วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ข้อยกเว้นการคุ้มครองตามกรมธรรม์ พ.ร.บ.รถยนต์ มีอะไรบ้าง

ข้อยกเว้นทั่วไป
กรมธรรม์ไม่คุ้มครองความเสียหาย หรือ ความรับผิดอันเกิดขึ้นเป็นผลโดยตรง หรือ โดยอ้อมจาก
1. สงคราม การรุกราน การกระทำของชาติศัตรู การสู้รบ หรือ การปฏิบัติการอันเป็นลักษณะของการทำสงคราม ( จะได้ประกาศสงคราม หรือไม่ ก็ตาม )
2. สงครามกลางเมือง การแข็งข้อของทหาร การกบฏ การปฏิวัติ การต่อต้านรัฐบาล การยึดอำนาจการปกครองรัฐบาลของทหาร หรือโดยประการอื่น ประชาชนก่อความวุ่นวายถึงขนาดเท่ากับการลุกฮือต่อต้านรัฐบาล
3. วัตถุอาวุธปรมณู
4. การแตกตัวของประจุ การแผ่รังสี การกระทบจากกำมันตภาพรังสี ปรมณู หรือจากกาก ปรมณู หรือ เกิดจากการเผาไหม้ ปรมณูการผานั้นรวมถึงกรรมวิธีใด ๆ แห่งการแตกตัวปรมณู ซึ่งดำเนินติดต่อไปด้วยตัวเองมันเอง
ความเสียหายต่อทรัพย์สินที่จะได้ไม่ได้รับความคุ้มครอง
1. ทรัพย์สินที่ผู้เอาประกัน ผู้ขับขี่ที่เป็นฝ่ายต้องรับผิดตามกฏหมาย คู่สมรส บิดา มารดา บุตร ของผู้เอาประกันภัยรถยนต์หรือที่ผู้ขับขี่เป็นเจ้าของ หรือ เป็นผู้เก็บรักษา ควบคุม หรือ ครอบครอง
2. เครื่องชั่ง สะพานรถ สะพานไฟ ถนน ทางวิ่ง ทางเดิน สนาม หรือ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่อยู่ใต้สิ่งดังกล่าว อันเกิดจากการสั่นสะเทือน หรือ น้ำหนักรถยนต์ หรือ น้ำหนักบรรทุกของรถยนต์
3. ทรัพย์สินที่บรรทุกอยู่ใน หรือ กำลังยกขึ้น หรือกำลังยกลงจากรถยนต์
ข้อยกเว้นทั่วไปการประกันภัยไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจาก
1. การใช้รถยนต์นอกอาณาเขตคุ้มครอง
2. การใช้รถยนตฺ์ในทาผิดกฏหมายเช่น ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ หรือ ขนยาเสพติด
3. การใช้ในการแข่งขันความเร็ว
4. การใช้ลากจูง หรือ ผลักดัน เว้นที่รถที่ลากจูงหรือ ผลักดัน ได้ประกันภัยไว้กับบริษัทด้วย หรือเป็นรถลากจูงโดยสภาพ หรือ เป็นรถที่มีระบบห้ามล้อเชื่อมโยงกัน
5. ความรับผิดที่เกิดจากสัญญาที่ผู้ขับขี่ทำขึ้น ซึ่งถ้าไม่ทำสัญญานั้นแล้วความรับผิดจากไม่เกิดขึ้น
6. การขับขี่โดยบุคคล ซึ่งขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดไม่น้อยกว่า 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
การยกเว้นความเสียหายต่อรถยนต์
1. การเสื่อมราคา หรือการสึกหรอ ของรถยนต์
2. การแตกหัก ของเครื่องจักรกลไล ของรถยนต์ หรือการเสีย หรือการหยุดเดินของเครื่องจักรกลไก หรือเครื่องไฟฟ้าของรถยนต์อันมิได้เกิดจากอุบัติเหตุ
3. ความเสียหายโดยตรงของรถยนต์อันเกืดจากการบรรทุกน้ำหนัก หรือจำนวนผู้โดยสารเกินกว่าที่ได้รับอนุญาต มิได้เกิดจากอุบัติเหตุ
4. ความเสียหายต่อยางรถยนต์ อันเกิดจากการฉีกขาด หรือการระเบิด เว้นแต่กรณีมีความเสียหายเกิดขึ้น ต่อส่วนอื่นของรถยนต์ในเวลาเดียวกัน
5. ความเสียหายอันเกิดจากการขาดการใช้รถยนต์ เว้นแต่การขาดการใช้รถยนต์นั้นเกิดจากการประวิงการซ่อม หรือซ่อมล่าข้า เกินกว่าที่ควรจะเป็น โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
การยกเว้นการใช้อื่น ๆ
การขับขี่โดยบุคคลที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับขี่ใด ๆ หรือเคยได้รับแต่ถูกตัดสิทธิตามกฏหมาย หรือใช้ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ไปขับขี่รถยนต์ แต่ในกรณีที่เป็นการประกันภัยประเภทระบุชื่อผู้ขับขี่ การยกเว้นตามข้อนี้จะไม่นำมาบังคับใช้ หากผู้ขับขี่ตามกฏหมาย เป็นผู้ขับขี่ที่ถูกระบุชื่อไว้แล้วตามกรมธรรม์ประกันภัย

การยกเว้นเรื่องรถยนต์สูญหาย หรือไฟไหม้
การประกันภัยรถยนต์ ( กรณีทำประกันประเภทที่คุ้มครองไฟไหม้ หรือ สุญหาย ) ไม่คุ้มครองความสูญหาย หรือ ไฟไหม้ อันเกืดจาก ความเสียหาย หรือ สูญหายจากการลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์โดยบุคคลที่ได้รับมอบหมาย หรือ ครองครองรถยนต์ตามสัญญาเช่า สัญญาเช่าซื้อ หรือสัญญาจำนำ หรือโดยบุคคลที่จะกระทำสัญญาดังกล่าว
ที่มา : เนื้อหากรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภทที่ 1 ( จาก คปภ)
ด้วยความปราถนาดีจากบริษัท TQM Insurance Broker

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ ชนคนตาย จ่ายหรือไม่


hotnews02

ประกันภัยรถยนต์ภาค บังคับ หรือที่หลายๆ คนเรียก ประกัน พรบ.รถยนต์ ซึ่งก็เป็นไปตามชื่อเลยครับ รัฐบังคับเจ้าของรถต้องทำประกันดังกล่าว แต่เราต้องยอมรับว่า ผลประโยชน์ส่วนหนึ่งจะตกกับผู้ได้รับบาดเจ็บ ทุพลภาพถาวร หรือผู้เสียชีวิต (ทายาท) จากอุบัติเหตุทางรถต่างๆ เพื่อให้มีค่ารักษาพยาบาล และค่าชดเชยหากมีการเสียชีวิตให้กับทายาท
แต่ชาวบ้านทั่วๆ ไป อาจจะไม่รู้ว่าตัวเองจะมีสิทธิเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล หรือค่าปลงศพ หรือค่าชดเชยกรณีทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต จากกรณีเป็นผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุจากรถ ผมขอยกตัวอย่าง มีชายสูงอายุคนหนึ่ง ขับรถมอเตอร์ไซค์อยู่ดีๆ แต่แล้วมีรถกระบะคันหนึ่งขับรถถอยหลังมาชนอย่างแรง จนเป็นเหตุให้ชายสูงอายุได้เสียชีวิต ภรรยาและลูกต้องสูญเสียผู้นำครอบครัวซึ่งเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปเรียกร้องอย่างไร กับใครได้บ้าง ลองมาดูว่าเราควรจะเริ่มเรียกร้องสิทธิของเราได้อย่างไรบ้าง
1. ดูว่ารถของเราได้ทำประกัน พรบ.รถยนต์ ไว้หรือไม่ เพราะเคสนี้ รถมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ทำประกัน พรบ.ไว้ แต่ทางตำรวจได้ทำสำนวนไว้ว่าคนขับรถกระบะ เป็นฝ่ายผิด ขับรถยนต์คนตายด้วยความประมาท และไม่ได้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และได้ขับรถยนต์หนีไป ลองมาดูว่าผู้เสียชีวิต ฉะนั้นทายาทของผู้เสียชีวิต ค่าชดเชยจะได้ค่าชดเชยจากการเสียชีวิตของสามี 200,000 บาท แต่ในเบื้องต้น จะได้ค่าปลงศพ (ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น) 35,000 บาท จากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจากรถก่อน โดยปกติเราอาจจะเรียกร้องจากบริษัทประกัน ที่จำหน่าย พรบ.ให้เรา แต่ว่าผู้เสียชีวิต ไม่ได้ทำ พรบ.ไว้ จึงต้องไปเรียกร้องจากกองทุนฯก่อน หรือจะรอเรียกร้องจากบริษัทประกันภัย ผู้เป็นฝ่ายผิด ทั้งหมดเลยก็ได้
2. คู่กรณีได้ทำประกัน พรบ.รถยนต์ ไว้หรือไม่ ในเคสนี้ คู่กรณีได้ทำประกันไว้ แต่บริษัทประกันก็ไม่ได้จ่ายเงินง่ายๆ ครับ เพราะเค้าต้องรอให้ศาลพิจารณา ตัดสินเรียบร้อยแล้ว หากคูกรณีที่ขับรถกระบะ เป็นฝ่ายผิดถึงจะจ่าย ฉะนั้นมันก็ใช้เวลายาวนานแน่นอนครับ ซึ่งเคสนี้ ก็เกือบจะ 6 เดือนแล้ว ตอนนี้ก็คงต้องรอให้ศาลพิจารณาตัดสินให้แล้วเสร็จ และนำผลการตัดสินของศาลไปดำเนินการแจ้งกับบริษัทประกันภัยฯ เพื่อไปเรียกร้องค่าชดเชยจากบริษัท
3. การเรียกร้องค่าชดเชย ยากหรือง่าย? มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดครับ เพราะจากข้อที่ 1 คู่กรณีไม่ได้ทำประกัน พรบ.รถยนต์ไว้ ซึ่งจริงๆ ก็จะต้องแจ้งต่อตำรวจเพื่อเปรียบเทียบปรับ สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ไม่มากไม่น้อยทีเดียว ไม่สำหรับคนไม่มีเงินทอง เพื่อที่จะได้นำหลักฐานไปพิสูจน์ว่าไม่ได้ไปเบิกเงินจากกองทุนทดแทนผู้ประสบ ภัยจากรถ เพื่อจะให้ได้รับเงินเต็มจำนวน 200,000 บาท จากบริษัทประกันภัยของคู่กรณี
การเรียกร้องเป็นสิ่งที่ผู้สูญเสียควรจะทำ แต่จะทำอย่างไร ขั้นตอนเป็นอย่างไร และจะได้รับเงินหรือไม่ และเท่าไหร่ ทุกอย่างก็ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ ซึ่งเราได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์จากตัวแทน นายหน้า หรือบริษัทประกันภัยที่ใส่ใจให้บริการลูกค้า มิใช่มุ่งหวังแต่กำไร และผลประโยชน์ทางธุรกิจเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามไม่ควรลืมว่าการทำประกันภัยรถยนต์ เป็นทั้งภาคบังคับที่ทุกเจ้าของรถฯ ทุกท่านควรจะทำไว้ แต่หากมีกำลังทรัพย์เพียงพอ ก็สามารถซื้อความคุ้มครองที่เพิ่มสูงขึ้นตามความเหมาะสม ก็ถือว่าเราได้บริหารความเสี่ยงฯ ที่ดีแล้ว แต่ที่สำคัญที่สุด การขับขี่รถยนต์หรือยานพาหนะทางบกต่างๆ ควรกระทำด้วยระมัดระวัง ไม่ประมาท เพราะถ้าหากพลาด มันหมายถึง ทรัพย์สิน ชีวิตอันมีค่า และอาจจะไม่สามารถเรียกร้องกลับมาได้อีก

ประกันภัยรถยนต์

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ไม่อยาก "เบรกแตก"..ต้องอ่าน!



ทุกคนต่าง รู้ดีว่าระบบเบรกที่ดี ย่อมหมายถึงความปลอดภัยของทุกชีวิตบนท้องถนน แต่ในทางกลับกัน เวลาเข้าศูนย์หรือตรวจเช็ครถตามระยะ เรามักตรวจสอบเครื่องยนต์ เกียร์ และล้อ โดยมองข้ามระบบเบรกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามักไม่ใส่ใจในการเลือกน้ำมัน เบรกที่ใช้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการขับขี่อย่างปลอดภัย
เพราะ น้ำมันเบรก ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลัง เมื่อเราเหยียบเบรก แรงดันที่เหยียบจะถูกถ่ายทอดผ่านน้ำมันเบรกเข้าไปในระบบห้ามล้อทั้ง 4 ล้อ ทำให้ความเร็วของรถช้าลง หรือหยุดตามแรงกดที่ต้องการ ซึ่งน้ำมันเบรกที่ดี นอกจากจะเป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลังแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติที่ดีอื่นๆ อีกด้วย 1. เป็นตัวหล่อลื่นส่วนต่างๆ ในระบบเบรก ช่วยป้องกันการสึกหรอ
2. ไม่เป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนที่เป็นโลหะในระบบหรือลูกยางต่างๆ
3. คงสภาพได้นาน แม้ว่าจะมีผลกระทบจากสิ่งแวดตามล้อมธรรมชาติ เช่นความชื้น
4. มีจุดเดือดสูงและไม่ระเหยง่าย ทนต่อแรงดันจากแรงเหยียบอย่างต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี

จากคุณสมบัติของน้ำมันเบรกดังกล่าว จุดเดือดของน้ำมันเบรกถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเนื่องจากเวลาเหยียบเบรกที่ ความเร็วสูงหรือบรรทุกหนัก อุณหภูมิที่ผ้าเบรกและจานเบรกจะสูงมาก ความร้อนดังกล่าวจะถ่ายเทมายังน้ำมันเบรกด้วย ถ้าน้ำมันเบรกมีจุดเดือดต่ำก็จะระเหยและกลายเป็นไอ ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลังในระบบเบรกได้ จึงทำให้เบรคไม่อยู่ หรือที่เรียกว่าเบรกแตกนั่นเอง


ดังนั้น ผู้ขับขี่จึงควรตรวจเช็คระดับของน้ำมันเบรกอยู่เป็นประจำว่าอยู่ในระดับที่ เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งหากน้ำมันเบรกมากเกินขีดสูงสุด อาจสันนิษฐานได้ว่ามีน้ำเข้าไปปนเปื้อน แต่ถ้าน้อยเกินขีดต่ำสุด อาจสันนิษฐานได้ว่ามีการรั่วซึมในระบบเบรก หรืออาจเกิดจากผ้าเบรกสึก ซึ่งทั้ง 2 กรณี จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลง ทำให้เกิดอาการเบรกไม่อยู่ได้


นอกจากตรวจระดับน้ำมันเบรกเป็นประจำแล้ว ยังควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกทุกๆ 1-2 ปี แม้ว่าจะไม่มีการรั่วหรือลดระดับลงก็ตาม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าหากเกิดเหตุกะทันหัน เบรกจะยังตอบสนองได้เป็นอย่างดี

อีก ข้อควรระวังก็คือ ไม่ควรนำน้ำมันเบรกต่างยี่ห้อ หรือต่างมาตรฐานกันมาใช้งานผสมกัน เพราะอาจทำให้เกิดปฏิกริยาทางเคมี ซึ่งเป็นสาเหตุให้คุณสมบัติของน้ำมันเบรกเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น หากต้องการเปลี่ยนยี่ห้อ หรือใช้น้ำมันเบรกที่มาตรฐานสูงขึ้น แนะนำให้ทำการล้างระบบเบรกก่อนทำการเปลี่ยนถ่าย

