งก่อสร้างกีดขวางทางระบายน้ำ หรือเกิดน้ำทะเลหนุนสูงกรณีพื้นที่อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเล (กรมอุตุนิยมวิทยา)
     3) น้ำล้นตลิ่ง (river flood) เกิด ขึ้นจากปริมาณน้ำจำนวนมากที่เกิดจากฝนหนักต่อเนื่อง ที่ไหลลงสู่ลำน้ำ หรือแม่น้ำมีปริมาณมาก จนระบายลงสู่ลุ่มน้ำด้านล่าง หรือออกสู่ปากน้ำไม่ทันทำให้เกิดสภาวะน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมเรือกสวน ไร่นา และบ้านเรือนตามสองฝั่งน้ำจนได้รับความเสียหาย ถนนหรือสะพานอาจชำรุด ทางคมนาคมถูกตัดขาดได้ (กรมอุตุนิยมวิทยา)
     4) คลื่นสึนามิ (tsunami) คือ น้ำท่วมที่เกิดจากคลื่นที่ซัดเข้าสู่ฝั่งมีลักษณะเป็นคลื่นในทะเลที่มี ช่วงคลื่นยาวประมาณ 80 -200 กิโลเมตร เคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 600 – 1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คลื่นสึนามิเกิดขึ้นได้เนื่องจากความสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม ภูเขาไฟระเบิดที่พื้นท้องมหาสมุทร หรืออุกกาบาตพุ่งเข้าชนโลกก็ได้ ในขณะที่คลื่นสึนามิเคลื่อนที่ข้ามมหาสมุทรจะดูเหมือนคลื่นปกติ เพราะมีความสูงของคลื่นประมาณ 30 เซนติเมตร แต่ถ้าคลื่นนี้เข้าสู่ชายฝั่งหรือที่ตื้นเมื่อใดจะเพิ่มความสูงขึ้นอย่างรวด เร็วถึงประมาณ 15 เมตร หรือมากกว่านี้ พลังงานอันมหาศาลของคลื่นสึนามิ จะทำให้เกิดอันตรายแก่สิ่งมีชีวิต และสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในบริเวณชายหาด หรือหมู่เกาะที่คลื่นสึนามิซัดเข้าหา
1.2 ภัยแล้ง (Droughts) หมาย ถึงสภาวะที่มีฝนน้อยหรือไม่มีฝนเลยในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งตามปกติจะต้องมีฝนโดยขึ้นอยู่กับสถานที่และฤดูกาล ณ ที่นั้นๆ หรือสภาวะที่ระดับน้ำ และใต้ดินลดลง หรือน้ำในแม่น้ำลำคลองลดน้อยลง ทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนน้ำของพืช ณ ช่วงเวลาต่างๆ โดยการเกิดความแห้งแล้งมี 3 ลักษณะ คือ
     1) สภาวะอากาศแห้งแล้ง (Metrological drought) มี ลักษณะสำคัญคือ เป็นสภาวะที่มีการระเหยของน้ำเกินจำนวนที่ได้รับ กล่าวคือมีการระเหยจากไอน้ำของดินและพืชพรรณมากว่า ปริมาณน้ำฝนรายปี
     2) สภาวะการขาดน้ำ (Hydrological drought)มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการมีฝนตกน้อยเฉลี่ยต่ำกว่าปกติเป็นเวลา นานต่อเนื่องกัน
     3) สภาวะความแห้งแล้งทางการเกษตร (Agricultural drought)เป็น สภาวะที่เกิดการขาดน้ำสำหรับการเกษตรอันเนื่องมาจากการลดลงของปริมาณฝน ระดับน้ำใต้ดิน ความชื้นในดินลดลง จนพืชไม่สามารถดึงน้ำมาใช้ได้

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ท่านสามารถรับคูปองได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย


เงื่อนไขการใช้บริการ



  • รับบริการได้ตั้งแต่วันที่ 1ก.ค.55 - 30 มิ.ย.56
  • โปรดแสดงคูปองแก่เจ้าหน้าที่ก่อนรับบริการ
  • 1 คูปอง ใช้บริการต่อ 1 ท่าน
  • สิทธิพิเศษนี้ สามารถใช้สิทธิ์ได้ที่โอเอซีสสปาทุกสาขา

  • สาขาที่เข้าร่วมรายการ :
    เชียงใหม่
    โอเอซิสสปา เชียงใหม่ : 102 ถนนศิริมงคลาจารย์ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50200
    โอเอซิสสปา ล้านนา : 4 ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50100
    กรุงเทพฯ
    โอเอซิสสปา บางกอก : 64 สุขุมวิท 31 (ซอยสวัสดี) กรุงเทพ 10110
    โอเอซิสสปา บางกอก : 88 สุขุมวิท 51 เขตวัฒนา กรุงเทพ 10110
    ภูเก็ต
    โอเอซิส ซีเครทการ์เดน สปา ลากูน่า: 47 หมู่ 1 ถนน ศรีสุนทร ตำบล เชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัด ภูเก็ต 83110
    โอเอซิส รอยัลไทย สปา: 128 หมู่ 3 ตำบล กมลา อำเภอกระทู้ จังหวัด ภูเก็ต 83150
    โอเอซิส สกาย บรีซ สปา: 26 ซอยปลักเจ ตำบลกะรน อำเภอเมือง จังหวัด ภูเก็ต 83100
    พัทยา
    โอเอซิสสปา พัทยา : 322 หมู่ 12 ถนนทัพพระยา อำเภอ บางละมุง พัทยา จังหวัดชลบุรี 20150



  • ราคาในเมนู ยังไม่ได้รวม tax และ service charge
  • กรุณาจองเวลาล่วงหน้าที่ Reservation Center

  • กทม : 02-262-2122, เชียงใหม่ : 053-920111 ภูเก็ต : 076-337777, พัทยา : 038-364070



  • ไม่สามารถแลกเปลี่ยนหรือทอนเป็นเงินสดได้สิทธิพิเศษนี้
  • ไม่สามารถใช้ร่วมกับรายการส่งเสริมการขายอื่นๆ ได้
  • ขอสวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนเเปลงเงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

