คำถามที่ตามมาคือ กรณีเช่นนี้ "ใครผิด"?
พล.ต.ต.ปิยะ
อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาลในสถานการณ์อุทกภัย ให้สัมภาษณ์
"ประชาชาติธุรกิจออนไลน์"ว่า ต้องพิจารณาตามกฎหมาย 2 ฉบับคือ
พ.ร.บ.การจราจรทางบก และ พ.ร.บ.การทางพิเศษ
ซึ่งรถที่จอดเป็นหมื่นคันบนสะพานและทางด่วนเวลานี้ถือว่าจอดในที่ห้ามจอด
ซึ่งผิดกฎหมาย แต่ขณะนี้ถือว่าเป็นการเอื้ออาทรในการให้จอด
ดังนั้นเมื่อมีเหตุการณ์รถเฉี่ยวชน
การทางพิเศษจึงไม่เกี่ยวข้องในการรับมารับผิดชอบ ต้องเป็นเรื่องคู่กรณี
แต่ข้อเท็จจริงคือกรณีเช่นนี้จะเป็นการชนแล้วหาคู่กรณีไม่ได้
พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวต่อว่า รถที่ขึ้นมาจอดตามสะพาน
และทางด่วนขณะนี้มีหลักหมื่นคัน
กรณีที่ถูกเฉี่ยวชนได้รับความเสียหายจากการจอดขณะนี้ยังไม่มีใครเข้าแจ้ง
ความ แต่เมื่อน้ำลด ขั้นตอนคือ
เมื่อเจ้าของรถทราบว่ารถตัวเองถูกเฉี่ยวชนจะต้องมาแจ้งความ
ซึ่งกรณีนี้จะหาคู่กรณีได้ยาก
ถ้าจอดในจุดที่มีกล้องวงจรปิดก็สามารถเปิดภาพดูได้และหากตามตัวคู่กรณีมา
ดำเนินคดีได้ก็จะดำเนินการไปตามคดีอาญาได้
อย่างไรก็ตามเมื่อยังไม่ทราบคู่กรณีก็สามารถแจ้งความถูกชนโดยไม่ทราบฝ่าย
ซึ่งส่วนนี้จะต้องดูควบคู่ไปกับ
พ.ร.บ.ประกันภัยว่าครอบคลุมรับประกันความเสียหายของรถหรือไม่
กรณีรถที่ทำ
ประกันชั้น 1 ไว้ ก็สามารถเคลมได้ ขณะที่ประกันชั้น 3
ก็จะต้องพิจารณาตามพ.ร.บ.ประกันภัย เพราะถือว่าจอดผิดกฎหมาย
หากจะแจ้งความก็ถือว่าเป็นการแจ้งความทางแพ่งเท่านั้น
"การจอดรถ
ผิดกฎหมาย และถูกอุบัติเหตุสามารถดำเนินคดีอาญาได้
หากบริเวณดังกล่าวมีกล้องวงจรปิดและสามารถเห็นรถคู่กรณีกระทั่งดำเนินคดีกัน
ได้ ซึ่งตำรวจก็พยายามดูแลความปลอดภัย แต่รถที่จอดมีมากหลักหมื่นคัน
ขณะที่รถในกรุงเทพฯอีกกว่า 5 ล้านคันก็ยังขับขี่อยู่บนถนน"
"การเรียก
ร้องค่าเสียหายประกันภัยจะเป็นไปได้หรือไม่จึงต้องดูไปตามหลักฐานและ
ดุลยพินิจ (หากสู้กันถึงชั้นศาล) แต่ละรายไป
ซึ่งบางรายถ้าสามารถตรวจจับจากภาพกล้องวงจรปิดได้ก็สามารถดูให้ได้
แต่ทั้งหมดก็ต้องดูเป็นกรณี บางกรณีตำรวจก็พบว่ากลุ่มที่จอดรถอยู่เลนใน
เมื่อต้องการนำรถออกก็ถูกรถจอดหนีน้ำเลนนอกขวางไว้ ทำให้มีการเข็น
หรือขูดกรีดรถ เฉี่ยวชน"
ฟังอย่างนี้แล้วเป็นเรื่องที่ต้องบริหารที่จอดและ "ทำใจ" เผื่อล่วงหน้า
ด้วยความปราถนาดี จากบริษัท TQM Insurance Broker
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น