TQM Insurance Broker

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ข้อควรปฏิบัติเมื่อขับรถชนคน


หลายท่านคงมีประสบการณ์เกี่ยวกับอุบัติเหตุมาบ้าง คนส่วนใหญ่มักใส่ใจกับกฎหมายที่เกี่ยวกับกับรถ แต่สิ่งหนึ่งที่เรามักจะละเลยคือการปฎิบัติต่อคนเจ็บอย่างถูกต้อง ถูกวิธี
สิ่งแรกเมื่อคุณขับรถชนคน คือลงไปดูเหตุการณ์เพื่อประเมินสถานการณ์ เพื่อให้คุณตั้งสติได้ว่าขั้นตอนต่อไปควรทำอย่างไร ถ้าเขาบาดเจ็บไม่มาก หมายถึงสามารถเดิน พูดคุยได้ ก็ให้รอประกันมาเคลียร์ แต่ถ้าเขาบาดเจ็บปานกลาง คือ กระดูกหัก เป็นแผลเหวอะหวะในบริเวณที่ไม่สำคัญ ก็หาวิธีส่งไปโรงพยาบาลได้ แต่ถ้าถึงขั้นหมดสติ บาดเจ็บในตำแหน่งสำคัญ หรือ ไม่แน่ใจว่ารอดหรือไม่ ต้องรอรถพยาบาลอย่างเดียวครับ อย่าเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บเองเด็ดขาด
แจ้งประกันในทันที ถ้าคุณทำประกันภัยไว้กับบริษัทใด ไม่ว่าประกันชั้นหนึ่งหรือประกันบุคคลที่สาม คุณควรจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบในทันที ดังนั้น คุณจะต้องมีเบอร์ของบริษัทประกันภัย หรือ โรงพยาบาล หรือ สถานีตำรวจหลายๆ แห่งไว้ในรถ
หาคู่คิด ถ้าคุณคิดว่า เหตุการณ์ร้ายแรงเกินกว่าที่คุณจะรับมือได้ ให้ติดต่อผู้ใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เขาเดินทางมาสมทบโดยเร็ว บอกจุดให้ชัดเจน หรือ แจ้งเขาให้ทราบว่า คุณจะเดินทางไปไหนในจุดหมายต่อไป ให้เปิดมือถือไว้ตลอดเวลาเพื่อการติดต่อ และให้โทรบอกสถานการณ์เป็นระยะๆ อย่าให้ขาดการติดต่อแม้ว่าจะไม่มีความคืบหน้าใดๆ ก็ตาม
ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ถ้าผู้บาดเจ็บมีอาการหนักปานกลาง คือ บาดเจ็บในที่ไม่สำคัญ แต่ต้องรีบพาไปพบแพทย์โดยด่วน ให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยความระมัดระวังขึ้นรถของคุณ(หากยังพอขับได้) โดยอาศัยไทยมุงหรือคนแถวนั้น ช่วยกันหามขึ้นรถ โดยปกติ รถที่จะยอมจอดรับก็จะเป็นแท็กซี่ สามล้อและรถกระบะ อย่าเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บหนักด้วยตนเอง ในกรณีที่มีการบาดเจ็บในตำแหน่งที่สำคัญ เช่น ศีรษะ..คอ..สันหลัง ห้ามเคลื่อนย้ายเองโดยพลการ ไม่ว่าคนเจ็บจะร้องโอดโอย ขอให้ช่วยอย่างใดก็ตามแต่ คุณทำได้ดีที่สุด คือ อธิบายสถานการณ์ให้เขาเข้าใจ และเรียกรถพยาบาลโดยด่วน
ให้ความช่วยเหลือเหมือนเขาคือญาติสนิทของคุณ การที่คุณขับรถชนเขา ถือว่า คุณได้ทำร้ายร่างกายและจิตใจไม่ใช่เฉพาะตัวผู้บาดเจ็บเท่านั้น แต่ยังหมายถึงครอบครัวอันเป็นที่รักของเขาทุกคนด้วย ดังนั้น..แม้ว่าเขาจะไม่ได้เดินข้ามทางม้าลาย เขาวิ่งตัดหน้า ถือว่า คุณขับรถโดยประมาททั้งสิ้น ไม่มีวันที่จะเป็นฝ่ายถูกกฎหมายได้เลย การผ่อนหนักเป็นเบาที่ดีที่สุดก็คือ เขาและครอบครัวเห็นใจในความเอื้ออาทรของคุณ และยินยอมให้เรื่องจบไปโดยง่าย (แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณพ้นผิด) การไปเยี่ยมเยียนอย่างสม่ำเสมอพร้อมของฝากในระหว่างที่เขารักษาตัวและคดี ความยังดำเนินอยู่ ก็สำคัญมาก เพราะบันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากมีข้อความว่า "ผู้ขับขี่ได้บรรเทาทุกข์เบื้องต้นอย่างใส่ใจและครบถ้วนจนทำให้ผู้บาดเจ็บพอ ใจในระดับหนึ่ง" สำคัญมากครับ เพราะเมื่อถึงตอนศาลอ่านพบ มันทำให้ศาลพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า "จำเลยได้สำนึกผิดและให้การช่วยเหลือด้วยดีมาโดยตลอด"
ยอมรับสารภาพผิดเพื่อให้คดีจบเร็วขึ้นและได้รับการลดหย่อนโทษ "ขับขี่โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ (สาหัสหรือตาย)" มีโทษทัณฑ์ตามลำดับ คือ ตัดแต้ม..ยึดใบอนุญาต..ปรับ..ทั้งจำทั้งปรับ  ถ้าคุณสู้คดี โอกาสที่จะชนะมีแต่น้อยมาก และหากไม่ชนะอย่าลืมว่า เขาจะเรียกคุณเบิ้ลเท่าตัวเลยทีเดียว ถ้าคุณมั่นใจ 90 % ก็สู้คดีได้ แต่อย่าลืมว่าคุณเป็นผู้กระทำ เขาเป็นผู้ถูกกระทำให้ได้รับความเดือดร้อน พิการ ความรู้สึกทางด้านจิตใจ ตรงนี้เองที่คนที่เป็นผู้กระทำอดรนทนไม่ไหว ต้องเป็นฝ่ายยอมรับผิด เหตุเพราะสงสาร
กรณีเสียชีวิต แล้วคุณยอมรับผิด มาตรการที่ดีที่สุดคือ เจรจาค่าทำขวัญกับญาติของเขาให้จบไปถ้าคุณมีประกันภัย จะมีวงเงินคุ้มครองตรงนี้อยู่แล้ว แต่ญาติผู้ตายมักเรียกร้องเกินกว่าที่ประกันภัยจะยอมชดใช้ ก็อยู่ในวิจารณญาณของคุณ ถ้าคุณยอมจ่ายส่วนที่เกินแล้วเรื่องจบ ตำรวจนัดคู่กรณีมาบันทึกความตกลง ญาติผู้เสียหายยอมแล้ว โทษทางกฏหมายก็ไม่ถึงขั้นจำคุก
กรณีพิการตลอดชีวิต ถ้าตกลงค่าเสียหาย ค่ารักษาพยาบาลกันได้ที่เงินก้อนหนึ่ง ก็ให้ไปทำความตกลงกันบนโรงพักที่เจ้าหน้าที่ เขาจะได้ไม่มาเรียกร้องค่าเสียหายกับคุณตลอดชีวิตข้อควรจำ แม้จะพูดจากันเข้าอกเข้าใจดี ก็อย่าตกลงกันเอง ให้เจ้าหน้าที่บันทึกไว้เป็นหลักฐานเสมอ มิฉะนั้น คุณอาจจะต้องเสียใจในภายหลังเมื่อคนที่ดูเหมือนง่าย กลายเป็นคนที่เขี้ยวลากดินที่สุดเท่าที่คุณเคยเจอมา ถ้าตกลงกันไม่ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำสำนวนส่งฟ้องศาล ก็แล้วแต่ว่า ศาลจะพิจารณาตัวเลขที่เหมาะสมอย่างไร โดยดูจากสภาพความพิการ ฐานะทางการเงินของทั้งสองฝ่าย ยิ่งสู้คดีกันยาวๆ คนเจ็บก็จะยิ่งเสียเปรียบครับ ไม่มีโอกาสที่จะได้เปรียบมากขึ้นๆ ส่วนตัวคุณผู้ขับรถชนคนพิการ มีสภาวะทางจิตที่ต้องเยียวยาไม่แพ้กัน

คนขับรถทุกคนไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุกับตนเองและผู้อื่น แต่เวลาที่อยู่หลังพวงมาลัย ไม่เคยมีใครคิดว่า ตนเองจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับตนเองและผู้อื่น

เกร็ดความรู้ดีๆจาก #ประกันภัยรถยนต์

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เบรคมือนั้นสำคัญไฉน



เบรคมือเป็นอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาสำหรับใช้ขณะรถจอด หรือหยุดนิ่ง แต่ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่มักละเลยและไม่ใช้ในสถานการณ์ที่จำเป็น จนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ เพื่อความปลอดภัยขอแนะวิธีใช้อย่างถูกต้อง

ก่อน สตาร์ตรถ ควรตรวจสอบเกียร์ (สำหรับเกียร์ธรรมดา) ให้อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง พร้อมดึงเบรคมือขึ้น เพื่อป้องกันคันเกียร์ค้างขณะสตาร์ต เมื่อจะออกรถจึงค่อยปลดเบรคมือเป็นขั้น ตอนสุดท้าย โดยผู้ขับขี่ควรใช้เบรคมือในสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนี้

กรณี รถติดอยู่บนเส้นทางลาดชัน สะพาน ให้ดึงเบรกมือขึ้น (ควรเหยียบเบรคไปด้วย) เพื่อป้องกันรถไหลไปชนรถที่จอดอยู่ด้านหลัง เมื่อจะออกรถให้เข้าเกียร์ แล้วค่อยปลดเบรกมือ พร้อมเหยียบคันเร่งให้สัมพันธ์กัน

กรณีรถจอด ติดไฟแดง หรือการจราจรติดขัดเป็นเวลานาน ให้ดึงเบรคมือขึ้นแทนการเหยียบเบรคเท้าค้างไว้ เพราะอาจเผลอยกเท้าขึ้น ทำให้รถเคลื่อนตัวไปชนท้ายรถคันหน้า

กรณีจอดรถบนทางลาดชัน ควรดึงเบรคมือขึ้นทุกครั้ง ป้องกันรถไหล กรณีเบรคแตก ให้กดปุ่มล็อกเบรคมือ พร้อมดึงเบรคมือขึ้นลงถี่ ๆ ห้ามดึงเบรคมืออย่างรุนแรงในขณะที่ล้อหน้ายังไม่หยุดหมุน เพราะอาจบังคับทิศทางรถไม่ได้ ทำให้รถพลิกคว่ำ พร้อมชะลอความเร็วรถโดยค่อย ๆ ลดเกียร์ลงตามลำดับ จะช่วยหยุดรถอีกทาง

ข้อเตือนใจ ก่อนออกรถ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ได้ขึ้นเบรคมือไว้ เพราะการขับรถโดยลืมปลดเบรคมือ นอกจากจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับขี่แล้ว ยังทำให้ผ้าเบรคสึกหรอ และหมดอายุใช้งานเร็วกว่าปกติ

ห้ามใช้เกียร์ (เกียร์ธรรมดา) แทนการขึ้นเบรคมือขณะจอดรถ เพราะหาก สตาร์ตรถในขณะที่รถเข้าเกียร์จะทำให้รถพุ่งไปข้างหน้าจนเกิดอุบัติเหตุได้

คัดลอกมาจาก
จุลสารลด หยุด ภัย ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัย
TQM Insurance Broker

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ข้อเท็จจริงของก๊าซ NGV เมื่อเทียบกับก๊าซ LPG



เนื่องจากยุคน้ำมันแพงในปัจจุบันทำให้ผู้คนนิยมหันมาแก๊สกันมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลรณรงค์ให้ใช้แก๊ส NGV มากกว่าเมื่อเทียบกับแก็ส LPG (แก๊สหุงต้ม) โดยรัฐบาลได้รณรงค์ให้ประชาชนใช้แก็ส NGV โดยกล่าวว่าแก็ส NGV มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากมีน้ำหนักเบากว่าอากาศหากเกิดการรั่วไหลออกมา ก๊าซจะลอยขึ้นสูงจึงทำให้ปลอดภัยกว่า… ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องเดียวที่ก๊าซ NGV มีความปลอดภัยกว่าก๊าซ LPG

เราจะเปิดเผยข้อมูลที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ เกี่ยวกับแก็ส NGV และแก็ส LPG

เมื่อเปรียบเทียบแก็ส NGV และแก็ส LPG จะพบว่า LPG มีข้อดีกว่า NGV ดังนี้
- สภาพโดยรวมทุกอย่างปลอดภัยกว่า (จะอธิบายต่อไปว่าปลอดภัยกว่าอย่างไร)
- มีค่าติดตั้งถูกกว่า
- การใช้งานประหยัดกว่าราคาต่อระยะทางถูกกว่า NGV
โดย ที่จุดที่แกสมีโอกาสจะรั่วไหลและจะเกิดอันตรายมากที่สุด คือ ปั้มแก็สถ้าแก็ส LPG รั่วไหลถังก๊าสในปั๊มที่ฝังอยู่ในใต้ดินยังคงมีความปลอดภัยเนื่องจากแก็ส LPG มีน้ำหนักที่หนักกว่าอากาศ แก็สจะคงอยู่ในใต้ดินต่อไปไม่ลอยฟุ้งขึ้นมา แต่ก๊าส NGV รั่วไหลจะลอยขึ้นสูงกระจายขึ้นมาสู่ภายนอก ทำให้เกิดอันตรายได้ง่าย ในประเทศไทยปั้มแก็สส่วนใหญ่มีแหล่งที่จะทำให้เกิดประกายไฟ โดยเฉพาะ ร้านอาหาร ร้านค้า สามารถทำให้เกิดเปลวไฟหรือประกายไฟได้ง่าย ด้วยเหตุผลดังกล่าวเมื่อเทียบปั๊มก๊าสทั้งสองชนิด ปั๊มก๊าส LPG ใช้เงินลงทุนเพียง 10 ล้านบาทเท่านั้น ในขณะที่ ปั๊ม NGV ต้องลงทุนถึง 50 ล้านบาท ต่างกันถึง 5 เท่า
อีกเรื่องหนึ่งที่หน่วยงานของรัฐบาลไมได้ กล่าว คือ ถังบรรจุก๊าส LPG ต้องรับแรงดันเพียง 200 ปอนด์ เปรียบเทียบกับถังก๊าส NGV จำเป็นต้องรับแรงดันมากถึง 3000 ปอนด์! ซึ่งหากเกิดระเบิดขึ้นจะมีอนุภาพทำลายคนที่อยู่รอบข้างและคนที่อยู่ในรถถึง ตายได้
เดิมทีชื่อของแก๊ส NGV คือ CNG หรือ Compressed Natural gas หรือ แก๊สธรรมชาติอัดแรงดัน ซึ่งไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใดจึงต้องเปลี่ยนเป็นชื่อ NGV หรือต้องการให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแก๊สนี้ปลอดภัยขึ้น
ถึงแม้ในปัจจุบันถัง แกส LPG จะยังไม่ได้มาตรฐาน แต่ก็ปลอดภัยกว่ามาก แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานวิชาการที่แน่ชัด แต่เมื่อพิจารณาจากการใช้งานของรถแท็กซี่ก็จะพบว่า แท็กซี่ที่มีการติดตั้งใช้แก๊ส ประมาณ 100,000 คัน แต่ละคัน วิ่งเฉลี่ย 1,000 กม/วัน มีอายุการใช้งานประมาณ 30 ปี น้อยคัน ที่จะให้วิศวกรทำการตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยขณะที่รถที่ติดแก๊ส NGV ทุกคัน ต้องให้วิศวกรตรวจสอบประจำทุกปี
ซึ่งเมื่อนำมาคำนวณระยะทางสะสม ของรถติดแกส LPG ได้ดังนี้คือ 100,000 x 1,000 x 365 x 30 จะเท่ากับ 1,095,000,000,000 หรือ ล้านล้านกิโลเมตร
แต่เพราะเหตุใด อุบัติเหตุจากการระเบิดของแกส LPG จึงเกิดขึ้นน้อยมาก? …

แล้วคุณจะมั่นใจใช้แก๊ส LPG หรือ แก๊ส NGV ละครับ?