  • ดูรายการคูปองทั้งหมด

    วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

    ค่ายประกันหวั่นรับรถอีโคคาร์แบกความเสี่ยงลอสเรโชสูง



    ประกันภัยลั่นไม่รับงานกลุ่มนี้ เหตุเบี้ยถูกแต่จ่ายเคลมสูง จ่อขาดทุนง่าย ส่วน "วิริยะฯ-ไทยเศรษฐกิจฯ" เฝ้าระวังลอสเรโช เล็งปรับเบี้ยขึ้น ล้อความเสี่ยง
    นายพนัส ธีรวณิชย์กุล ผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.กรุงเทพประกันภัย เปิดเผยว่า บริษัทไม่มีนโยบายรับงานประกันภัยรถยนต์อี โคคาร์ เนื่องจากเป็นรถยนต์ขนาดเล็กมีความบอบบาง หากเกิดอุบัติเหตุจะมีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดอัตราความเสียหาย (ลอสเรโช) ในระดับสูง อีกทั้งถ้าบริษัทจะเน้นกลุ่มรถยนต์อีโคคาร์จะต้องปรับราคาเบี้ยประกันให้ต่ำ เพื่อการแข่งขัน ทำให้เสี่ยงต่อการขาดทุน ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทจะไม่เน้นงานประกันรถเล็กหรือรถใหม่ป้ายแดง แต่จะรับงานประกันรถยนต์ 1,800-2,000 ซีซีขึ้นไป โดยทิศทางการรับประกันของพอร์ตรถยนต์ในระยะนี้ก็ยังคงเป็นแบบนี้อยู่

    "ขณะ นี้ยังไม่ค่อยมั่นใจในรถประเภทนี้เท่าไร แม้ว่าวอลุ่มของคนหันมานิยมใช้รถยนต์ประเภทอีโคคาร์มากขึ้น แต่เรายังมองว่าการใช้รถออีโคคาร์มีแนวโน้มที่จะเป็นวัยรุ่นมากขึ้น ซึ่งมีความระมัดระวังในการขับรถน้อย ส่งผลให้อัตราการเกิดความเสียหาย สูงขึ้นตามไปด้วย" นายพนัสกล่าว

    นายกฤษณ์ หิญชีระนันทน์ รักษาการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมา อัตราความเสียหายของรถยนต์ อีโคคาร์อยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก เนื่องจากเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก เมื่อเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งค่าใช้จ่ายในการซ่อมจะสูง ขณะนี้ต้องรอดูระดับของลอสเรโช หลังจากนี้ 24 เดือนจึงจะสามารถบอกได้ว่าจะปรับราคาเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นหรือไม่ แต่ถ้าลอสเรโชอยู่ในระดับที่บริษัทสามารถรับได้ ก็ไม่น่าจะต้องปรับราคาเบี้ยประกันเพิ่ม

    "ปัจจุบันการรับประกันรถ ยนต์อีโคคาร์มีการโค้ดราคาเบี้ยประกันตามปกติ เหมือนกับรถยนต์ชนิดอื่น เนื่องจากทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ยังไม่มีการกำหนดพิกัดของประกันภัยรถยนต์ชนิด อีโคคาร์เป็นพิเศษ หากตลาดมีรถยนต์ชนิดนี้ออกมามาก ๆ ประกอบกับมีการกำหนดพิกัดที่ชัดเจน บริษัทก็มีความสนใจที่จะทำประกันรถยนต์อีโคคาร์" นายกฤษณ์กล่าว

    นาย พุทธิพงษ์ ด่านบุญสุต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด กล่าวว่า แม้ว่ารถยนต์อีโคคาร์มีอยู่ไม่กี่รุ่นในตลาด แต่หากดูลอสเรโชถือว่าอยู่ในระดับ ที่สูง ทำให้บางบริษัทเริ่มปรับราคา เบี้ยประกันเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ยังมีอีกหลายบริษัทที่ยังสามารถรองรับกับลอสเรโชได้อยู่ จึงยังไม่มีการปรับเบี้ยประกันเพิ่ม

    "นอกเหนือจากการปรับราคาเบี้ย ประกันเพิ่ม ในกรณีที่ลอสเรโชมีอัตราที่น่าเป็นห่วง บริษัทยังต้องอาศัยการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ให้ความรู้แก่ผู้รับประกันภัยควบคู่ไปด้วย เพื่อให้มีความระมัดระวังในการขับขี่รถยนต์มากขึ้น ซึ่งจะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้ลอสเรโชลดลงได้ ประกอบกับแนวโน้มจำนวนของรถประเภทอีโคคาร์เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ บริษัทประกันก็จะขยายพอร์ตประกันภัยรถยนต์สูง ขึ้นตามไปด้วย ทำให้ช่วยเฉลี่ยความเสียหายของตลาดรถยนต์ได้ดี อีกทั้งยังส่งผลดีต่อผู้บริโภคให้ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่ลดลง" นายพุทธิพงษ์กล่าว

    ด้านแหล่งข่าวจากบริษัทประกันวินาศภัยขนาดใหญ่ราย หนึ่งกล่าวว่า บริษัทตัดสินใจไม่รับงานประกันภัยรถยนต์อี โคคาร์ เพราะเกรงว่าทำแล้วจะไม่คุ้ม ด้วยโครงสร้างการรับงานส่วนนี้จะต้องกำหนดเบี้ยเป็นแพ็กเกจเสนอไปให้แก่ดี ลเลอร์ ซึ่งลักษณะของรถอีโคคาร์ราคาไม่สูง ทำให้ทุนประกันและเบี้ยประกันต่ำลงไปด้วย ถ้ารับก็ต้องมีวอลุ่มของงานที่มากพอจะบริหารต้นทุนด้วย ดังนั้นถ้าบริษัทยิ่งเข้าไปแข่งกันรับงานของรถกลุ่มนี้มากขึ้น การแข่งขันก็ยิ่งเยอะ เสี่ยงที่จะขาดทุนได้ง่าย

    วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

    ขับป้ายแดงปลอม เจอจับ แนะใช้ ใบเสร็จวางหน้ารถ


    ป้ายแดงขาดแคลน ป้ายดำผลิตไม่ทัน ขนส่งประสานตร.ผ่อนผันให้รถใหม่ใช้ใบเสร็จจดทะเบียนแทนป้ายทะเบียนได้
    กรมการ ขนส่งทางบก (ขบ.) ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาตรการผ่อนปรนเจ้าของรถยนต์ใหม่ ในช่วงที่ป้ายทะเบียนสีแดงหมุนเวียนไม่ทัน ให้นำใบเสร็จการจดทะเบียนมาติดหน้ารถ จากนั้นสามารถนำรถมาใช้งานได้ตามปกติโดยไม่ต้องติดป้ายทะเบียนแต่อย่างใดจน กว่าจะได้รับทะเบียนป้ายดำมาติดตั้งแทนพร้อมเตือนตัวแทนจำหน่ายอย่านำป้าย แดงปลอมมาติดให้ลูกค้า ระวังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีโดยไม่ต้องมีใครแจ้งความ
    โดยเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม นายอัฌษไธค์รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองอธิบดีฝ่ายปฏิบัติการ ขบ.กล่าวว่า ผู้ที่ไปจดทะเบียนรถยนต์กับ ขบ.แล้วแต่ยังไม่ได้แผ่นป้ายทะเบียน สามารถนำใบเสร็จรับเงินซึ่งจะเขียนข้อความว่า "ใช้ แทนแผ่นป้ายทะเบียน" ไปติดไว้ที่บริเวณหน้ารถเพื่อใช้แทนแผ่นป้ายทะเบียนได้ โดยไม่จำเป็นต้องติดป้ายแดงหรือป้ายใดๆ ไว้บนรถอีก เนื่องจากกรมการขนส่งทางบกได้ประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจให้รับทราบการ ดำเนินการดังกล่าวแล้วจึงจะไม่มีการจับปรับอย่างแน่นอน


    "ก่อน หน้านี้ ขบ.ได้ทำหนังสือไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อไม่ให้จับปรับรถที่ยังไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน แต่ต้องเป็นรถที่ไปจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกแล้วเท่านั้น โดยจะมีใบ
    เสร็จรับเงินเป็นหลักฐานใช้แทนแผ่นป้ายทะเบียน ดังนั้น ผู้ขับขี่รถยนต์ที่ยังไม่ได้แผ่นป้าย
    ทะเบียน แต่ได้จดทะเบียนแล้ว จึงไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับปรับ สามารถขับขี่รถได้ตามปกติ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจขอตรวจสอบก็ยื่นใบเสร็จให้ดูเท่านั้นเอง"
    นายอัฌษไธค์กล่าวว่า การใช้ใบเสร็จแทนแผ่นป้ายทะเบียน จะดำเนินไปจนกว่ากรมการ
    ขน ส่งทางบกรับมอบแผ่นป้ายทะเบียนที่อยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้างได้แล้วเสร็จ โดยจะส่งมอบล็อตแรกได้ประมาณสิ้นเดือนสิงหาคมนี้หลังจากนั้น คาดว่าจะแจกจ่ายให้กับรถที่จดทะเบียนแล้วแต่ยังไม่มีป้ายทะเบียน ซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 50,000-60,000 คัน ภายในเดือนกันยายนนี้ หลังจากที่กรมการขนส่งทางบกได้รับป้ายทะเบียนจากทางบริษัทผู้ผลิตแล้ว จะเร่งประชาสัมพันธ์และแจ้งไปยังผู้ที่จดทะเบียนแล้วให้ไปรับป้ายทะเบียนที่ กรมการขนส่งทางบกทันที มั่นใจว่าป้ายทะเบียนใหม่ที่ได้รับมาประมาณ 7 ล้านแผ่นป้าย จะเพียงพอกับความต้องการแน่นอน
    "ตอน นี้กรมการขนส่งทางบกอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อนำแผ่นป้าย ทะเบียนเข้ามาให้ได้ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมหลังจากนั้น จะเร่งปั๊มตัวอักษรเพื่อนำไปให้กับผู้ที่จดทะเบียนแล้วต่อไป"