TQM Insurance Broker

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

รถไฟไหม้ ใครรับผิดชอบ



จาก เหตุการณ์ที่ผ่านมา เกิดเหตุเพลิงไหม้ศูนย์ซ่อมรถยนต์นิสสัน เหตุเกิดจากการเผาหญ้าแล้วลุกลาม ไปยังร้านรับซื้อของเก่าและศูนย์ซ่อมรถนิ สสันทำให้รถจอดรอซ่อมถูกเพลิงไหม้เสียหายหนัก 32 คัน และเสียหายเป็นบางส่วน 10 คัน รวมทั้งสิ้น 42 คัน พร้อมอุปกรณ์อะไหล่ยนต์ ได้ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งสิ้นทั้งหมดรวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท หากรถยนต์ดังกล่าวได้ทำประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ไว้ บริษัทประกันภัยรถยนต์จะรับผิดชอบหรือไม่ เพียงใด
ตาม เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ หมวดการคุ้มครองรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ กรณีรถยนต์ไฟไหม้ บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อรถยนต์เกิดความเสียหายจากไฟไหม้ไม่ว่าจะ เป็นการไหม้โดยตัวของมันเอง หรือเป็นการไหม้ที่เป็นผลสืบเนื่องจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม จากกรณีข้างต้นสามารถแยกเป็น 2 กรณีได้ดังนี้
- กรณีแรก รถเสียหายสิ้นเชิงหรือรถเสียหายหนัก บริษัทจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนเงินเอาประกันภัย ที่ระบุไว้ในตาราง รถยนต์เสียหายสิ้นเชิง หมาย ถึง รถยนต์ได้รับความเสียหายจนไม่อาจซ่อมให้อยู่ในสภาพเดิมได้ หรือเสียหายไม่ น้อยกว่าร้อยละ 70 ของมูลค่ารถยนต์ในขณะเกิดความเสียหาย หากทุนประกันภัยต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่ารถยนต์ในขณะที่เอาประกันภัยผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ แล้ว แต่กรณี ต้องโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่บริษัททันที โดยค่าใช้จ่ายของบริษัท และให้ถือว่าการคุ้มครองรถยนต์นั้นเป็นอันสิ้นสุด
- กรณี ที่สอง รถยนต์ได้รับความเสียหาย แต่ไม่ถึงกับเสียหายสิ้นเชิง บริษัทประกันภัยและผู้เอาประกันภัยอาจตกลงกัน ให้มีการจัดซ่อมรถ หรือเปลี่ยนรถยนต์ซึ่งมีสภาพเดียวกันแทนได้ ทั้งนี้รวม ทั้งอุปกรณ์ของรถยนต์นั้น หรือชดใช้เงินเพื่อทดแทนความเสียหายนั้นก็ได้
สรุป ได้ว่าหากรถยนต์ได้รับความเสียหายอันเกิดจากไฟไหม้ ไม่ว่าไฟที่ไหม้รถยนต์ นั้น จะเกิดจากความไม่สมประกอบ หรือการชำรุดบกพร่องของตัวรถยนต์เอง หรือการ เกิดไฟไหม้ที่เป็นผลมาจากสาเหตุอื่นก็ถือว่าเป็นความเสียหายจากรถ ยนต์ไฟไหม้ ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองตามหมวดการคุ้มครองรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ ที่บริษัทประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เลือกติดแก๊ส อย่างไร ให้ปลอดภัย....


ทุกวันนี้ราคาน้ำในที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างลดละอาจจะทำให้ใครหลายคน ต้องหาทางออกให้กับชีวิต และหลายคนฟังมาเขาเล่าติดแก๊สแล้วดี และก็ไปดำเนิน โดยอาจจะเลือกร้านที่บอกต่อๆ กันมา หรือเพื่อนแนะนำ เพราะเคยไปติดมา หากแต่เชื่อหรือไม่ว่า  แค่ติดแก๊สก็เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าที่คุณคิด

    การติดแก๊สฟังผิวเผินคือการที่เราเพิ่มความสามารถของรถให้สามารถรองรับ หับพลังงานทางเลือกไม่ว่าจะแก๊ส  LPG  หรือ  CNG  ก็ดี หากแต่ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือว่า การเลือกติดแก๊สนั้นสุ่มเสียงทางด้านความปลอดภัยในการขับขี่ด้วย เนื่องจากแก๊สมีสถานะเป็นก๊าซที่มีความไวไฟสูงหากเกิดข้อผิดพลาดจากการติด ตั้งระบบอาจจะหมายถึงหายนะแบบที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายราย สูญเสียทั้งรถ และบางรายอาจหมายถึงชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ไม่เพียงแค่นั้นการเลือกติดแก๊สไม่ถูกต้องอาจจะหมายถึงปัญหาที่ยาวนานไม่รู้ จบ จนคุณอาจจะเบื่อหน่ายและวันนี้เราจะมาแนะนำกันว่า จะเลือกติดแก๊สกันอย่างไร ตั้งแต่ตัดสินใจไปจนถึงเสร็จสินกระบวนการ
1. เลือกระบบ  ก่อนที่จะเริ่มไปหาร้านชองหาข้อมูลเกี่ยวกับระบบแก๊สที่สนใจ แล้วลองเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียดูของแต่ละระบบ รวมถึงชนิดก๊าซด้วย  เช่นระบบฟิกมิกเซอร์ มีข้อดีกว่าตรงที่ง่ายต่อการติดตั้งมีราคาถูก เป็นต้น หรือระบบหัวฉีดที่มีความแม่นยำในการสั่งจ่ายพลังงานมากกว่า  เป็นต้น
2. ช่างใจก่อนลงมือ หลายคนเจอแรงยุในการเลือกพลังงานทางเลือกทั้งๆที่รถยนต์หลายๆรุ่นมีความ สามารถในการใช้พลังงานทางเลือกแบบอื่นที่มีความแตกต่างกันอยู่แล้ว อย่างเช่นหันไปใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นต้น ก็อาจจะเป็นทางออกที่เหมาะสม ก่อนตัดสินใจไปลงมือติดแก๊ส เพราะต้องยอมรับว่านาทีทีติดแก๊สแล้วจะไม่สามารถหวนกลับได้ สำหรับรถใหม่ หมายถึงประกันเครื่องยนต์ของคุณจะถูกเพิกถอนทันที ลองคิดดุดีๆช่างใจ แล้วดึงความสามารถของรถออกมาใช้ก่อนก็ย่อมได้
3. เลือกร้านที่น่าไว้ใจ..  การติดแก๊สไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ดังนั้นอ่าทำเป็นเล่นในเรื่องนี้เด็ดขาด การเลือกร้ายที่จะติดแก๊สถือเป็นสิ่งสำคัญ ควรมองหาร้านที่มีช่างที่สามารถวางใจได้ มีมาตรฐานในการบริการ ไม่ใช่ร้านที่เพียงเน้นการติดตั้งราคาถูกเท่านั้น ทางที่ดีหากร้านมีการรับประกันคุณภาพหลังจากการติดตั้งก็ยิ่งดี ที่สำคัญทำเลของร้านก็มีส่วนในการเลือกด้วย ควรเลือกร้านที่สะดวกต่อการเดินทางไปดูแลรักษาในกรณีที่ระบบเกิดขัดข้องหรือ มีปัญหาด้วย
4. อย่างกเงิน พูดตรงๆ คนติดแก๊สคือคนที่อยากจะเซฟเงินในกระเป๋าแต่บางครั้งก็ต้องยอมรับว่าความขี้ ตืดอาจจะนำมาซึ่งหายนะได้อย่างหลายกรณีรถไฟไหมที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง หลายหน การเลือกอุปกรณ์ที่ดีเป้นสิ่งสำคัญ บางยี่ห้อให้การรับประกันในความเสียกายที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย ช่วยให้สบายใจมากยิ่งขึ้น ดังนั้น บางทีเลือกแก๊สที่มีคุณภาพสูงก็ช่วยได้พอสมควรในเรื่องความปลอดภัย
5. บำรุงเครื่องยนต์ จริงๆแล้วไม่มีใครมักพูดถึงเครื่องยนต์ที่ติดแก๊สว่าจะมีสภาพอย่างไร หลายคนเลี่ยงประเด็นี้เพราะทุกคนที่ใช้แก๊สล้วนทราบกันดีว่ามีโอกาสที่กลไก จะเสื่อสภาพเร็วกว่าปกติ เนื่องจากค่าความร้อนของการจุดระเบิดแก๊สที่มากกว่าการจุดระเบิดด้วยน้ำมัน นั่นเอง
ดังนั้นหลังติดแก๊สแล้วลองหมั่นตรวจสอบการทำงานของเครื่องยนต์เป็นประจำ ด้วย และควรทำเป็นประจำทุกเดือนอาจจะมองตอนถ่ายน้ำมันเครื่องก็ได้ โดยเฉพาะสีน้ำมันเครื่องยนต์ และทางที่ดีควรมองหาน้ำมันเครื่องแบบพิเศษเฉาะรถติดแก๊สถ้าเป็นไปได้
6. อย่าลืมขึ้นทะเบียน หลายคนมักลืมว่าเมื่อติดแก๊สแล้วเรายังจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญต่อการ ขึ้นทะเบียนกับกรมการขนส่งเพื่อสำแดงว่ารถยนต์เราเป็นรถติดแก๊สด้วยในคู่มือ ซึ่งตามหลักหลังติดตั้งเสร็จแล้วจะต้องนำไปให้วิศวกรตรวจพร้อมเซ็นใบรับรอง การติดตั้งในชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆด้วย หากไม่ผ่านต้องรีบกลับไปแก้แล้วหลังจากนั้นไปจดทะเบียนเสียเพื่อป้องกันจ่า จับ
7. ตรวจระบบแก๊สบ้าง หลายคนมักติดแก๊สแล้วครับเลยแบบไม่สนใจว่ามันจะเป้นอย่างไร แต่ทางที่ดีหากพบอาการผิดปกติเช่นมีกลิ่นแก๊สเข้าห้องโดยสารหรือ ระบบไม่ทำงานหรือมีการทำงานที่ผิดพลาดห้ามวางใจรับนำไปเข้าร้านที่ติดตั้ง โดยทันที  และแม้ในกรณีระบบปกติ ทุกๆ 1ปี ควรเข้าไปตรวจเช็คบ้างเสียเวลาเล็กน้อยแต่ให้ความมั่นใจได้มากขึ้น
จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้น่าจะช่วยให้เพื่อนๆมั่นใจได้มากขึ้นสำหรับใคร ที่กำลังจะหาทางออกนำรถยนต์ไปติดตั้งระบบแก๊ส และแม้จากทั้ง 7 ขั้นที่เราบอกจะฟังดูยุ่งยากแต่ถ้าศึกษาอย่างถ่องแท้จะพบว่า มันไม่ยากอย่างที่คิดเลย

เกร็ดความรู้ดีๆ ที่ TQM Insurance Broker นำมาฝาก

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความรู้เกี่ยวกับลมยาง


ตรวจวัดลมยาง อย่างถูกวิธี
  คุณรู้มั้ยว่าควรเติมลมยางเท่าไหร่? หลายท่านสงสัยว่าความดันลมยางที่เหมาะสมกับรถยนต์นั้น ควรจะเป็นเท่าไหร่ ควรใช้แรงม้าหรือน้ำหนักรถเป็นเกณฑ์วัด? มาใส่ใจกับการสูบลมยางให้ถูกวิธี
ข้อควรปฏิบัติ

           ควรตรวจเช็กลมยาง และปรับแต่งให้ถูกต้องตามอัตราที่กำหนด หรือตามคำแนะนำ ในหนังสือคู่มือของรถยนต์เป็นประจำ

            ในกรณีของยางใหม่ ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คลมยาง ให้มากกว่าปกติ (ในช่วง 3,000 กม. แรก) เนื่องจากโครงสร้างยางในช่วงนี้ จะมีการขยายตัว ทำให้ความดันลมยางลดลงจากปกติได้

            ห้ามปล่อยลมยางออก เมื่อความดันลมยางสูงขึ้นขณะกำลังใช้งาน เพราะความร้อนที่เกิดขึ้นขณะใช้งาน เป็นตัวทำให้ความดันลมภายในยางสูงขึ้น เมื่อยางเย็นตัวลง ความดันลมยางก็จะกลับสู่สภาวะปกติ

           เพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว ควรเปลี่ยนวาล์ว และแกนวาล์วทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่ และมีฝาปิดวาล์วตลอดเวลา

            สำหรับยางอะไหล่ ให้ตรวจเช็กลมยางให้ถูกต้องทุกๆ เดือน

เติมลมยางไนโตรเจน
" ปัจจุบัน การเติมลมยางไนโตรเจน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่กำลังได้รับความนิยม เพราะมีข้อดีหลายอย่าง ในระยะเริ่มต้น มีเติมเฉพาะยางล้อเครื่องบิน และ รถแข่งเท่านั้นครับ "

ข้อดีของการเติมลมยางด้วยไนโตรเจนมีดังนี้ครับ

  1.ช่วยประหยัดน้ำมัน จากการพิสูจน์ในอเมริกา รถที่เติมลมด้วยไนโตรเจน อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันจะลดลง โดยจำนวนระยะทางที่วิ่งได้ต่อน้ำมัน 1 แกลอน จะสูงขึ้น 1 ถึง 1.5 ไมล์


เหตุผล ด้วยอุณหภูมิของล้อที่ลดลง เมื่อใช้ลมยางไนโตรเจน จะช่วยลดแรงเสียดทานในการหมุนของยาง จึงช่วยประหยัดน้ำมัน

  2ปลอดภัยยิ่งขึ้น ทำให้อุบิตเหตุที่มีสาเหตุจากยางลดลง

เหตุผล เพราะไนโตรเจนจะช่วยรักษาอุณหภูมิของยางอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ความดันภายในลมยางขายตัวได้น้อย จึงช่วยรถอุบัติเหตุจากการระเบิดของยางที่เกิดจากความร้อน

  3. ไม่ต้องตรวจเช็คลมยางบ่อย อันนี้คงเหมาะกับสุภาพสตรีทั้งหลายที่ไม่มีความชำนาญเรื่องการดูแลรักษารถ

เหตุผล เพราะไนโตรเจนมีอะตอมขนาดใหญ่กว่า ออกซิเจนมาก ทำให้ซึมเข้าออกเนื้อยางได้ยากกว่าออกซิเจน ดังนั้นลมยางจึงไม่ค่อยลดลง

  4. ช่วยยืดอายุยาง มีผลมากกับยางที่ใช้น้อยแต่ใช้มาเป็นเวลานานๆ

เหตุผล เพราะการเติมลมยางปกติ ที่มีออกซิเจนผสมอยู่มากจะเข้าไปทำปฎิกิริยากับเคมีในเนื้อยาง ทำให้เสื่อมสภาพเร็วกว่าไนโตรเจน นอกจากนี้การที่อุณหภูมิร้อนน้อยกว่าทำให้ยากสึกหรอน้อยกว่าอีกด้วย

เกร็ดความรู้ที่ TQM Insurance Broker นำมาฝาก

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

9 วิธีดูแลรถให้ดูดีเสมอ


คน ส่วนใหญ่มักจะตัดสินใจซื้อรถด้วยเหตุผลของราคายิ่งในยุคที่สภาวะเศรษฐกิจที่ ไม่แน่นอน ส่วนเหตุผลข้อต่อมาคือประโยชน์ใช้สอย และอัตราการบริโภคน้ำมันของเครื่องยนต์ น้อยคนนักที่จะนึกถึงการบำรุงรักษาเครื่องยนต์หลังจากได้เป็นเจ้าของรถแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งจำเป็นที่เจ้าของรถควรทราบและคำนึงถึง เพื่อยืดอายุการใช้งานพาหนะคู่ใจด้วยวิธี่งายๆ ดังนี้
1 ปฏิบัติตามคู่มือการใช้รถยนต์ที่ให้มาตอนซื้อรถ ถ้ามีตารางการซ่อมบำรุงก็ใช้เป็นแนวทางในการตรวจเช็ครถ แต่ควรตรวจเช็คในคู่มืออีกทีว่าถึงเวลาเปลี่ยนอะไหล่เมื่อไหร่