    นาย อัฌษไธค์กล่าวว่า กรณีตัวแทนจำหน่ายรถทำแผ่นป้ายแดงปลอมขึ้นมาให้กับผู้ซื้อรถใช้แทนป้ายแดง ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากมีปัญหาไม่สามารถหมุนเวียนป้ายแดงได้ตามระยะเวลาที่กำหนดนั้น ถือเป็นความผิดทางอาญา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินการเอาผิดได้ โดยไม่ต้องมีผู้แจ้งความ หรือหากผู้ซื้อรถแจ้งความ ตัวแทนจำหน่ายรายนั้นๆ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอาญาทันที
    "หาก ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มีเจตนาดีในการขายรถจริง ไม่จำเป็นต้องทำป้ายแดงปลอมออกมาให้ลูกค้า เพราะการยื่นจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกเพื่อให้ได้ป้ายดำใช้เวลาเพียงไม่ กี่วันก็ได้แล้ว ดังนั้น ปัญหาป้ายทะเบียนแดงไม่พอ จึงเป็นปัญหาของตัวแทนจำหน่ายโดยตรง"
    ผู้ สื่อข่าวถามว่า กรมการขนส่งทางบกจะมีมาตรการไปกำกับดูแลเรื่องการใช้ป้ายแดงของตัวแทน จำหน่ายได้หรือไม่ นายอัฌษไธค์กล่าวว่าขั้นตอนการให้ป้ายแดงกับรถยนต์ใหม่ ยังไม่เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของกรมการขนส่งทางบกและจะยังไม่เข้าสู่กระบวน การตราบเท่าที่ตัวแทนจำหน่ายยังไม่ยื่นเอกสารจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก ดังนั้น กรมการขนส่งทางบกจึงไม่สามารถรับทราบได้ว่า ตัวแทนจำหน่ายรายนั้นๆขายรถได้กี่คัน และรถคันไหนบ้างที่ติดป้ายแดงปลอม
    ด้าน พ.ต.ท.อรรถพร สุริยเลิศ รอง ผกก.2 บก.สส.บช.น. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถ (ศปจร.น.) กล่าวถึงปัญหาการนำป้ายแดงปลอมมาติดรถยนต์ว่า ที่ผ่านมามีการกวาดล้างร้านทำป้ายผิดกฎหมายอยู่บ่อยครั้งทั้งย่านเยาวราชและ จุดอื่นๆ แต่บางครั้งร้านเหล่านี้ก็รับทำทั่วไปโดยไม่ทราบว่ามีความผิดนอกจากนี้ จะเป็นพวกแก๊งมิจฉาชีพทำแผ่นป้ายทะเบียนปลอม ซึ่งถือว่าปลอมแปลงเอกสารของทางราชการ อย่างไรก็ตาม ในส่วนนี้ต้องดูเจตนาเป็นสำคัญ เพราะหากได้รถมาใหม่ แต่ไม่ได้ป้ายทะเบียนมาใช้ เจ้าของรถก็คงต้องทำป้ายเองเหมือนที่ผ่านๆ มา กรมการขนส่งทางบกต้องเข้าไปจัดการด้วย
    "หาก ใช้แผ่นป้ายปลอม เป็นความผิดแน่นอนแต่หากเป็นรถเราเอง และมีหลักฐานแสดงแน่ชัด บางครั้งเจ้าหน้าที่อาจอะลุ่มอล่วยให้บ้างต้องดูที่เจตนาเป็นสำคัญที่สุดว่า หากใช้แล้วมีใครเสียหายหรือไม่ แต่หากต้องการนำรถที่ไม่ใช่ป้ายแดงจริงมาใช้ ก็ยังคงเสี่ยงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับกุมอยู่ดี" พ.ต.ท.อรรถพรกล่าว
    แหล่ง ข่าวจากบริษัท เคมอเตอร์ ตัวแทนจำหน่ายรถโตโยต้า กล่าวว่า บริษัทไม่มีนโยบายผลิตป้ายแดงป้อนให้ลูกค้า เพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหากับลูกค้าจนถึงต้องถูกจับ โดยต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้เพิ่มป้ายแดงอีก 500 ชุดจากช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่เพิ่มไปแล้ว400 ชุด ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีป้ายแดง เพื่อใช้หมุนเวียนให้ลูกค้าประมาณ 2,500 ชุด เพียงพอกับความต้องการ เพราะกระบวนการประสานงานเอกสารต่างๆ ให้ลูกค้า เพื่อนำไปจดทะเบียนจะเฉลี่ยไม่เกิน 2 สัปดาห์ หรืออาจช้ากว่านั้นเล็กน้อย ทำให้มีป้ายแดงนำกลับมาใช้หมุนเวียนให้ลูกค้ารายใหม่ได้
    "ตั้งแต่ มีงานมอเตอร์โชว์ และกำลังการผลิตของบริษัทโตโยต้าเริ่มกลับมาปกติ  ช่วงเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา บริษัทได้เห็นสัญญาณว่าต้องเกิดความต้องการที่สูงมากแน่ๆ จึงเพิ่มจำนวนป้ายแดง 400 ชุด และต้นเดือนกรกฎาคม ได้เพิ่มอีก 500 ชุด ลูกค้าที่ซื้อรถจากบริษัทไม่มีปัญหาแน่นอน"
    แหล่งข่าวจากผู้จำหน่ายรถยนต์รายหนึ่งกล่าวว่า ปกติค่ายรถยนต์จะสามารถจัดเอกสารให้ลูกค้าได้แล้วเสร็จภายใน 3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับแต่ละค่ายว่ามีหลักเกณฑ์อย่างไร เช่น บางบริษัทต้องติดตั้งอะไหล่เรียบร้อยแล้วค่อยได้เอกสารหรือบางบริษัทต้อง เคลียร์กระบวนการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะจำนวนความต้องการรถในท้องตลาดสูงแบบก้าวกระโดด และกรมการขนส่งทางบกอาจไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดความต้องการสูงขนาด นี้สุดท้ายทำให้ป้ายแดงไม่เพียงพอ จนกลายเป็นปัญหา
    "ตอน นี้มีรถจำนวนมากที่ต้องติดป้ายขาวที่เป็นกระดาษ เพราะไปจดทะเบียนแล้วป้ายทะเบียนจริงไม่เพียงพอ เพราะผลิตไม่ทัน โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมายอดจำหน่ายรถยนต์เติบโตสูงมาก" แหล่งข่าวกล่าว และว่า อย่างไรก็ตามจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ให้จองรถยนต์ในโครงการรถคันแรกภายในวันที่ 31 ธันวาคม นี้และส่งมอบรถได้ไม่มีกำหนด จะไม่ทำให้ยอดจองรถยนต์ขยายตัวก้าวกระโดดไปมากกว่าที่ผ่านมา เพราะมองว่าความต้องการน่าจะถึงระดับที่มากพอสมควรแล้ว ยกเว้นมีค่ายรถยนต์ออกโปรโมชั่น หรือมีรุ่นนำเสนอแบบไม่คาดคิดซึ่งนับจากช่วงนี้ จะเป็นช่วงที่กรมการขนส่งทางบกน่าจะรู้ปัญหา และสามารถจัดการแก้ปัญหาได้จนปัญหานี้ทุเลาลง