2 อย่าลืมเปลี่ยนสายพานเมื่อรถวิ่งได้ทุกๆ 60,000 – 90,000 ไมล์ การเปลี่ยนสายพานราคาอาจจะสูงสักหน่อย แต่ก็ถูกกว่าค่าเสียที่เกิดขึ้นหากสายพานขาด

3 หยอดกระปุกไว้สำหรับการซ่อมบำรุงรถ เพราะในแต่ละปีคุณควรจะมีงบในการบำรุงรักษารถ 5,000 – 20,000 บาท แล้วแต่อายุการใช้งาน ถ้ามีการสะสมงบเอาไว้ล่วงหน้าเมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นกับรถก็จะไม่กระทบ กับการเงินของคุณ

4 หาข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นที่คุณใช้ รถทุกรุ่นมักจะมีเว็บไซต์ของตัวเอง บอกข้อมูล และปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นเวลาใช้ คุณจะได้มีความพร้อมที่รับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับรถของคุณ

5 เวลาขับขี่คอยสังเกตว่ามีเสียง หรือกลิ่นที่ผิดไปจากปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้ามีควรปรึกษาช่างเพื่อหาสาเหตุ คุณผู้ใช้รถเป็นประจำเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดเมื่อรถเกิดอาการผิดปกติ

6 เมื่อเกิดความเสียหายกับรถให้ซ่อมทันที แม้ว่าจะเป็นความเสียหายเล็กน้อย อาทิ เบาะที่นั่งขาด หรือสายไฟหลุด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น หรือสร้างความรำคาญให้กับคุณเอง
7ใช้อะไหล่ที่มีคุณภาพ หากมีงบประมาณจำกัดไม่สามารถซื้ออะไหล่แท้ควรปรึกษาช่างเพื่อหาทางเลือก การซื้ออะไหล่แท้มือสองก็เป็นอีกทางที่จะได้ของคุณภาพในราคาย่อมเยา

8 ทำความสะอาดรถอย่างสม่ำเสมอ สีรถนอกจากจะช่วยให้รถดูดี ยังเป็นการปกป้องวัสดุข้างในด้วย ควรล้างรถเป็นประจำ ถ้าน้ำเริ่มไม่เกาะเป็นหยดๆ บนสีรถ ให้ลงแว็กเคลือบสี

9 ควรขับรถอย่างนิ่มนวล แม้ว่าการขับรถด้วยความเร็วสูงบ้างในบางครั้งจะช่วยให้เครื่องยนต์มีความ คล่องตัว แต่ไม่ควรเหยียบคันเร่งจนมิด หรือขับรถโดยใช้ความเร็วสูงตลอดเพราะไม่เป็นผลดีต่อเครื่องยนต์

เพียงเท่านี้คุณก็ยิ้มได้อย่างภูมิใจเมื่อมีคนพูดอย่างชื่นชมว่ารถคุณยังดูใหม่แม้ว่าจะวิ่งได้ 150,000 ไมล์ แล้ว.....
ที่มา www.manager.co.th
เป็นเกร็ดความรู้ที่ทาง TQM Insurance Broker นำมาฝาก

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สตาร์ทรถ เรื่องง่ายๆที่อย่ามองข้าม



 เคยถามไหมว่า ก่อนออกรถคุณควรจะทำอย่างไร หลายอาจจะตอบคำถามนี้ในหลากข้อต่งๆมากมาย แต่เรื่องหนึ่งที่ดูแล้วจะขาดไม่ได้ก็คงเป็นในส่วนของการสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ทำงาน เพื่อพร้อมจะขับเคลื่อนไปข้างหน้า  สู่จุดหมายปลายทาง
   พวกเราหลายคนที่ขับรถคงจะผ่านการทั้งบิด ทั้งกด เพื่อสตาร์ทรถยนต์แทบจะทุกวัน วันหนึ่งอย่างน้อยก็สองครั้ง  หากแต่เคยคิดไหมครับ ว่าการสตาร์ทรถยนต์ก็ยังต้องการวิธีที่ถูกต้องและเรื่องง่ายๆนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด เชื้อเชิญปัญหาให้เข้ามาดูดเงินในกระเป๋าคุณก็เป็นไปได้

  เมื่อเร็วๆนี้ ในประเทศไทยมีเคสหนึ่งที่น่าสนใจในการสตารืทรถยนต์ไม่ถูกวิธี เมื่อ โตโยต้าได้รับแจ้งจากลูกค้าว่า เกิดไฟโชว์แอร์แบ๊กติดตลอดวลาขับขี่ และหลังจากลงไปแก้ขัญหานี้ก็พบว่า มีความเกี่ยวเนื่องมาจากการบิดกุญแจสตาร์ทรถไม่ถูกต้องทำให้เกิดการค้างหรือลัดวงจรของระบบทำให้ไฟโชว์ดังกล่าวเกิดขึ้น
   แม้ฟังดูมันไม่น่าจะเป็นเรื่องราวที่น่าจะเกี่ยวกันได้ แต่นี่เป็นข้อเท็จจริงที่หลายคนมองข้าม เพราะกุญแจในรถยนต์ไม่ได้เหมือนกุญแจบ้าน ที่เสียบแล้วก็จะกระทำชำเราบิดพรวดสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ทันที เพราะในช่องกุญแจเหล่านี้นอกจากจะเป็นตัวล็อคต่างๆมากมายแล้ว ยังเป็นสวิทช์หลักในการตัดต่อระบบไฟฟ้าของรถยนต์ด้วย ซึ่งไปลองดูสิว่า วันนี้คุณสตาร์ทรถยนต์ถูกแล้ว หรือยัง
      1.รู้จักตำแหน่ง ในการสตาร์ทรถยนต์แต่ละครั้งหลายคนอาจจะคิดว่าเสียบกุญแล้วบิดก้น่าจะจบ แต่ความจริงแล้ว ถ้าคุณลองบิดสวิทช์เหล่านี้ช้าๆก็จะพบว่า มันมีขั้นต่างๆประมาณ 3 ขั้น ด้วยกัน
1.  Lock ตำแหน่งสวิทช์แรกที่เสียบกุญแจเข้าไปซึ่งตำแหน่งคือตำแหน่งดับเครื่อง เช่นเดียวกันมันยังสามารถใช้ล็อคพวงมาลัยได้อีกด้วย

2. ACC  ในตำแหน่งที่ 2 อาจจะดูเหมือนไม่มีความสำคัญมากนัก แต่เป็นตำแหน่งที่คุณสามารถใช้ระบบความบันเทิงต่างๆของรถได้ เช่นระบบปรับอากาศ ,ระบบเครื่องเสียง โดยที่ไม่ต้องสตารืทเครื่องยนต์ แต่ไม่ควรทำบ่อยครั้ง เพราะแบตเตอร์รี่อาจจะหมดได้
3.On ตำแหน่งที่ไฟฟ้าถูกจ่ายเพื่อพร้อมสตาร์ทคล้ายกับ ACC  แต่เมื่อบิดมาตำแหน่งนี้ ระบบ จะทำการสตารืทพร้อมทำงานในส่วนมาตรวัดต่าง โดยไฟเตือนต่างๆ จะทำงาน เพื่อแสดงสถานะความพร้อมใช้งาน
4. Start  ตำแหน่งสุดท้าย ที่เมื่อบิดกุญแจ ไฟฟ้าจะจ่ายไฟไปยังชุดมอเตอร์สตาร์ทเพื่อถีบฟลายวีล หรือล้อช่วยแรงที่ติดอยุ่กับเครื่องยนต์เพื่อเริ่มต้นการทำงาน และจะกลับมาที่ตำแหน่งออกเองหลักจากทำงานแล้ว หากในการสตาร์ทคุณเผลอไปบิดตำแหน่งนี้อีกครั้งหลังเครื่องยนต์ทำงาน อาจจะทำให้ฟันเฟืองของมอเตอร์สตาร์ทเสียหายได้


      2.สตาร์ทอย่างไรถึงถูก  ด้วยความที่มันง่ายมาก ทำให้ไม่มีใครใส่ใจในส่วนของระบบกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์มากนัก แต่วันนี้เมื่อเราอยุ่ในช่วงร่วมสมัยลองมาดูสิว่า ต้องทำอย่างไรก่อนสตาร์ทกันบ้าง
1.ตรวจสอบตำแหน่งเกียร์ หลายคนมักลืมที่จะตรวจสอบในเรื่องนี้ก่อนทำการสตาร์ท ซึ่งสำหรับเกียรือัตดนมัติมันอาจจะไม่ใช่ปัญหามากมายอะไร แต่กับเกียร์ธรรมดา ถ้าคุณลืมว่าเกียร์ถูกเข้าแล้วสตาร์ทเครื่อวง เมื่อเริ่มการสตารืทรถก้อาจจะพุ่งไปข้างหน้าจนกลายเป็นอุบัติเหตุได้ ในที่สุด
2.ปิดระบบไฟฟ้าทั้งหมด หลายคนมักไม่ปิดระบบต่างตอนลงจากรถและเมื่อกลับขึ้นมาก็สตาร์ทเครื่องยนตืทำงาน พร้อมทั้งระบบปรับอากาศ และเครื่องเสียง ซึ่งจริงอยู่ว่าสามารถทำได้ แต่ในทางที่ถูกต้องควรจะปิดก่อน เพื่อให้แบตเตอร์รี่มีกำลังไฟเต็มที่ในการจ่ายไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าในการสตาร์ทเครื่องนนต์ ซึ่งจะทำให้มอเตอร์สตาร์ทสึกหรอน้อยลง เช่นเดียวกับชิ้นส่วนการทำงานของเครื่องยนต์ เนื่องจากการสตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งแรกอาจจะต้องทำงานหนักเป้นพิเศษ
3.ตรวจสอบสถานะ หลายคนลืมไปว่า เราควรตรวจสอบระบบต่างๆให้พร้อมก่อนสตารืทเครื่องยนต์ ซึ่งไม่ได้เสียเวลามากนัก ความจริงแล้วตามหลักที่ถูกต้อง คือ ควรให้ไฟเตือนนั้นขึ้นและดับครบก่อนจึงจะสามารถสตารืทเครื่องยนต์ได้ และเมื่อสตาร์ทไปแล้วนั้น ก็ควรดูว่ายังมีไฟเตือนที่ผิดสังเกตหลงเหลือบนหน้าปัดหรือไม่ ในเรื่องนี้ก็รวมถึงในการตรวจสอบเสียง โดยเฉพาะเสียงในลักษณะเหล็กเคาะหรือเสียดสีกัน หรือความสั่นสะเทือนที่ผิดปกติของเครื่องยนต์ ก่อนออกรถด้วย

            การสตาร์ทเครื่องยนต์อาจจะเป็นเรื่องง่ายและใกล้ชิดกับพวกเราทุกคน แต่ว่า การทำอย่างไรให้ถูกต้องกับเป็นเรื่องที่เรามองข้างมไปโดยปริยาย ซึ่งอาจจะจริงที่ว่า มันไม่เสียง่ายๆแต่การทำในสิ่งที่ถูกต้องก็ช่วยรักษาสภาพไม่เพียงแค่สวิทช์กุญแจ แต่รวมถึงในส่วนของเครื่องยนต์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวโยงอื่นๆ ด้วย

เป็น้กร็มความรู้ที่ทาง TQM Insurance Broker

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การขับขี่กับรถเสียศูนย์



รถที่เสียศูนย์สามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง
รถยนต์ที่ได้มาตรฐานนั้น นอกเหนือจากโครงสร้างตัวถัง เครื่องยนต์ และชิ้นส่วนประกอบต่าง ๆ แล้ว ทางทีมผู้ผลิตยังได้ออกแบบระบบควบคุมทิศทาง ระบบรองรับน้ำหนัก และระบบกันสะเทือน เพื่อให้รถแต่ละคันมีประสิทธิภาพ และมีสมรรถนะในการขับขี่ รวมถึงการยึดเกาะถนน และการควบคุมพวงมาลัยให้สมบูรณ์ที่สุด
สำหรับรถยนต์ที่ถูกใช้งานอย่างสมบุกสมบันบนพื้นผิวถนนที่ขรุขระ หรือเกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดการสึกหรอของชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้อันเนื่องมาจากอายุการใช้งาน ซึ่งมักจะมีผลกระทบที่ทำให้การบังคับทิศทางของรถคันนั้นไม่ตรงตามที่เรา กำหนด บางครั้งอาจเกิดอาการกินซ้าย หรือกินขวา ก็เป็นได้เช่นกัน หรือเรียกอีกอย่างว่า "เสียศูนย์"
เมื่อรถของคุณเองมีอาการเสียศูนย์ คุณสามารถสังเกตได้ด้วยตนเองดังนี้
- ในขณะขับขี่ทางตรง รถเกิดอาการเบนออกไปทางซ้ายหรือขวา ทำให้ผู้ขับขี่ต้องขืนพวงมาลัยตลอดเวลา
- ขณะที่วิ่งเข้าโค้ง รถยนต์จะเสียการทรงตัวง่ายกว่าสภาพปรกติ การสึกของยางผิดไปจากเดิม หรือที่เรียกว่า "ยางสึก"
- ขณะวิ่งรอยล้อหลังจะไม่วิ่งไปทับรอยล้อหน้ารัศมีวงเลี้ยวทางด้านซ้ายและขวาไม่เท่ากัน
- ขณะเหยียบเบรคจะเกิดอาการปัดไปด้านใดด้านหนึ่ง
อาการเหล่านี้หากไม่รุนแรง ผู้ขับขี่สามารถนำรถเข้ารับการเช็กที่ศูนย์บริการใกล้บ้าน เพื่อให้ช่างปรับตั้งศูนย์ล้อใหม่ แต่ถ้าหากอาการดังกล่าวอยู่ในขั้นรุนแรง ควรนำรถเข้าซ่อมทั้งระบบทันที ซึ่งอาจจะต้องเปลี่ยนลูกหมากทั้งชุด ปรับแต่งองศาปีกนกและส่วนอื่น ๆ ให้ได้ค่าองศามาตรฐานตามเดิม ที่ออกมาจากโรงงานผลิต
นอกจากนี้ ควรเลือกศูนย์บริการที่ได้มาตรฐาน พร้อมช่างที่มีความรู้ ความชำนาญ และมีประสบการณ์สูง เพราะหากซ่อมไม่ถูกวิธี หรือใช้เครื่องดึงตัวถังที่ไม่ได้มาตรฐาน องศาหรือค่ามาตรฐานของโครงสร้างตัวถังจะเสียไป ซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนด้อยลง
ฉะนั้นผู้ขับขี่รถจึงควรดูแลรักษาระบบช่วงล่าง รวมทั้งลูกหมาก คันชักคันส่ง เมื่อมีการเสื่อมสภาพ "ไม่ควรฝืนใช้งานไปเรื่อย ๆ เพราะจะก่อให้เกิดผลเสียอย่างอื่นตามมา เช่น อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่บนถนนขรุขระ หรือหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ไม่ควรใช้ความเร็วสูง ควรชะลอความเร็ว และหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นหลุมขนาดใหญ่"
สำหรับรถยนต์ที่ทำการดัดแปลงช่วงล่าง เช่น เปลี่ยนช็อกแอบฯ ทำให้รถต่ำลง ยกสูงใส่ยางขนาดใหญ่กว่ามาตรฐาน เพื่อให้รถมีความสวยงามโดดเด่นมากยิ่งขึ้น แต่การปรับแต่งเหล่านี้ จะส่งผลทำให้รถเกิดอาการเสียศูนย์ได้ง่ายกว่าปรกติมากขึ้น


ที่มา : นิตยสาร รถวันนี้ :: http://www.nimseeseng.com

นำมาฝากโดยTQM Insurance Broker

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การดูแลรักษารถสีดำ เพื่อไม่ให้เกิดรอยขนแมว


1. ไม่ ควรใช้ไม้ขนไก่ หรือแปรงปัดฝุ่นทุกชนิด ปัดฝุ่นเพื่อทำความสะอาดรถ เพราะขณะที่ปัดฝุ่น ไม้ปัดฝุ่นจะลากถูขี้ฝุ่น เม็ดทราย ไปตามสีรถ ทำให้เกิดริ้วรอย ประหนึ่งว่าใช้กระดาษทรายเช็ดรถเลยทีเดียว
 2. ห้าม ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรถแทนการล้างรถ เพราะจะเป็นการทำลายสภาพสี โดยรอยขนแมวจะเกิดขึ้นจากผงฝุ่นต่างๆ ที่ติดบนผ้า ยิ่งเช็ดรถมากขึ้นการเกิดรอยก็ย่อมมากขึ้นตามปริมาณกากเช็ด ควรล้างรถอย่างเดียว
 3. หลีก เลี่ยงการล้างรถตามปั๊ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องล้างรถอัตโนมัติ เพราะการล้างรถที่ไม่ได้มาตรฐาน จะทำให้เกิดรอยขนแมวขึ้นได้อย่างมหาศาล
 4. ผ้า ที่ล้างรถและเช็ดรถ ควรจะเป็นผ้าที่สะอาดและนุ่ม ถ้าสามารถใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มได้ก็จะยิ่งดีมากๆเลย และถ้าจะให้ยิ่งดีขึ้นควรใช้ผ้าชามัวร์หรื่อผ้าไมโครไฟเบอร์ และอย่าออกแรงเช็ดหรือถูมากจนเกินไป
 5. เคลือบ สีรถบ่อยๆ ให้บ่อยกว่ารถสีอ่อน เพราะการเคลือบสีเปรียบเสมือนการสร้างแผ่นฟิล์มขึ้นมาป้องกันชั้นแลคเกอร์ รวมไปถึงชั้นสีของรถ นอกจากจะมีส่วนทำให้รถมีความเงางานมากขึ้นแล้ว การเคลือบสียังมีส่วนช่วยในการปกป้องสีรถ ไม่ให้หมอง เก่า ด้าน สีแตก ก่อนเวลาอันควร อีกทั้งยังสามารถช่วยป้องกันรอยขีดข่วน รอยขนแมว และความร้อนจากห้องเครื่องและแสงแดด ที่สามารถทำลายสีรถ ตลอดจน ปกป้องคราบสกปรกต่างๆ ที่เกิดจากมูลนก ยางไม้ น้ำค้าง ยางมะตอยได้เป็นอย่างดี

การล้างรถ


การ ทำความสะอาดรถเป็นเรื่องที่เราเจ้าของรถต้องให้ความเอาใจใส่เป็นประจำ เพราะจะเป็นผลดีต่อรถ ด้วยวิธีทำความสะอาด เริ่มจากการใช้ไม้ขนไก่ หรือถ้าผ้าแห้งนุ่มๆปัดหรือเช็ดฝุ่นออกเบาๆ และ ผ้าที่ใช้จะต้องไม่มีความหยาบ หรือมีของแข็งใดๆ ติดอยู่ หากปัดหรือเช็ดแล้วไม่สะอาดพอให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออก ไม่ควรใช้ผ้าแห้งเช็ดอย่างรุนแรง เพราะเกิดรอยขีดข่วนบนรถ การล้างต้องใช้น้ำสะอาด และจะต้องล้างให้สะอาดด้วย หากสามารถทำได้ควรฉีดน้ำล้างดิน โคลน หรือสิ่งสกปรกต่างๆ ใต้ท้องรถให้สะอาดทุกส่วนด้วย โดยปฏิบัติดังนี้
 - ควร ล้างบริเวณใต้ท้องรถและล้อก่อนด้วยแปรงอ่อนๆ ขัดขณะฉีดน้ำล้าง หรือจะใช้น้ำผสมสบู่ล้างครั้งหนึ่งก่อนแล้วล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
 - ล้างจากส่วนบนสุดของรถลงมาไม่ควรใช้แปรงขัดเป็นอันขาด ให้ใช้ผ้านุ่มๆ ฟองน้ำ หรือหนังชามัวร์เท่านั้น เพราะอาจทำให้สีถลอกได้
 - ถ้า ยังมีคราบสกปรกที่น้ำธรรมดาล้างไม่ออก ให้ใช้น้ำสบู่ล้างแทน ไม่ควรใช้ผงซักฟอกล้างรถ เมื่อคราบน้ำสกปรกออกหมดแล้ว ให้ใช้น้ำสะอาดล้างซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
 - หลังจากล้างน้ำแล้ว ต้องเช็ดให้แห้งทันที การปล่อยให้น้ำแห้งเองจะเกิดเป็นคราบน้ำเป็นดวงๆติดอยู่บนรถตลอดทั้งคัน
 - เมื่อล้างรถจนสะอาดดีแล้วอาจจะใช้สารเคมีเคลือบสี ประเภทครีมขี้ผึ้งแวกซ์ขัดให้แลดูเงางาม

ด้วยความปราถนาดีที่นำมาฝากจากTQM Insurance Broker

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

7 สิ่งที่ต้องทำ เมื่อรถคุณพังระหว่างทาง


ทุก วันนี้รถยนต์ที่มากขึ้น ทำให้การจราจรในบ้านเราล้วนแต่วุ่นวายจนเกิดปัญหาต่างๆ มากมาย ที่ส่งผลให้การจราจรติดขัด และหนึ่งในหลายสาเหตุที่เราพบประจำนั้น ก็ไม่พ้น "รถเสีย" ที่ทำเอาติดกันไปยาวเป็นกิโลเมตร เพียงเพราะการกีดขวางการจราจรชั่วครู่ ที่วันนี้คงถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องมาพุดคุยกัน
เมื่อรถพังควรทำอย่างไร หลายคนที่ขับรถนั้นคงไม่ใช่ช่างที่จะสามารถซ่อมรถให้วิ่งต่อได้ในบัดดล สามารถเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่สิ่งที่พึงจำไว้คือว่า เมื่อรถพังเราควรที่จะทำอย่างไรก็ตามไม่ให้เกิดปัญหากับเพื่อนร่วมทางและ 7 ข้อไปนี้ เราอยากจะมาช่วยแนะนำคุณให้รู้รักษาจากสถานการณืที่คุณอาจจะต้องเจอในวันใด วันหนึ่งในอนาคต

1.ตั้งสติและเปิดไฟฉุกเฉิน ทุกครั้งเรามาย้ำว่าสติคือสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการที่คุณจะแก้ปัญหาต่างๆ และเมื่อคุณพบว่ารถเกิดปัญหา โดยเฉพาะดับกลางอากาศ หรือรถพบอาการผิดปกติ ให้เริ่มต้นด้วยปุ่มไฟฉุกเฉินเพื่อส่งสัญญาณเพื่อนร่วมทางก่อนว่ารถคุณ บกพร่อง และไม่สามารถเดินทางต่อได้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเข้าใจผิดของเพื่อนร่วมทาง เพื่อที่เขาจะได้หาทางเบี่ยงหรือหลบหลีกคุณ
2.พารถเข้าข้างทาง คุณคงไม่อยากเจออุบัติเหตุใช่หรือไม่ ถ้าใช่!! จงรีบพารถคุณเข้าข้างทาง โดยเร็ว เนื่องจากการจอดรถท่ามกลางจราจรมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง ที่สำคัญที่สุดอย่าแอบไปทางขวาโดยเด็ดขาด ให้จอดรถเสียชิดๆไหล่ทางด้านซ้ายเท่านั้น
3.มือถือช่วยชีวิต มือถือมีประโยชน์และในยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ใช้มันเสีย โทรหาบริการช่วยเหลือฉุกเฉินหรือตามผู้เชี่ยวชาญมาช่วยคุณ แต่ถ้าไม่มีจริงๆ ลองโทรเข้าวิทยุจราจรต่างๆ เช่น จส.100 หรือ สวพ. 91 หรือเบอร์อื่นๆ ก็ช่วยให้คุณสามารถผ่านเหตุการณ์ไปได้
4.อยู่กับรถเสมอ จงจำไว้ว่าอย่าไปไกลจากรถเพียงเพราะว่ามันเสียหรือใช้การไม่ได้ คุณควรจะอยู่ในรถหรือใกล้ ที่สำคัญอย่าเปิดประตูฝั่งที่มีการจราจรเพื่อความปลอดภัย และหากรถคุณมีป้ายสัญญาณฉุกเฉินสามเหลี่ยม ก็ควรนำมันมาตั้งในระยะ 50 เมตร จากตัวรถเพื่อบอกว่ารถคุณเสียด้วย เพื่อเป็นจุดสังเกตกับเพื่อนร่วมทาง
5.ได้เวลาช่างจำเป็น ถ้าคุณพอเป็นอยู่บ้าง บางครั้งปัญหารถเสียก็อาจจะไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิดและคุณสามารถที่จะระบุ ปัญหาได้ เช่น ขั้วแบตเตอร์รี่หลวม หรือ ยางแบน บางอย่างคุณสามารถทำเองได้เพื่อช่วยตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่จะง่ายทุกครั้งไป ดังนั้น ถ้าคุณพอจะทำได้ควรจะช่วยตัวเองดูก่อนบ้าง และควรตรวจสอบให้ดีเผื่อจะสามารถระบุปัญหาได้
6.คอมมอนเซนส์ได้เวลาใช้มันให้เป็นประโยชน์ ความรู้สึกกับยามฉุกเฉิน อาจจะช่วยให้คุณรอดได้ยิ่งกับถนนต่างจังหวัดอันห่างไกล บางครั้งเมื่อคุณรู้ปัญหาก็จะสามารถแก้เอาได้ง่ายๆ เช่นน้ำมันหมด แต่เมื่อสักพักใหญ่ก่อนรถเสียเหมือนเพิ่งผ่านปั้มมา บางทีคุณอาจจะลอวตะเกียกตะกายไปปั้มเพื่อหาทางออกด้วยตัวเองได้อะไรแบบนั้น หรือถ้าไม่คุ้นสถานที่ จำไว้ว่าคนท้องถิ่นช่วยคุณได้ แต่ก้ต้องรู้จักระวังคนที่แฝงตัวเป็นมิจฉาชีพในคราบพลเมืองดีด้วย
7.ระวังคนดีเกินไป บางคนอาจจะพบว่าเมื่อรถเสียเรามีพลเมืองดีมาช่วยทันใจถูกใจกดไลค์ให้เลย แต่บางทีเราก็ต้องคอยระวังตัวอย่าระเริงไปมาก เพราะปัจจุบันมีมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในคราบคนดีมากพอสมควรและคุณก็ควรระวัง ตัวเองไว้ก่อนเป็นยอดดี
รถเสียอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากจจะเจอกับตัว เพราะมันทั้งเสียเวลาและเสียทรัพย์ แถมท้ายด้วยการเสียอารมณ์อีกต่างหาก แต่ทั้ง 7 ข้อแนะนำเรานี้ก็หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อคุณกันบ้าง ที่อาจจะช่วยให้รักษาตัวรอดและไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ที่ไม่ประสงค์ดี

สาระดี ๆ ที่ฝากจาก TQM Insurance Broker

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การใช้เอกสารแบบฟอร์มชนแล้วแยกแลกใบเคลม ( Knock for Knock)

(Knock for Knock) ชนแล้วแยกแลกใบเคลม

เป็นกรณีการเคลมสดกรณีพิเศษ คือในบางครั้งเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน บางครั้งสภาวะแวดล้อมก็อาจไม่เอื้ออำนวยให้สามารถรอพนักงานเคลมมาเปิดเคลม ได้ ซึ่งเป็นไปได้ว่าคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีธุระต้องรีบไปทำ หรือตอนเกิดเหตุนั้น เป็นเวลากลางคืนประกอบกับสถานที่เกิดเหตุค่อนข้างเปลี่ยว ซึ่งอาจจะเป็นประเด็นในเรื่องของความปลอดภัย ดังนั้นในทางปฎิบัติการรอพนักงานเคลมเพื่อจะมาดำเนินการตามขั้นตอนนั้นอาจจะ ไม่สามารถทำได้ ถ้าอย่างนั้นจะมีวิธีการใดบ้างที่เรายังสามารถรักษาสิทธิ์ในการเคลมประกันภัยรถยนต์โดยที่ไม่ได้ทำตามขั้นตอนปกติ สามารถทำได้ครับ แต่ต้องเป็นกรณีที่ไม่มีผู้บาดเจ็บเท่านั้น
เพื่อความสะดวก และรวดเร็ว โดยที่ท่านไม่จำเป็นต้องรอพนักงานบริษัท ฯ สามารถใช้เอกสารชนแล้วแยกแลกใบเคลม (Knock for Knock)โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้
  1. หากรถคู่กรณีเป็นรถสี่ล้อที่ทำประกันภัย ประเภท 1 ที่มีเอกสาร Knock for Knock ไม่ว่าจะเป็นบริษัทฯ ใดก็ตาม โดย
    - เป็นรถสี่ล้อที่มีน้ำหนักรถรวมบรรทุกไม่เกิน 3 ตัน หรือ
    - รถที่จดทะเบียนที่นั่งไม่เกิน 15 ที่นั่ง
    ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูกให้ออกเอกสาร "KNOCK FOR KNOCK" ให้คู่กรณีได้เลย โดยปฏิบัติดังต่อไปนี้
    1.1 กรอกข้อความรายละเอียดต่าง ๆ ลงในเอกสาร "KNOCK FOR KNOCK" ให้ครบถ้วน
    1.2 ให้ผู้ขับขี่ทั้งสองฝ่าย ลงลายมือชื่อในเอกสาร แล้วแลกเปลี่ยนกับเอกสารของคู่กรณี
    1.3 แยกย้ายจากที่เกิดเหตุได้ทันที
    1.4 นำเอกสารที่ได้จากคู่กรณี มาติดต่อบริษัทฯ เพื่อดำเนินการแจ้งเหตุและจัดซ่อมต่อไป
    กรณีตกลงกันไม่ได้ว่า ใครเป็นฝ่ายผิดใครเป็นฝ่ายถูกให้ดำเนินการดังนี้
    - ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อทำเครื่องหมาย ณ ที่เกิดเหตุ แล้วเคลื่อนรถออกจากที่เกิดเหตุ
    - แจ้งบริษัทฯ โดยทันที

  2. หากรถคู่กรณีไม่มีประกัน หรือมีประกันภัยประเภทอื่น ที่มิใช่ประเภท 1 ให้ออกเอกสาร "ใบยินยอมรับผิด" ให้คู่กรณีโดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้ หากท่านเป็นฝ่ายผิด
    - ให้ท่านกรอกรายละเอียดลงในใบยินยอมรับผิดและลงชื่อท่าน
    - กรอกรายละเอียดของคู่กรณี , รายละเอียดความเสียหาย และให้คู่กรณีลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน
    - ฉีกตัวจริงให้คู่กรณี เพื่อมาติดต่อ
    บริษัทประกัน ต่อไป
    หากท่านเป็นฝ่ายถูก
    - ให้คู่กรณีกรอกรายละเอียด หรือท่านกรอกเอง
    - ลงชื่อทั้งคู่ไว้เป็นหลักฐาน ฉีกสำเนาให้คู่กรณี และเก็บตัวจริงไว้เพื่อติดต่อ
    บริษัทประกันต่อไป
    - หากท่านมีข้อสงสัย โปรดติดต่อ
    บริษัทประกันที่ท่านได้ซื้อไว้

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การ 'รันอิน' สำหรับรถใหม่



ในยุคนี้สมัยนี้การจะถอยรถสักคันมันคงไม่ได้เป็นเรื่องยากสักเท่าใด ถึงขนาดที่ว่าคนขับแทบยังไม่ทันได้รู้จักรถของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ก็หามาครอบครองได้เสียแล้ว
คำง่ายๆ 2 พยางค์ 'รันอิน' แต่มันแบกคำถามต่างๆ นานาไว้จนมากมาย ไม่ว่าจะต้องทำการรันอินหรือไม่ รันอินที่ระยะทางเท่าไหร่ดี แล้วควรค่อยๆ ขับ หรือขับแบบเต็มเหนี่ยวไปเลย ซึ่งก็ต้องบอกว่าคำตอบของมันที่ถูกต้องจนเป็นทฤษฎีหรือหลักการให้ยึดตามน่ะ มันยังไม่มี!! ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ใจล้วนๆ

แต่เอาเป็นว่าไทยรัฐออ นไลน์จะขอหยิบยกแนวทางตามความนิยมที่ปฏิบัติสืบต่อส่งทอดจากรุ่นสู่รุ่น เป็นรูปแบบการรันอินชนิด 'เพลย์เซฟ' หรือแบบ 'ปลอดภัยไว้ก่อน' นั่นแหละขึ้นมานำเสนอ



รันอิน? คืออะไร ไหนใครไม่เคยได้ยิน

คำว่า 'รันอิน' มีที่มาจากความคิดที่ว่า ภายในเครื่องยนต์ หรือชิ้นส่วนบางชิ้นต้องการระยะเวลาในการปรับตัวให้เข้าที่เสียก่อนที่มันจะ พร้อมเริ่มทำงานจริงๆ อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งโดยมากชิ้นส่วนเหล่านี้เรียกร้องระยะทางประมาณ 1,000 กม.แรกตั้งแต่ออกรถจากศูนย์ ที่มันอยากบอกว่า 'เบาๆ หน่อยครับเจ้านาย'


ความเชื่อยุคใหม่

แต่ ในระยะหลังก็มีความเชื่อคลื่นลูกใหม่ไม่ว่าจากสายข่าววงในแห่งหนใดก็คงไม่มี ใครสามารถชี้เป้า หล่นความคิดเห็นต่างๆ นานาว่าการรันอินมันกลายเป็นการกระทำอันตกยุค เพราะสมัยนี้เขารันอินมาจากโรงงานกันหมดแล้ว ซึ่งก็อาจจริงดังที่ว่า แต่คำถามคือ โรงงานเขาจะใจดีรันอินรถเป็นหมื่นๆ คันได้ทั้งหมดจริงๆ หรือ?