    ด้วยความปราถนาดีจากบริษัท TQM Insurance Broker

    วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

    ถูกรถชนตาย ผู้ขาดไร้อุปการะ






    เรื่องที่ 1 ถูกรถชนตาย ผู้ขาดไร้อุปการะ ได้รับค่าสินไหมทดแทนไม่น้อยกว่า 300,000 บาท
    ต่อคน จริงหรือไม่
    สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ออกคำสั่งนายทะเบียนประกันวินาศภัยที่ 27/2554 เรื่อง ให้แก้ไขแบบข้อความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์รวมการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ นั้น เปลี่ยนแปลงข้อความของหมวดการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก แห่งกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์รวมการคุ้มครองผู้ ประสบภัยจากรถ ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2554
    ซึ่งสิ่งที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมให้เป็นไปตาม คำสั่งนายทะเบียนที่ 27/2554 ดังนี้
    1.กรณีบุคคลภายนอกเสียชีวิต ไม่มีผู้ขาดไร้อุปการะ บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่น้อยกว่า 100,000 บาทต่อคน
    2.กรณีบุคคลภายนอกเสียชีวิต นั้นทำให้มีผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนจากเดิม ชดใช้ไม่น้อยกว่า 100,000 บาท เปลี่ยนเพิ่มขึ้น ชดใช้ไม่น้อยกว่า 300,000 บาทต่อคน
    3.กรณีบุคคลภายนอกทุพพลภาพถาวร  นั้นทำให้มีผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย บริษัทจะชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนจากเดิม ชดใช้ไม่น้อยกว่า 100,000 บาท เปลี่ยนเพิ่มขึ้น ชดใช้ไม่น้อยกว่า 300,000 บาทต่อคน
    ในที่นี้ขออธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
    ผู้ขาดไร้อุปการะ
    ผู้ขาดไร้อุปการะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้รับค่าสินไหมทดแทน เมื่อเกิดเหตุละเมิด หมายถึง
    1. บิดามารดา คือ มารดาที่ให้กำเนิด บิดาที่จดทะเบียนสมรสกับมารดาในขณะที่เด็กเกิด ตาม ปพพ. มาตรา 1519 และ บิดาที่จดทะเบียนรับรองบุตรในขณะที่เด็กเกิด ตาม ปพพ. มาตรา 1524
    2. บุตรชอบด้วยกฎหมาย แบ่งเป็น
    บุตร ที่บิดามารดาจะต้องสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
    บุตร ที่บิดาจดทะเบียนรับรองบุตร
    บุตรบุญธรรม ที่จดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมโดยชอบด้วยกฎหมาย
    ซึ่งบุตรจะรับค่าสินไหมทดแทนค่าขาดไร้อุปการะ ได้ในกรณีที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หากบรรลุนิติภาวะแล้วจะไม่ได้สิทธินี้
    3. สามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย คือ จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย
    ทุพพลภาพถาวร
    ความหมายในทางประกันภัย แบ่งเป็น 2 ความหมาย
    ความหมายตาม กรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พรบ) อ้างอิงตามข้อ 3. การคุ้มครองผู้ประสบภัย
    ทุพพลภาพอย่างถาวร หมายความว่า ทุพพลภาพถึงขนาดไม่สามารถประกอบหน้าที่การงานใดๆ ในอาชีพประจำได้โดยสิ้นเชิงตลอดไป
    ความหมายตาม กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์รวมความคุ้มครองผู้ประสบภายจากรถ (ภาคสมัครใจ) อ้างอิง หมวดการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก
    ทุพพลภาพถาวร หมายถึง ทุพพลภาพถึงขนาดไม่สามารถประกอบหน้าที่การงานใดๆ ในอาชีพประจำ และอาชีพอื่นๆ ได้โดยสิ้นเชิง

    วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

    TQM ก้าวสู่ 60 ปี ดูหนัง 60 บาท


    เงื่อนไข




  • สิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าและสมาชิก TQM ที่ได้รับ SMS เท่านั้น
  • ลูกค้าและสมาชิก TQM ที่ทำตามเงื่อนไขแล้ว ต้องแสดง SMS Code เพื่อใช้สิทธิ์ซื้อบัตรชม
    ภาพยนตร์ในราคา 60 บาท / 1 ที่นั่งปกติและระบบปกติหรือระบบดิจิตอล 2D เท่านั้นที่หน้า
    Box office โดยเป็นไปตามเงื่อนไขที่โรงภาพยนตร์กำหนด
  • โปรโมชั่นใช้ได้ที่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ อีจีวี ทุกสาขา พาราไดซ์ ซีนีเพล็กซ์ (จำนวน 2,400ที่นั่ง)
    ที่พารากอน ซีนีเพล็กซ์ เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ และเมกา ซีนีเพล็กซ์ (จำนวน 1,325ที่นั่ง)
  • 1 SMS Code สามารถใช้สิทธิ์ได้ตามเงื่อนไขที่ TQM กำหนดได้ 1 ครั้ง
  • สามารถใช้สิทธิ์ได้ตามวันเวลาที่ระบุไว้ใน SMS เท่านั้น
  • โปรโมชั่นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแลกทอนเป็นเงินสดได้
  • บริษัทฯขอสงวนสิทธิ์การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขหรือรายละเอียดได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
  • สามารถรับสิทธิ์ตั้งแต่วันนี้ – 30 พ.ย.55


  • วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

    ผ่อน 0% นาน 3 เดือน กับบัตรเครดิตยูโอบี


    รายละเอียดรายการส่งเสริมการขาย
    • ซื้อประกันรถยนต์กับ TQM ตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป รับสิทธิ์ผ่อน 0% นาน 3 เดือน
    • รับเครคิตเงินคืน 300 บาท ต่อ Account
    • สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตยูโอบี
    ระยะเวลารายการส่งเสริมการขาย 1 สิงหาคม – 31 ตุลาคม 2555
    วิธีการรับสิทธิ์
    • ธนาคารจะทำการคืนยอด Cash Back เข้าบัญชีบัตรเครดิตของลูกค้าภายใน 90 วัน หลังจากจบโปรโมชั่น
    • ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการจ่าย Cash Back จำกัด 300 บาท / ผู้ถือบัตร / ระยะเวลาส่งเสริมการขาย

    วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

    6 เรื่องไม่ควรทำ เมื่อขับลุยน้ำท่วม


    อ่วม ไปตามกันเลยทีเดียวสำหรับ วิกฤตการณ์น้ำท่วมระดับชาติครั้งใหญ่ในรอบหลายปี จนบางคนนั้นบอกว่า นี่เป็น "มหาภัยสึนามิน้ำจืด" ที่ทำให้หลายคนนั้นต้องตกอยู่ภายใต้ภัยพิบัติอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่หวั่นอันตรายในการเข้าไปช่วยพื้นที่ประสบ ภัย
    เมื่อ ก่อนหน้านี้ เราเคยพูดถึงการขับรถลุยน้ำท่วมไปแล้วกับข้อปฏิบัติที่ควรจะทำเมื่อคุณต้อง ลุยเส้นทางน้ำท่วม แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังมีหลายคนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจในการขับรถลุยน้ำ แต่เอาเป็นว่าถ้าคุณกำลังต้องผ่านทางลุยน้ำท่วมระดับสูง สิ่งเหล่านี้คือข้อห้ามระหว่างขับขี่ในน้ำท่วม
    1.ห้ามขับรถเร็ว เส้นทางน้ำท่วมนั้นนับเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่ท้าทายอย่างมากสำหรับนักขับ และสิ่งที่สำคัญเมื่อคุณใช้เส้นทางที่เต้มไปด้วยน้ำนั้นคือห้ามขับรถเร็ว เหตุผลที่เราไม่แนะนำให่คุณขับรถเร็วนั้น ก็เพราะ 1.น้ำอาจจะกระเด็นใส่คนอื่นๆ หรือ เพื่อนร่วมทาง ซึ่งคุณอาจจะโดนสาบแช่งตามหลังได้ และ 2.เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ เนื่องจากน้ำท่วมนั้น อาจทำให้การเบรกให้หยุดนั้นมีประสิทธิภาพลดลง เช่นเดียวกับระยะเบรค ที่เกิดจากการสัมผัสผิวถนนนั้นทำได้ยากขึ้น ทำให้ลื่นยิ่งขึ้น
    2.อย่าเร่งเครื่องแรง ในการลุยพื้นทีน้ำท่วมนั้น ตามปกติของการลุยอุปสรรคทั้งหลายนั้น เรามักจะใช้กำลังเครื่องเดินเบามากกว่าใช้การเร่งเครื่องเพื่อผ่านอุปสรรค ซึ่งการเดินเบานี้เราเรียกว่า Walking Speed ซึ่งตามหลักการทำงานของเครื่องยนต์แล้ว ยิ่งเราเร่งเครื่องมาก เครื่องยนต์ก็จะยิ่งต้องการอากาศมากเพื่อไปใช้ผสมกับอัตราการจ่ายน้ำมันที่ เพิ่มขึ้น และถ้าคุณลุยน้ำในระดับสูง แล้วเร่งเครื่องรอบสูงผลก็คือ เครื่องยนต์อาจจะดูดน้ำเข้าไป และท้ายที่สุดเครื่องยนต์อาจจะดับได้
    3.พยายามอย่าใช้เบรก เบรกรถนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญในการเดินทางและในพื้นที่น้ำท่วมนั้นพยายามลด การใช้เบรค แต่ให้ใช้แรงเฉื่อยของเครื่องยนต์ในการหยุดรถหรือชะลอความเร็ว ยิ่งเมื่อรวมกับมวลของน้ำแล้วนั้น เราก็จะพบว่า การลดความเร็วในพื้นที่น้ำท่วมนั้นสามารถทำได้ง่าย แม้ไม่ใช้เบรค ที่สำคัญอย่าวิ่งติดกับคันหน้า ควรเว้นระยะห่างสัก2 ช่วงคัน รถ เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะ ในกรณีที่คันหน้าอาจจะเสีย เราจะได้ไม่ติดท่ามกลางสายน้ำ
    4.พยายามอย่าใช้คลัทช์ คลัทช์ นั้นเป้นตัวตัดต่อกำลังเคร่องยนต์ และ แม้คลัทช์จะเป็นอุปกรณ์ภายในที่อยู่ระหว่างท้ายเครื่องยนต์และชุดเกียร์ แต่ก ใครที่ขับรถเกียร์ธรรมดาในน้ำท่วมแล้วคิดจะต้องย้ำคลัทช์เพื่อให้ให้รถดับ นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เนื่องจากทุกครั้งที่ย้ำคลัทช์ เครื่องจะเร่งแรงเพิ่มขึ้นทำให้ เครื่องอาจจะดูดน้ำเข้าไปได้ และอีกประการคือ น้ำมีแรงดันซึ่งอยู่ที่ล้อ ยิ่งน้ำลึก ยิ่งทำให้ยากต่อการหมุน ซึ่งหมายถึงคลัทช์จะต้องรับแรงในการเชื่อมต่อมากขึ้นจากเดิม ซึ่งผลคือสามารถทำให้คลัทช์รถนั้นไหม้ได้ ดังนั้นทางที่ดีเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสมก่อนลงน้ำ ครับ
    5.อย่าสร้างคลื่นน้ำ คลื่นน้ำคือตัวอันตรายที่สำคัญที่สุดในการทำให้รถนั้นสามารถดับกลางอากาศได้ ระหว่างลุยน้ำท่วม และนับเป็นเรื่องสำคัญมากๆ การที่เราวิ่งรถในพื้นที่น้ำท่วมนั้น เราไม่ปฏิเสธว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทำให้ไม่เกิดคลื่นไม่ได้ แต่เราสามารถรถผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่ากับรถตัวเอง หรือรถคันอื่นๆก็ตาม และทางที่ดี เมื่อพบว่ามีรถสวน ก็ให้ลดความเร็วลง ถ้าเห็นว่ารถคันที่สวนมามาเร็ว ลิฟไฟส่งสัญญาณสักนิด ก็ดีใช่น้อย แต่หาก รถอีกคันมาแรงคืล่นมาสูงมาก ให้เราเร่งความเร็วเพิ่ม เพื่อทำให้เกิดคลื่นปะทะ ก่อนที่หน้ารถเราจะผ่านคลื่นน้ำนั้น อย่าเหวี่ยงรถหนี เพราะ คลื่นสามารถดันรถ อาจทำให้คว่ำได้โดยเฉพาะรถยกสูง
    6.อย่าเหวี่ยงรถกะทันหัน หลายครั้งที่เราขับรถในพื้นที่น้ำท่วมนั้น เราไม่ปฏิเสธว่า อาจจะมีเซอร์ไพร์ส กับหลุมที่เกิดขึ้นจากการกัดเซาะของน้ำ แต่ถ้าคุณเห็นในระยะกระชั้นชิดแล้วเตรียมที่จะหักหลบหนี อย่าทำโดยเด็ดขาด เพราะพื้นถนนมีแรงยึดเกาะต่ำ ยิ่งถ้าคุณมาเร็วมาก อาจจะเป็นต้นเหตุทำให้รถคว่ำเอาได้ง่ายๆ
     ทั้ง 6 ข้อ นี้เป็นคำแนะนำจากเราที่อยากให้ปฏิบัติ เมื่อขับรถลุยพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการขับรถลุยน้ำท่วมนั้น คือการเชื่อมั่นในรถ และเชื่อมั่นในตัวเอง อย่าหวั่นวิตกกับอุปสรรคบนเส้นทางข้างหน้าครับ
    ด้วย ความปราถนาดีจากบริษัท TQM Insurance Broker

    วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

    ความรู้เรื่องประกันอัคคีภัย ภัยเพิ่มภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว ลมพายุ






    การซื้อภัยเพิ่ม อันได้แก่ภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ลมพายุ น้ำท่วม ลูกเห็บ เดิมมีมาอยู่แล้ว และอัตราเบี้ยประกันไม่สูงมากนัก แต่หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ปลายปี 2554 จึงทำให้ต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย ที่มีต่อบริษัทประกันต่างประเทศสูงขึ้น จึงทำให้อัตราเบี้ยประกันสำหรับภัยธรรมชาติปรับขึ้นมา และมีการใส่เงื่อนไขของ Deduct หรือความเสียหายส่วนแรก ที่ให้ลูกค้าต้องรับผิดชอบเบื้องต้นก่อนด้วย
    กรมธรรม์ประกันภัยเพิ่ม ภัยธรรมชาติ
                  
    ที่มา  บริษัทประกันภัยเป็นผู้ขายโดยตรง โดยบริษัทประกันภัยไปซื้อความคุ้มครองมาจากบริษัทประกันภัยต่างประเทศ
    ประเภทของ “ ภัยธรรมชาติ  ” หมายถึง
    ภัยลมพายุ
                     การประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ ได้ขยายความคุ้มครองถึงความสูญเสียหรือความ     เสียหายต่อทรัพย์สินที่ได้เอาประกันภัยไว้อันเกิดขึ้นจากลมพายุ อย่างไรก็ตามบริษัทไม่ต้องรับผิดในความสูญเสียหรือความเสียหายโดยตรงหรือโดย ทางอ้อมที่
                     1. เกิดจากคลื่นใต้น้ำ (Tidal Wave) และ/หรือ น้ำหนุน (High Water) และ/หรือน้ำที่ไหลล้น (Overflow) ไม่ว่าจะถูกพัดพามาโดยลมพายุหรือไม่ก็ตาม
                     2. เกิดขึ้นกับทรัพย์สินภายในตัวอาคารที่ได้เอาประกันภัยไว้ตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้      เนื่องจาก
                                (ก) น้ำฝน หิมะ ทราย หรือฝุ่นละออง ทั้งนี้ไม่ว่าจะถูกพัดพามาโดยลมพายุหรือไม่ก็ตาม      เว้นแต่น้ำฝน หิมะ ทราย หรือฝุ่นละอองจะผ่านเข้าไปภายในอาคาร ตามร่องแตกร้าวหรือที่พังทลายของหลังคา หรือผนังอันเกิดจากกำลังของลมพายุโดยตรงเท่านั้น
                                (ข) น้ำจากเครื่องพ่นน้ำ หรือท่อน้ำอื่นๆ เว้นแต่อุปกรณ์หรือท่อน้ำดังกล่าวนี้เกิดเสียหายขึ้น เนื่องจากลมพายุโดยตรง




    น้ำท่วม
                     คำว่า “น้ำท่วม” ในเอกสารแนบท้ายนี้หมายถึงน้ำ ซึ่งไหลล้นหรือไหลออกจากทางน้ำปกติซึ่งจะเป็นทางน้ำธรรมชาติ หรือจะเป็นทางน้ำที่สร้างขึ้นก็ดี หรือเกิดจากท่อน้ำสาธารณะแตก หรือเกิดจากการท่วมของน้ำจากภายนอกของอาคารที่เอาประกันภัยไว้ หรืออาคารที่เก็บทรัพย์สินที่เอาประกันภัยตามกรมธรรม์ฉบับนี้
    แผ่นดินไหว
                      การประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ ได้ขยายความคุ้มครองถึงความสูญเสียหรือความ  เสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากแผ่นดินไหว หรือภูเขาไฟระเบิดและคลื่นใต้น้ำ (Tidal Wave) หรือน้ำหนุน (High Water) ซึ่งเป็นผลมาจากภูเขาไฟระเบิดโดยตรง
    ทุนประกันที่สามารถซื้อได้
    แตกต่างกันตามบริษัทประกันภัย
                                 • บางบริษัท สงวนสิทธิ์ ที่จะไม่ขายภัยธรรมชาติ
                                 • บางบริษัทกำหนดให้ซื้อ Sub Limit ได้เพียง 200,000 – 500,000 บาท
                                 • บางบริษัทกำหนดให้ซื้อได้ไม่เกิน 10% ของทุนประกันภัย
    อัตราเบี้ยประกันภัย ขึ้นอยู่กับต้นทุนของบริษัทประกันภัย
                                 • ภัยลมพายุ  อัตราเบี้ยประกันภัย มีตั้งแต่ 0.2 – 0.5 %
                                 • ภัยแผ่นดินไหว  อัตราเบี้ยประกันภัย มีตั้งแต่ 0.2 – 0.5 %
                                 • ภัยน้ำท่วม  อัตราเบี้ยประกันภัย มีตั้งแต่ 2 – 3 %

    ประเด็นการจ่ายค่าสินไหมทดแทน
                              1. สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้แม้ไม่มีการประกาศว่าเป็นภัยพิบัติ
                              2. มีความเสียหายส่วนแรก โดยขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัทประกันภัยว่าจะเป็นเท่าใด

    วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

    เมื่อได้เวลาคิด จะเปลี่ยนรถดีไหม หลังน้ำท่วม


    ใกล้จะสิ้นสุดกันเสียทีแล้วสำหรับมหกรรมน้ำท่วมที่ในตอนนี้เรา ต้องยอมรับว่า ประเทศไทยสามารถฝ่าวิกฤติได้แล้ว เพราะในขณะที่ข่าวสนใจกับพื้นที่ไหนท่วมบ้าง และความเดือดร้อนของประชาชนแต่ในอีกแง่หนึ่งหลายพื้นที่นั้นก็พ้นจากสภาวะ ประสบภัย แม้อาจจะยังไม่สามารถดำรงชีวิตได้ดังเดิมเหมือนที่เคยเป็น ทว่าอย่างน้อยสถานการณ์ความเดือดร้อนนั้นก็บรรเทาลงจากเดิม
    หลังจากสภาวะน้ำท่วมที่หลายคนเดือดร้อนไปตามๆดกันนั้น นอกจากหลากเรื่องที่ต้องมากมายหลังน้ำลดแล้ว รถยนต์นั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อรถที่รักได้รับความเสียหายจากภัยน้ำท่วม ทางออกก็คงไม่พ้นการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรดี โดยเฉพาะเรื่องจะเปลี่ยนรถหรือไม่ดี และเรามี 6 ข้อคิดสำคัญที่จะฝากไว้ให้ไปปวดสมองกันเป็นการบ้าน


    1.เสียหายมากน้อยเท่าไร หลังจากน้ำลด แล้ว เรื่องราวของรถนั้นเราสามารถประเมินได้ในกรณีที่รถยนต์ของคุณนั้นได้รับความ เสียหายจากน้ำท่วมนั้นมีมากหรือน้อยเท่าไรบ้าง รถบางคันถึงจะจมน้ำ แต่ก็อาจจะไม่เสียหายมากที่คิด แต่เราจะประเมินได้ถี่ถ้วนขึ้นเมื่อน้ำลด ซึ่งอาจจะลองไปสอบถามราคาค่าซ่อมก่อนก็ได้
    2.เงินสนับสนุน เมื่อรู้ค่าความเสียหายแล้ว เราก็ต้องมานั่งคิดถึงสิ่งสำคัญในเรื่องราวการซื้อรถนั่นคือเม็ดเงินที่จะนำ มาใช้ ซึ่งถ้ารถคุณทำประกันชั้น 1 ไว้ มันก็จะครอบคลุมถึงเรื่องน้ำท่วมด้วย หากรถเสียหายมาก คุณจะถูกตีเป็นสูญเสียทั้งหมด และมันช่วยให้ง่ายในการตัดสินใจว่าจะซื้อรถใหม่ดีหรือไม่ ที่สำคัญลืมไม่ได้กับโปรโมชั่นต่างๆที่จะออกมาดันยอดกันสนุกต่อจากนี้
    3.ค่างวดที่เหลือ ปัจจุบันแทบจะหาไม่ได้แล้วที่เราจะซื้อรถด้วยเงินสด ทุกคนล้วนแต่ผ่อนรถใช้วงเงินสินเชื่อ จริงอยู่บางทีรถคุณอาจจะเสียหายไม่มากจนเกินซ่อม แต่จะเปลี่ยนดีหรือไม่ต้องดูด้วยว่า คุณมีค่าใช้จ่ายที่ต้องหักลบกลบหนี้มากมายหรือไม่ ถ้ายังเยอะอยู่ไม่คุ้ม ก็ซ่อมแล้วทนใช้ไปก่อนดีกว่า
    4.ประเมินราคารถน้ำท่วม โดยมากรถถูกน้ำท่วมนั้นจะไม่มีที่ไหนหรือแม้แต่เต๊นท์ไหนรับซื้อเข้ามา ไม่ใช่เพราะว่ากลัวขายไม่ได้ แต่มันมักจะเกี่ยวกับเรื่องชื่อเสียงของเต๊นท์ ซึ่งความจริงแล้วรถจมน้ำ ถ้าทำดีๆ รับรองได้ว่าเนียนจนไม่มีทางจะรู้เรื่อง แต่ด้วยความที่ช่วงหลังน้ำลดคนก็มักจะหาเรื่องเปลี่ยนรถเช่นเดียวกับคุณ ทำให้มีรถจำนวนมากไหลบ่าสู่ตลาดมือสอง พอๆกับน้ำท่วม ถ้าอยากขายก็ต้องรับสภาพให้ได้ในเรื่องของราคา
    5.ใหม่ดีกว่าเก่าจริงหรือ หลายคนนั้นมีความอยากได้รถใหม่เพียงเพราะว่ามันขับแล้วดูทันสมัยไฮโซ เตะตาคนว่ารถเก่าๆ ที่แทบไม่มีคนสนใจมอง ความจริงแล้วนั่นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกนัก เนื่องจากรถนั้นหน้าที่ของมันที่สำคัญคือการให้ความสะดวกในการเดินทางไม่ใช่ โอ้อวด ดังนั้นการที่จะซื้อรถใหม่ ควรหาเหตุผลดีๆมากกว่าแค่อยากได้ และในกรณีน้ำท่วมนี้หมายถึงรถคุณได้รับความเสียหายจนซ่อมไม่คุ้ม
    6.ทางเลือกอื่นมีหรือไม่ บางครั้งน้ำท่วมอาจจะมาพร้อมกับโอกาสที่ดีโดยเฉพาะหลายๆคนที่มองหาโอกาสใน การบูรณะรถอย่างจริงจังทั้งทางด้านเครื่องยนต์และตัวถัง ตรงนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ในการพูดคุยกับคนที่บ้าน ว่าน้ำท่วมเป็นต้นเหตุอย่างน้อยก็อาจจะดีกว่าซื้อรถใหม่ หรือไม่ก็บูรณะไปสักพักก่อนค่อยขายน่าจะดีกว่าช่วงนี้
    ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราคิดมาเผื่อสำหรับใครที่กำลังน้ำตาเล็ด เมื่อรถยนต์ที่รักจมน้ำท่วมไปต่อหน้าต่อตา แต่ท้ายที่สุดนี้เราอยากจะฝากไว้ว่าของนอกกายไม่ตายก็หาใหม่ได้ครับ อย่าไปยึดติดมากจะดีกว่านะ



    ด้วยความปราถนาดีจาก บริษัท TQM Insurance Broker