แต่ หากใครคิดว่าเป็นคน 'รักตัว กลัวรถพัง' ก็ขอแนะนำให้ทำตามผู้หลักผู้ใหญ่ในอดีตก็ไม่น่าจะเสียหายตรงไหน เพราะที่แน่ๆ การรันอินก็ไม่เคยทำให้รถคันไหนพัง หรือว่าไม่จริง!



รันอิน ทำแบบนี้ ดูแล้วดีที่สุด

สำหรับวิธีการ รันอินมันไม่ได้มีการถ่ายทอดผ่านคัมภีร์เล่นไหน แต่ส่วนใหญ่มาจากปากต่อปาก ทำได้ง่ายๆ โดยพยายามควบคุมสติและฝ่าเท้าที่สัมผัสคันเร่งในช่วง 1,000 กม. แรกให้ได้ เมื่อผ่านพ้นก็ถือว่า 'คุณสอบผ่าน'

ในช่วงระยะเวลารันอิน ไม่ควรใช้ความเร็วและรอบเครื่องยนต์คงที่เป็นระยะเวลานานๆ เพราะมีความเชื่ออย่างเป็นมั่นเหมาะว่า มันจะเกิดการเสียดสีขั้นรุนแรงต่อเนื่องภายในเครื่องยนต์ อันก่อให้เกิดการสึกหรอมากผิดปกติ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยนิยมนำรถที่ยังไม่พ้นรันอินไปเที่ยวซิ่งต่างจังหวัด กัน

สิ่งที่ต้องห้ามและไม่ควรอย่างยิ่ง คือหลีกเลี่ยงการลากรอบจนสูงเกินจำเป็น สักไม่เกิน 2,500 รอบ/นาที กำลังสวย ส่วนบรรดาเกียร์อัตโนมัติทั้งหลายแหล่ อย่าริอ่านเล่นการคิกดาวน์เกียร์บ่อยๆ เพราะมันไม่ส่งผลดีต่อระบบเกียร์แน่ๆ

การ บรรทุกหนักควรหลีกเลี่ยงเช่นเดียวกัน อดใจให้พ้นรันอินเสียก่อนน่าจะเป็นผลบวกที่สุด เหมือนภาษิตไทยที่ว่า 'อดเปรี้ยวไว้กินหวาน' นั่นแหละ เกิดใจร้อนรีบเร่งไป โรงงานประกอบนอตตัวไหนมาไม่แน่นละก็ ทางใครทางมันละทีนี้



ระบบเบรก รันอินที่ต้องการ

นอกเหนือจากเครื่อง ยนต์ที่เป็นส่วนสำคัญแล้ว ระบบเบรกไม่ว่าจะรถใหม่ หรือรถที่เพิ่งเปลี่ยนผ้าเบรก ก็ล้วนต้องการรันอินระบบเบรกทั้งนั้น เพื่อให้ผ้าเบรกปรับสภาพเข้ากับจานเบรกเสียก่อน ระยะรันอินระบบเบรกก็ราวๆ 200-300 กม. สำหรับการใช้งานจริง ในช่วงนี้ไม่ควรเบรกรุนแรง หรือหยุดรถอย่างกะทันหันอย่างทันทีทันใด



ยางรถยนต์ ก็ขอเอี่ยวเรื่องรันอิน

ยังไม่หมดแค่ นั้น ยางรถยนต์ก็ต้องการรันอินเช่นกัน เพราะเมื่อสัมผัสพื้นครั้งแรก ยางรถยนต์ต้องการเวลาสำหรับการปรับโครงสร้างให้เข้าที่กับพื้นถนน รับรู้ถึงน้ำหนักและลักษณะการใช้งานของตัวรถ

ในระยะรันอินของยางอยู่ ที่ 500 กม.แรก ไม่ควรใช้ความเร็วมากเกินไป อยู่ระหว่าง 100-120 กม./ชม. ถือว่ากำลังดี และที่สำคัญอย่าทำเท่แบบไม่ยั้งคิดด้วยการออกตัวด้วยความรุนแรงถึงขั้นล้อ ฟรี เพราะมันไม่เท่นักหรอกแถมงานจะถามหาเอาได้


ไม่ว่าอย่างไรก็ดี สำหรับเทคนิกการรันอิน ยังคงเป็นความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคน เพียงแต่ว่ามันมีแนวโน้มและเหตุผลที่ใครจะคิดเป็นทางไหน แต่เชื่อว่าสำหรับใครหลายๆ คนแล้ว ของที่ยังใหม่สดซิงไม่เคยผ่านการใช้งาน ในช่วงแรกๆ ก็ควรให้มันค่อยเป็นค่อยไปไม่จริงหรือ...

เกร็ดความรู้ที่นำมาฝาก TQM Insurance Broker



วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

“เครื่องเสียงติดรถ“ เรื่องเสี่ยงภัยที่คุณหมางเมิน


 ถ้าพูดถึงรถยนต์ในปัจจุบันแล้ว มาตรฐานหนึ่งที่ถูกนำเข้ามาบรรจุไว้ในรถทุกรุ่นที่ไม่ว่าจะรุ่นไหน ยี่ห้อ หันไปก้ต้องเจอ วิทยุ CD-Mp3 บ้างเพิ่มจอสัมผัสมาให้ได้ใช้งานกันอย่างลงตัว แลับ้างทันสมัยสั่งง่ายด้วยการเปล่งเสียง
     "เครื่องเสียงติดรถยนต์" ในปัจจุบัน กลายเป็นของแถมที่มาอย่างครบครันกับตัวรถ แต่แม้มันจะเป็นเรื่องที่ทำให้เราไม่ต้องเสียเงินจ่ายค่าแต่งเครื่องเสียง เพิ่มเติม แต่การฟังเครื่องเสียนงในรถนั้น ก็มีน้อยคนนักที่จะคิดว่ามันอันตราย

เรื่องจริงที่แฝงอยู่กับสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคนี้สมัยนี้ใครก็ฟัง วิทยุ ในรถทั้ง แม้ "เครื่องเสียง" จะเป็นสิ่งที่ให้ความบันเทิง เพื่อแก้เหงาสำหรับใครที่ชิบสันโดดในการขับรถ ทั้งยังให้การรับข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ แต่ในผลดีทีมีอย่างมากมาย ถ้าใช้เกินความจำเป็นก็อาจจะเป็นผลร้ายก็ได้
     ตามปกติแล้วในขณะที่รถยนต์วิ่งนั้นย่อมจะมีเสียงรบกวนจากภายนอกอยู้ว ทั้งจากเครื่องยนต์ก็ดี หรือเสียงยางที่สัมผัสกับพื้นถนน ตลอดจน เสียงเศษดินกรวดต่างๆที่มาจากธรรมชาติ ทว่าเสียงที่น้อยนิดเหล่านี้กลับเป้นอุปสรรคต่อความบันเทิงในห้องโดยสาร วึ่งการเอาชนะเสียงเหล่านี้ได้ คุณจะต้องเร่งความเข้มของเสียงหรือ หมุน Volume ให้ดังมากขึ้นเพื่อกลบเสียงที่เกิดขึ้นจากภายนอก
     การเร่งเสียงที่เพิ่มขึ้นเพื่อกลบเสียงภายนอกนี่แหละที่เป้นบ่อเกิดของปัญหา เพราะเมื่อเกิดอยู่ในสภาวะฉุกเฉินการเปิดเครื่องเสียงให้มีเสียงดังกว่าปกติ ถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวดต่อการแก้ไขสถานการณ์ เช่นการได้ยินเสียงแตรจากเพื่อนร่วมทาง ไปจนถึงเสียงของความผิดปกติต่างๆของระบบต่างๆของรถ ซึ่งจะส่งผลตรงต่อการแก้ไขสถานการณ์ระหว่างรอดอย่างหวุดหวิด หรือเจอจังๆก็ได้
     ทั้งนี้จากการวิจัยของ Populus ในเกาะอังกฤษที่มีผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 2000 คน เมื่อ ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ยังให้ผลการค้นพบที่น่าสนใจ โดยระบุว่า ขาร๊อคหลังพวงมาลัยมักจะมีพฤติกรรมขับขี่ที่เร้าร้อนหลังได้ ฟัง ในขณะที่คนขับที่ฟังเพลงคลาสสิคและเพลงป๊อป ขณะขับขี่จะช่วยให้ผ่อนคลาย เช่นเดียวกันกับเพลงแจ๊ส
   ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ระบุว่า เสียงของรถยนต์ที่สามารถใช้งานบนถนนปัจจุบัน ต้องมีระดับเสียงที่ต่ำกว่า 100 เดซิเบลเอ ในระยะ 0.5 เมตร ซึ่งหมายความว่าหากต้องการกลบเสียงรถยนต์ที่เราวิ่งอยู่นั้นอาจจะต้องเร่ง เสียงวิทยุมากถึง 100 เดซิเบลเลยทีเดียว
     ตามปกติ แล้วเสียงที่เราได้ยินและเริ่มเป็นอันตรายต่อโสตประสาททางด้านการได้ยิน ของหูนั้นจะมีระดับอยู่ที่ 85-90 เดซิเบล และถ้าเสียงที่ได้ยินมากกว่า 140 เดซิเบล ก็อาจจะเสี่ยงหูดับถาวร ซึ่งคิดง่ายๆว่าการที่เราเร่งเสียงที่ต้องเอาชนะเสียงรถที่มีอย่างมากที่สุด 100 เดซิเบล และการเอาชนะได้นั้นต้องมีการเพิ่มความเข้มของเสียงขั้นต่ำอีก 20 เดซิเบล นั่นหมายถึง คุณต้องใช้เสียงมากที่สุดถึง 120 เดซิเบลในรถธรรมดาทั่วไปในการฟังเพลงให้สะใจวัยโจ๋
      เสียงที่ดังเกินขนาดย่อมไม่ส่งผลดีทั้งต่อความปลอดภัยของผู้อื่นบนถนน เช่นเดียวกับสุขภาพหุของผู้ขับขี่ แต่ในขณะที่เราอาจจะเลี่ยงไม่ได้ในการผ่อนคลายขณะขับขี่ด้วยเสียงเพลง ขับรถเย็นนี้ลองลดเสียงลงสักนิดว่าเพื่อหูที่ได้ยินต่อไปอีกยาวนาน
ที่มา :สนุกดอทคอม
เป็นเเกร็ดความรู้ที่ TQM Insurance Broker นำมาฝาก

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไขปัญหาคาใจ แล้วรถ “อีโค่คาร์“ คืออะไร?


ทุกวันนี้หลายคนที่กำลังจะซื้อรถคง ไม่มีใครไม่เคยได้ยินคำพูดกล่าวทั้งจากสื่อต่างๆเกี่ยวกับรถยนต์ "อีโค่คาร์"  ที่แม้ปัจจุบันรถอีโค่คาร์จะกลายเป็นคำที่เราคุ้นหูกันเป็นอย่างดี แต่เคยสงสัยบ้างไหมว่า รถยนต์ที่เรากำลังพูดถึงนี้เป็นรถยนต์อะไรกันแน่ 
รถยนต์ "อีโค่คาร์" เป็น รถยนต์ที่เกิดจากนโยบายของภาครัฐบาลเมื่อหลายปีที่แล้ว ที่เล็งเห็นความเป็นไปได้ของราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นตามลำดับในอนาคต ทำให้เกิดแผนในการสร้างรถยนต์นั่งขนาดเล็กขึ้น โดยมุ่งเน้นในเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อม มากกว่าความประหยัดน้ำมัน แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองสิ่งก็ไปด้วยกันทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ ต่อความเข้าใจของคนทั่วไป
รถอีโค่คาร์

Eco Car เป็น ชื่อเรียกอย่างย่อจากสื่อต่างๆ ที่มาจากคำว่า Ecology Car  หรือรถยนต์รักษาสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ตามที่หลายคนเข้าใจว่าคือรถยนต์ประหยัดพลังงานหรือ Economy Car  ซึ่งแม้จะดูเหมือนว่ามีความคล้ายคลึงกันแต่ก็มีความแตกต่างกัน ในแง่ของความหมาย ซึ่งแนวคิดของรถอีโค่คาร์ในบ้านเรานั้น ต้องปฏิบัติตามกฏที่สำคัญหลายข้อ จึงจะผ่านการรับรองว่า รถคันดังกล่าวเป็นอีโค่คาร์ และจะได้รับส่วนลดตามนโยบายของภาครัฐบาลด้วย
1.       ความประหยัดน้ำมัน รถ ยนต์อีโค่คาร์ต้องประหยัดน้ำมันตามกฏเกณฑ์ โดยต้องมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร หรือ น้ำมัน 1 ลิตรวิ่งได้ระยะทาง 20 กิโลเมตร
2.       การรักษาสิ่งแวดล้อม กำหนด ให้รถยนต์รุ่นที่จะถูกผลิตขึ้นมาเป็นอีโค่คาร์ ต้องมีการปล่อยมลพิษปลอดภัยระดับ Euro4 คือ มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์น้อยกว่า 120 กรัมต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร เท่านั้น
3.       ความปลอดภัยชั้นนำ ต้อง ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง ตามมามาตรฐานความปลอดภัยของยุโรป (UNECE 94 และ 95) ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยจากการชนด้านหน้าและด้านข้าง
4.       ความเหมาะสมต่อการใช้งาน ใช้ได้ทั้งเครื่องยนต์เบนซินมีความจุไม่เกิน  1.3  ลิตร  และที่ยังไม่เห็นก็มีเครื่องยนต์ดีเซล ที่กำหนดให้มีขนาดไม่เกิน  1.4  ลิตร ซึ่งแน่นอนว่ามันน่าจะมีในอนาคตอันใกล้นี้
ดังนั้นถ้ามองรถยนต์อีโค่คา ร์แล้ว นี่ไม่ใช่รถยนต์ที่มีราคาถูกไร้คุณภาพตามที่หลายคนเข้าใจ ทั้งที่เพียงติดกับภาพลักษณ์ในเรื่องขนาดของมัน หากแต่นี่คือรถที่มีมาตรฐานต่างๆรองรับมากมาย ซึ่งถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนมุมมองจากความเป็นรถกระป๋องราคาถูกมาสู่ รถที่มีดีที่มาตรฐาน ซึ่งราคาที่ถูกของมันมาจากการอุดหนุนจากภาครัฐไม่ใช่ต้นทุนต่ำอย่างเข้าใจ

นำมาฝากจาก TQM Insurance Broker

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการเปลี่ยนยางรถยนต์แบบง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง




เทคนิคการเปลี่ยนยางรถยนต์แบบง่าย ๆ ได้ด้วยตัวเอง (TOUCH MAGAZINE)

ยาง รถยนต์ หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Tire (Tyre) เป็นส่วนที่ห่อหุ้มล้อรถเพื่อลดแรงกระแทกกับพื้นถนน โดยยางรถยนต์ในสมัยนี้จะทำจากยางสังเคราะห์ ยางธรรมชาติ วัสดุจำพวกผ้าและเส้นลวด พร้อมทั้งเคมีสังเคราะห์อื่น ๆ ยางรถยนต์มีหลายแบบ และควรเลือกให้เหมาะสมกับประเภทของยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ จักรยาน จักรยานยนต์ รถบรรทุก หรือเครื่องบิน ลมที่ถูกเติมเข้าไปในยางรถยนต์นั้น โดยทั่วไปแล้วมักจะเติมลมให้ต่ำกว่าระดับลมสูงสุดผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อนั้น กำหนดมา ซึ่งดูได้ง่าย ๆ จากตัวเลขแสตมป์อยู่บนยาง หรือดูในคู่มือที่ให้มากับรถ ถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนรถยนต์ของตัวเองให้เป็นรถแข่ง ก็ไม่ต้องเติมลมให้เต็มก็ได้

สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนยาง?

ถ้าไม่ได้เป็นเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ยางแตกระเบิด ก็มาจากสาเหตุตามธรรมชาติ เห็นยางรถยนต์แข็ง ๆ หนา ๆ ขนาดนี้ แต่มันไม่ได้ทำจากวัสดุที่สามารถกักเก็บลมได้ตลอด หมายความว่าทุก ๆ วันลมจะรั่วออกจากยางรถยนต์ของคุณโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันก็มีการแก้ไขโดยเติมไนโตรเจนเข้าไปแทนลมยาง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ยางมีสภาพดีคงทนอยู่ได้นานกว่าการเติมลมแบบปกติถึง 75% เลยทีเดียว

สำหรับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้านั้น ยางของคู่หน้ามักจะสึกหรอหรือเสียหายได้เร็วกว่ายางคู่หลัง ดังนั้นเขาจึงบอกว่าให้สลับเอายางคู่หน้าและยางคู่หลังทุกหนึ่งปี เพื่อให้ยางทั้งสี่เส้นสึกเท่า ๆ กัน นอกจากนี้ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ยางแบนโดยไม่ได้ตั้งตัว คุณจึงควรเช็คสภาพของลมยางบ่อย ๆ ด้วย

อุปกรณ์ที่ใช้เปลี่ยนยางรถยนต์
  •  ยางอะไหล่ที่เป่าลมไว้เรียบร้อยแล้ว
  •  ประแจ
  •  แม่แรง
  •  ก้อนหิน
  •  ถุงมือกันเปื้อน
  •  ไฟฉาย (ในสถานการณ์ที่ต้องเปลี่ยนยางตอนกลางคืน)
1. ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนยางรถยนต์ คุณต้องแน่ใจว่าได้จอดรถให้ชิดขอบฟุตปาธหรือขอบถนนให้มากที่สุด และจอดในพื้นราบ ไม่ได้เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ไม่อย่างนั้นแล้ว รถของคุณอาจไหลขณะที่กำลังเปลี่ยนยางอยู่ก็ได้ ดีที่สุดคือต้องเลื่อนเกียร์ไปไว้ที่ P และดึงเบรกมือเพื่อเป็นการป้องกันอีกชั้นหนึ่ง หากยังกลัวรถจะเลื่อนมาทับตัวเองให้ลองหาก้อนหินมาขัดไว้ที่ล้อรถข้างที่ไม่ ได้เปลี่ยนยาง

2. เปิดกระโปรงท้ายรถยนต์เพื่อหยิบยางอะไหล่ออกมา พร้อมกับอุปกรณ์ที่จำเป็นในการเปลี่ยนยางอื่น ๆ ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์จะให้มาพร้อมกับรถอยู่แล้ว โดยยางอะไหล่นั้นอาจจะต้องมีการออกแรงงัดขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นจึงตรวจเช็คให้ดีเสียก่อนว่ายางอะไหล่ของคุณมีลมเต็มหรือเปล่า

3. หากจำเป็นต้องเปลี่ยนยางในที่ที่มีรถยนต์อื่น ๆ สวนไปมา ให้เปิดสัญญาณฉุกเฉินและตั้งป้ายฉุกเฉินเพื่อเตือนด้วย จะได้ไม่มีรถยนต์แล่นมาเสยคุณในขณะที่ก้มหน้าก้มตาเปลี่ยนยางรถยนต์อยู่

4. หากรถคุณมีฝาครอบล้อหรือกระทะล้อที่เป็นโลหะ ให้งัดฝานั้นออกก่อน แต่ถ้าล้อรถคุณเป็นล้อแม็ก ให้ถอดนอตที่ยืดล้อแม็กออกก่อน โดยใช้ประแจหมุนนอตทวนเข็มนาฬิกาทีละตัว

5. เมื่อนอตเริ่มหลวมแล้ว ให้วางแม่แรงไว้ใต้จุดยกแม่แรงที่กำหนดไว้ (ใกล้ ๆ ล้อที่ยางแบน) เสียบก้านหมุนแม่แรงเข้าไปในรูเพื่อหมุนแม่แรงขึ้น ให้หมุนจนรถยกขึ้นและล้อลอยเหนือพื้น

6. คลายนอตที่ล้อออกให้หมดทุกตัวแล้วจึงถอดล้อรถออก วางล้อเก่าไว้ไต้รถ ข้าง ๆ แม่แรงเพื่อป้องกันรถตกลงมาจากแม่แรง แล้วจึงใส่ล้ออะไหล่เข้าไปแทนที่

7. นำนอตเข้าไปใส่ในที่เดิม แล้วค่อย ๆ ขันทีละตัวจนครบ เลือกขันนอตตัวไหนก่อนก็ได้ แต่นอตตัวต่อไปต้องขันในทิศทางที่ตรงกันข้ามกันเสมอ

8. เสร็จแล้วจึงเก็บข้าวของ เท่านี้คุณก็จะสามารถขับพารถไปเข้าอู่เพื่อซ่อมต่อไปได้แล้ว

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับยางรถยนต์
  •  ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยางรถยนต์มีมูลค่าเป็น 20% ของค่าใช้จ่ายของรถทั้งคัน
  •  ยางรถยนต์ที่เติมลมน้อยกว่า 20% ของที่กำหนดไว้จะทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติถึง 50%
  •  83% ของปัญหายางรถยนต์มาจากข้อผิดพลาดในการเติมลม
  •  50% ของอุบัติเหตุในท้องถนนเกิดจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับยางรถยนต์
  •  การเติมลมยางรถยนต์ที่ถูกต้องสามารถช่วยชีวิตคนได้กว่า 25,000 คนต่อปี
ข้อมูลจาก http://aatireautosevice.wordpress.com

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ภัยธรรมชาติด้านน้ำ


1.1 อุทกภัย (Flood) หมาย ถึง อันตรายจากน้ำท่วม อันเกิดจากระดับน้ำในทะเล มหาสมุทร หรือแม่น้ำสูงมาก จนท่วมท้นล้นฝั่งและตลิ่ง ไหลท่วมบ้านเรือน ด้วยความรุนแรงของกระแสน้ำ ทำความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รูปแบบของอุทกภัยจากธรรมชาติ (types of natural flood) สามารถสรุปรูปแบบของอุทกภัยจากธรรมชาติได้ 4 ชนิด คือ
     1) น้ำป่าไหลหลาก หรือน้ำท่วมฉับพลัน (flash flood)มัก จะเกิดขึ้นในที่ราบต่ำหรือที่ราบลุ่มบริเวณใกล้ภูเขาต้นน้ำ เกิดขึ้นเนื่องจากฝนตกหนักเหนือภูเขาต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้จำนวนน้ำสะสมมีปริมาณมากจนพื้นดิน และต้นไม้ดูดซับไม่ไหวไหลบ่าลงสู่ที่ราบต่ำ เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว มีอำนาจทำลายร้างรุนแรงระดับหนึ่ง ที่ทำให้บ้านเรือนพังทลายเสียหาย และอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ (กรมอุตุนิยมวิทยา)
     2) น้ำท่วมขัง (drainage flood) เป็น ลักษณะของอุทกภัยที่เกิดขึ้นจากปริมาณน้ำสะสมจำนวนมาก ที่ไหลบ่าในแนวระนาบ จากที่สูงไปยังที่ต่ำเข้าท่วมอาคารบ้านเรือน เรือกสวนไร่นาได้รับความเสียหาย หรือเป็นสภาพน้ำท่วมขัง ในเขตเมืองใหญ่ที่เกิดจากฝนตกหนัก ต่อเนื่องเป็นเวลานาน มีสาเหตุมาจากระบบการระบายน้ำไม่ดีพอ มีสิ่งก่อสร้างกีดขวางทางระบายน้ำ หรือเกิดน้ำทะเลหนุนสูงกรณีพื้นที่อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเล (กรมอุตุนิยมวิทยา)
     3) น้ำล้นตลิ่ง (river flood) เกิด ขึ้นจากปริมาณน้ำจำนวนมากที่เกิดจากฝนหนักต่อเนื่อง ที่ไหลลงสู่ลำน้ำ หรือแม่น้ำมีปริมาณมาก จนระบายลงสู่ลุ่มน้ำด้านล่าง หรือออกสู่ปากน้ำไม่ทันทำให้เกิดสภาวะน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมเรือกสวน ไร่นา และบ้านเรือนตามสองฝั่งน้ำจนได้รับความเสียหาย ถนนหรือสะพานอาจชำรุด ทางคมนาคมถูกตัดขาดได้ (กรมอุตุนิยมวิทยา)
     4) คลื่นสึนามิ (tsunami) คือ น้ำท่วมที่เกิดจากคลื่นที่ซัดเข้าสู่ฝั่งมีลักษณะเป็นคลื่นในทะเลที่มี ช่วงคลื่นยาวประมาณ 80 -200 กิโลเมตร เคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 600 – 1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คลื่นสึนามิเกิดขึ้นได้เนื่องจากความสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม ภูเขาไฟระเบิดที่พื้นท้องมหาสมุทร หรืออุกกาบาตพุ่งเข้าชนโลกก็ได้ ในขณะที่คลื่นสึนามิเคลื่อนที่ข้ามมหาสมุทรจะดูเหมือนคลื่นปกติ เพราะมีความสูงของคลื่นประมาณ 30 เซนติเมตร แต่ถ้าคลื่นนี้เข้าสู่ชายฝั่งหรือที่ตื้นเมื่อใดจะเพิ่มความสูงขึ้นอย่างรวด เร็วถึงประมาณ 15 เมตร หรือมากกว่านี้ พลังงานอันมหาศาลของคลื่นสึนามิ จะทำให้เกิดอันตรายแก่สิ่งมีชีวิต และสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในบริเวณชายหาด หรือหมู่เกาะที่คลื่นสึนามิซัดเข้าหา
1.2 ภัยแล้ง (Droughts) หมาย ถึงสภาวะที่มีฝนน้อยหรือไม่มีฝนเลยในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งตามปกติจะต้องมีฝนโดยขึ้นอยู่กับสถานที่และฤดูกาล ณ ที่นั้นๆ หรือสภาวะที่ระดับน้ำ และใต้ดินลดลง หรือน้ำในแม่น้ำลำคลองลดน้อยลง ทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนน้ำของพืช ณ ช่วงเวลาต่างๆ โดยการเกิดความแห้งแล้งมี 3 ลักษณะ คือ
     1) สภาวะอากาศแห้งแล้ง (Metrological drought) มี ลักษณะสำคัญคือ เป็นสภาวะที่มีการระเหยของน้ำเกินจำนวนที่ได้รับ กล่าวคือมีการระเหยจากไอน้ำของดินและพืชพรรณมากว่า ปริมาณน้ำฝนรายปี
     2) สภาวะการขาดน้ำ (Hydrological drought)มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการมีฝนตกน้อยเฉลี่ยต่ำกว่าปกติเป็นเวลา นานต่อเนื่องกัน
     3) สภาวะความแห้งแล้งทางการเกษตร (Agricultural drought)เป็น สภาวะที่เกิดการขาดน้ำสำหรับการเกษตรอันเนื่องมาจากการลดลงของปริมาณฝน ระดับน้ำใต้ดิน ความชื้นในดินลดลง จนพืชไม่สามารถดึงน้ำมาใช้ได้

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ท่านสามารถรับคูปองได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย


เงื่อนไขการใช้บริการ



  • รับบริการได้ตั้งแต่วันที่ 1ก.ค.55 - 30 มิ.ย.56
  • โปรดแสดงคูปองแก่เจ้าหน้าที่ก่อนรับบริการ
  • 1 คูปอง ใช้บริการต่อ 1 ท่าน
  • สิทธิพิเศษนี้ สามารถใช้สิทธิ์ได้ที่โอเอซีสสปาทุกสาขา

  • สาขาที่เข้าร่วมรายการ :
    เชียงใหม่
    โอเอซิสสปา เชียงใหม่ : 102 ถนนศิริมงคลาจารย์ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50200
    โอเอซิสสปา ล้านนา : 4 ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50100
    กรุงเทพฯ
    โอเอซิสสปา บางกอก : 64 สุขุมวิท 31 (ซอยสวัสดี) กรุงเทพ 10110
    โอเอซิสสปา บางกอก : 88 สุขุมวิท 51 เขตวัฒนา กรุงเทพ 10110
    ภูเก็ต
    โอเอซิส ซีเครทการ์เดน สปา ลากูน่า: 47 หมู่ 1 ถนน ศรีสุนทร ตำบล เชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัด ภูเก็ต 83110
    โอเอซิส รอยัลไทย สปา: 128 หมู่ 3 ตำบล กมลา อำเภอกระทู้ จังหวัด ภูเก็ต 83150
    โอเอซิส สกาย บรีซ สปา: 26 ซอยปลักเจ ตำบลกะรน อำเภอเมือง จังหวัด ภูเก็ต 83100
    พัทยา
    โอเอซิสสปา พัทยา : 322 หมู่ 12 ถนนทัพพระยา อำเภอ บางละมุง พัทยา จังหวัดชลบุรี 20150



  • ราคาในเมนู ยังไม่ได้รวม tax และ service charge
  • กรุณาจองเวลาล่วงหน้าที่ Reservation Center

  • กทม : 02-262-2122, เชียงใหม่ : 053-920111 ภูเก็ต : 076-337777, พัทยา : 038-364070



  • ไม่สามารถแลกเปลี่ยนหรือทอนเป็นเงินสดได้สิทธิพิเศษนี้
  • ไม่สามารถใช้ร่วมกับรายการส่งเสริมการขายอื่นๆ ได้
  • ขอสวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนเเปลงเงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

  • ดูรายการคูปองทั้งหมด

    วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

    ค่ายประกันหวั่นรับรถอีโคคาร์แบกความเสี่ยงลอสเรโชสูง



    ประกันภัยลั่นไม่รับงานกลุ่มนี้ เหตุเบี้ยถูกแต่จ่ายเคลมสูง จ่อขาดทุนง่าย ส่วน "วิริยะฯ-ไทยเศรษฐกิจฯ" เฝ้าระวังลอสเรโช เล็งปรับเบี้ยขึ้น ล้อความเสี่ยง
    นายพนัส ธีรวณิชย์กุล ผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.กรุงเทพประกันภัย เปิดเผยว่า บริษัทไม่มีนโยบายรับงานประกันภัยรถยนต์อี โคคาร์ เนื่องจากเป็นรถยนต์ขนาดเล็กมีความบอบบาง หากเกิดอุบัติเหตุจะมีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดอัตราความเสียหาย (ลอสเรโช) ในระดับสูง อีกทั้งถ้าบริษัทจะเน้นกลุ่มรถยนต์อีโคคาร์จะต้องปรับราคาเบี้ยประกันให้ต่ำ เพื่อการแข่งขัน ทำให้เสี่ยงต่อการขาดทุน ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทจะไม่เน้นงานประกันรถเล็กหรือรถใหม่ป้ายแดง แต่จะรับงานประกันรถยนต์ 1,800-2,000 ซีซีขึ้นไป โดยทิศทางการรับประกันของพอร์ตรถยนต์ในระยะนี้ก็ยังคงเป็นแบบนี้อยู่

    "ขณะ นี้ยังไม่ค่อยมั่นใจในรถประเภทนี้เท่าไร แม้ว่าวอลุ่มของคนหันมานิยมใช้รถยนต์ประเภทอีโคคาร์มากขึ้น แต่เรายังมองว่าการใช้รถออีโคคาร์มีแนวโน้มที่จะเป็นวัยรุ่นมากขึ้น ซึ่งมีความระมัดระวังในการขับรถน้อย ส่งผลให้อัตราการเกิดความเสียหาย สูงขึ้นตามไปด้วย" นายพนัสกล่าว

    นายกฤษณ์ หิญชีระนันทน์ รักษาการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมา อัตราความเสียหายของรถยนต์ อีโคคาร์อยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก เนื่องจากเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก เมื่อเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งค่าใช้จ่ายในการซ่อมจะสูง ขณะนี้ต้องรอดูระดับของลอสเรโช หลังจากนี้ 24 เดือนจึงจะสามารถบอกได้ว่าจะปรับราคาเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นหรือไม่ แต่ถ้าลอสเรโชอยู่ในระดับที่บริษัทสามารถรับได้ ก็ไม่น่าจะต้องปรับราคาเบี้ยประกันเพิ่ม

    "ปัจจุบันการรับประกันรถ ยนต์อีโคคาร์มีการโค้ดราคาเบี้ยประกันตามปกติ เหมือนกับรถยนต์ชนิดอื่น เนื่องจากทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ยังไม่มีการกำหนดพิกัดของประกันภัยรถยนต์ชนิด อีโคคาร์เป็นพิเศษ หากตลาดมีรถยนต์ชนิดนี้ออกมามาก ๆ ประกอบกับมีการกำหนดพิกัดที่ชัดเจน บริษัทก็มีความสนใจที่จะทำประกันรถยนต์อีโคคาร์" นายกฤษณ์กล่าว

    นาย พุทธิพงษ์ ด่านบุญสุต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด กล่าวว่า แม้ว่ารถยนต์อีโคคาร์มีอยู่ไม่กี่รุ่นในตลาด แต่หากดูลอสเรโชถือว่าอยู่ในระดับ ที่สูง ทำให้บางบริษัทเริ่มปรับราคา เบี้ยประกันเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ยังมีอีกหลายบริษัทที่ยังสามารถรองรับกับลอสเรโชได้อยู่ จึงยังไม่มีการปรับเบี้ยประกันเพิ่ม

    "นอกเหนือจากการปรับราคาเบี้ย ประกันเพิ่ม ในกรณีที่ลอสเรโชมีอัตราที่น่าเป็นห่วง บริษัทยังต้องอาศัยการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ให้ความรู้แก่ผู้รับประกันภัยควบคู่ไปด้วย เพื่อให้มีความระมัดระวังในการขับขี่รถยนต์มากขึ้น ซึ่งจะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้ลอสเรโชลดลงได้ ประกอบกับแนวโน้มจำนวนของรถประเภทอีโคคาร์เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ บริษัทประกันก็จะขยายพอร์ตประกันภัยรถยนต์สูง ขึ้นตามไปด้วย ทำให้ช่วยเฉลี่ยความเสียหายของตลาดรถยนต์ได้ดี อีกทั้งยังส่งผลดีต่อผู้บริโภคให้ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่ลดลง" นายพุทธิพงษ์กล่าว

    ด้านแหล่งข่าวจากบริษัทประกันวินาศภัยขนาดใหญ่ราย หนึ่งกล่าวว่า บริษัทตัดสินใจไม่รับงานประกันภัยรถยนต์อี โคคาร์ เพราะเกรงว่าทำแล้วจะไม่คุ้ม ด้วยโครงสร้างการรับงานส่วนนี้จะต้องกำหนดเบี้ยเป็นแพ็กเกจเสนอไปให้แก่ดี ลเลอร์ ซึ่งลักษณะของรถอีโคคาร์ราคาไม่สูง ทำให้ทุนประกันและเบี้ยประกันต่ำลงไปด้วย ถ้ารับก็ต้องมีวอลุ่มของงานที่มากพอจะบริหารต้นทุนด้วย ดังนั้นถ้าบริษัทยิ่งเข้าไปแข่งกันรับงานของรถกลุ่มนี้มากขึ้น การแข่งขันก็ยิ่งเยอะ เสี่ยงที่จะขาดทุนได้ง่าย

    วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

    ขับป้ายแดงปลอม เจอจับ แนะใช้ ใบเสร็จวางหน้ารถ


    ป้ายแดงขาดแคลน ป้ายดำผลิตไม่ทัน ขนส่งประสานตร.ผ่อนผันให้รถใหม่ใช้ใบเสร็จจดทะเบียนแทนป้ายทะเบียนได้
    กรมการ ขนส่งทางบก (ขบ.) ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาตรการผ่อนปรนเจ้าของรถยนต์ใหม่ ในช่วงที่ป้ายทะเบียนสีแดงหมุนเวียนไม่ทัน ให้นำใบเสร็จการจดทะเบียนมาติดหน้ารถ จากนั้นสามารถนำรถมาใช้งานได้ตามปกติโดยไม่ต้องติดป้ายทะเบียนแต่อย่างใดจน กว่าจะได้รับทะเบียนป้ายดำมาติดตั้งแทนพร้อมเตือนตัวแทนจำหน่ายอย่านำป้าย แดงปลอมมาติดให้ลูกค้า ระวังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีโดยไม่ต้องมีใครแจ้งความ
    โดยเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม นายอัฌษไธค์รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองอธิบดีฝ่ายปฏิบัติการ ขบ.กล่าวว่า ผู้ที่ไปจดทะเบียนรถยนต์กับ ขบ.แล้วแต่ยังไม่ได้แผ่นป้ายทะเบียน สามารถนำใบเสร็จรับเงินซึ่งจะเขียนข้อความว่า "ใช้ แทนแผ่นป้ายทะเบียน" ไปติดไว้ที่บริเวณหน้ารถเพื่อใช้แทนแผ่นป้ายทะเบียนได้ โดยไม่จำเป็นต้องติดป้ายแดงหรือป้ายใดๆ ไว้บนรถอีก เนื่องจากกรมการขนส่งทางบกได้ประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจให้รับทราบการ ดำเนินการดังกล่าวแล้วจึงจะไม่มีการจับปรับอย่างแน่นอน


    "ก่อน หน้านี้ ขบ.ได้ทำหนังสือไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อไม่ให้จับปรับรถที่ยังไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน แต่ต้องเป็นรถที่ไปจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกแล้วเท่านั้น โดยจะมีใบ
    เสร็จรับเงินเป็นหลักฐานใช้แทนแผ่นป้ายทะเบียน ดังนั้น ผู้ขับขี่รถยนต์ที่ยังไม่ได้แผ่นป้าย
    ทะเบียน แต่ได้จดทะเบียนแล้ว จึงไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับปรับ สามารถขับขี่รถได้ตามปกติ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจขอตรวจสอบก็ยื่นใบเสร็จให้ดูเท่านั้นเอง"
    นายอัฌษไธค์กล่าวว่า การใช้ใบเสร็จแทนแผ่นป้ายทะเบียน จะดำเนินไปจนกว่ากรมการ
    ขน ส่งทางบกรับมอบแผ่นป้ายทะเบียนที่อยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้างได้แล้วเสร็จ โดยจะส่งมอบล็อตแรกได้ประมาณสิ้นเดือนสิงหาคมนี้หลังจากนั้น คาดว่าจะแจกจ่ายให้กับรถที่จดทะเบียนแล้วแต่ยังไม่มีป้ายทะเบียน ซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 50,000-60,000 คัน ภายในเดือนกันยายนนี้ หลังจากที่กรมการขนส่งทางบกได้รับป้ายทะเบียนจากทางบริษัทผู้ผลิตแล้ว จะเร่งประชาสัมพันธ์และแจ้งไปยังผู้ที่จดทะเบียนแล้วให้ไปรับป้ายทะเบียนที่ กรมการขนส่งทางบกทันที มั่นใจว่าป้ายทะเบียนใหม่ที่ได้รับมาประมาณ 7 ล้านแผ่นป้าย จะเพียงพอกับความต้องการแน่นอน
    "ตอน นี้กรมการขนส่งทางบกอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อนำแผ่นป้าย ทะเบียนเข้ามาให้ได้ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมหลังจากนั้น จะเร่งปั๊มตัวอักษรเพื่อนำไปให้กับผู้ที่จดทะเบียนแล้วต่อไป"

    นาย อัฌษไธค์กล่าวว่า กรณีตัวแทนจำหน่ายรถทำแผ่นป้ายแดงปลอมขึ้นมาให้กับผู้ซื้อรถใช้แทนป้ายแดง ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากมีปัญหาไม่สามารถหมุนเวียนป้ายแดงได้ตามระยะเวลาที่กำหนดนั้น ถือเป็นความผิดทางอาญา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินการเอาผิดได้ โดยไม่ต้องมีผู้แจ้งความ หรือหากผู้ซื้อรถแจ้งความ ตัวแทนจำหน่ายรายนั้นๆ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอาญาทันที
    "หาก ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มีเจตนาดีในการขายรถจริง ไม่จำเป็นต้องทำป้ายแดงปลอมออกมาให้ลูกค้า เพราะการยื่นจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกเพื่อให้ได้ป้ายดำใช้เวลาเพียงไม่ กี่วันก็ได้แล้ว ดังนั้น ปัญหาป้ายทะเบียนแดงไม่พอ จึงเป็นปัญหาของตัวแทนจำหน่ายโดยตรง"
    ผู้ สื่อข่าวถามว่า กรมการขนส่งทางบกจะมีมาตรการไปกำกับดูแลเรื่องการใช้ป้ายแดงของตัวแทน จำหน่ายได้หรือไม่ นายอัฌษไธค์กล่าวว่าขั้นตอนการให้ป้ายแดงกับรถยนต์ใหม่ ยังไม่เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของกรมการขนส่งทางบกและจะยังไม่เข้าสู่กระบวน การตราบเท่าที่ตัวแทนจำหน่ายยังไม่ยื่นเอกสารจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก ดังนั้น กรมการขนส่งทางบกจึงไม่สามารถรับทราบได้ว่า ตัวแทนจำหน่ายรายนั้นๆขายรถได้กี่คัน และรถคันไหนบ้างที่ติดป้ายแดงปลอม
    ด้าน พ.ต.ท.อรรถพร สุริยเลิศ รอง ผกก.2 บก.สส.บช.น. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถ (ศปจร.น.) กล่าวถึงปัญหาการนำป้ายแดงปลอมมาติดรถยนต์ว่า ที่ผ่านมามีการกวาดล้างร้านทำป้ายผิดกฎหมายอยู่บ่อยครั้งทั้งย่านเยาวราชและ จุดอื่นๆ แต่บางครั้งร้านเหล่านี้ก็รับทำทั่วไปโดยไม่ทราบว่ามีความผิดนอกจากนี้ จะเป็นพวกแก๊งมิจฉาชีพทำแผ่นป้ายทะเบียนปลอม ซึ่งถือว่าปลอมแปลงเอกสารของทางราชการ อย่างไรก็ตาม ในส่วนนี้ต้องดูเจตนาเป็นสำคัญ เพราะหากได้รถมาใหม่ แต่ไม่ได้ป้ายทะเบียนมาใช้ เจ้าของรถก็คงต้องทำป้ายเองเหมือนที่ผ่านๆ มา กรมการขนส่งทางบกต้องเข้าไปจัดการด้วย
    "หาก ใช้แผ่นป้ายปลอม เป็นความผิดแน่นอนแต่หากเป็นรถเราเอง และมีหลักฐานแสดงแน่ชัด บางครั้งเจ้าหน้าที่อาจอะลุ่มอล่วยให้บ้างต้องดูที่เจตนาเป็นสำคัญที่สุดว่า หากใช้แล้วมีใครเสียหายหรือไม่ แต่หากต้องการนำรถที่ไม่ใช่ป้ายแดงจริงมาใช้ ก็ยังคงเสี่ยงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับกุมอยู่ดี" พ.ต.ท.อรรถพรกล่าว
    แหล่ง ข่าวจากบริษัท เคมอเตอร์ ตัวแทนจำหน่ายรถโตโยต้า กล่าวว่า บริษัทไม่มีนโยบายผลิตป้ายแดงป้อนให้ลูกค้า เพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหากับลูกค้าจนถึงต้องถูกจับ โดยต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้เพิ่มป้ายแดงอีก 500 ชุดจากช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่เพิ่มไปแล้ว400 ชุด ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีป้ายแดง เพื่อใช้หมุนเวียนให้ลูกค้าประมาณ 2,500 ชุด เพียงพอกับความต้องการ เพราะกระบวนการประสานงานเอกสารต่างๆ ให้ลูกค้า เพื่อนำไปจดทะเบียนจะเฉลี่ยไม่เกิน 2 สัปดาห์ หรืออาจช้ากว่านั้นเล็กน้อย ทำให้มีป้ายแดงนำกลับมาใช้หมุนเวียนให้ลูกค้ารายใหม่ได้
    "ตั้งแต่ มีงานมอเตอร์โชว์ และกำลังการผลิตของบริษัทโตโยต้าเริ่มกลับมาปกติ  ช่วงเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา บริษัทได้เห็นสัญญาณว่าต้องเกิดความต้องการที่สูงมากแน่ๆ จึงเพิ่มจำนวนป้ายแดง 400 ชุด และต้นเดือนกรกฎาคม ได้เพิ่มอีก 500 ชุด ลูกค้าที่ซื้อรถจากบริษัทไม่มีปัญหาแน่นอน"
    แหล่งข่าวจากผู้จำหน่ายรถยนต์รายหนึ่งกล่าวว่า ปกติค่ายรถยนต์จะสามารถจัดเอกสารให้ลูกค้าได้แล้วเสร็จภายใน 3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับแต่ละค่ายว่ามีหลักเกณฑ์อย่างไร เช่น บางบริษัทต้องติดตั้งอะไหล่เรียบร้อยแล้วค่อยได้เอกสารหรือบางบริษัทต้อง เคลียร์กระบวนการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะจำนวนความต้องการรถในท้องตลาดสูงแบบก้าวกระโดด และกรมการขนส่งทางบกอาจไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดความต้องการสูงขนาด นี้สุดท้ายทำให้ป้ายแดงไม่เพียงพอ จนกลายเป็นปัญหา
    "ตอน นี้มีรถจำนวนมากที่ต้องติดป้ายขาวที่เป็นกระดาษ เพราะไปจดทะเบียนแล้วป้ายทะเบียนจริงไม่เพียงพอ เพราะผลิตไม่ทัน โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมายอดจำหน่ายรถยนต์เติบโตสูงมาก" แหล่งข่าวกล่าว และว่า อย่างไรก็ตามจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ให้จองรถยนต์ในโครงการรถคันแรกภายในวันที่ 31 ธันวาคม นี้และส่งมอบรถได้ไม่มีกำหนด จะไม่ทำให้ยอดจองรถยนต์ขยายตัวก้าวกระโดดไปมากกว่าที่ผ่านมา เพราะมองว่าความต้องการน่าจะถึงระดับที่มากพอสมควรแล้ว ยกเว้นมีค่ายรถยนต์ออกโปรโมชั่น หรือมีรุ่นนำเสนอแบบไม่คาดคิดซึ่งนับจากช่วงนี้ จะเป็นช่วงที่กรมการขนส่งทางบกน่าจะรู้ปัญหา และสามารถจัดการแก้ปัญหาได้จนปัญหานี้ทุเลาลง


    ด้วยความปราถนาดีจากบริษัท TQM Insurance Broker