วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

รถจมน้ำท่วม ประกันชั้น 1 เท่านั้นได้เคลมประกันภัย





สมาคมประกันวินาศภัย ออกมาระบุว่า ผู้ที่ จะได้รับความคุ้มครองจากกรณีรถยนต์ถูกน้ำท่วม ต้องเป็นผู้ที่ทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้น ส่วนผู้ทำประกันชั้น 2 และ 3 จะไม่มีสิทธิได้รับการคุ้มครองจากบริษัทประกันภัยรถยนต์ โดยผู้ที่ทำประกันชั้น 1 จะได้รับความคุ้มครองทันที ส่วนผู้ที่ไม่มีประกันต้องซ่อมรถยนต์เอง ซึ่งราคาค่อนข้างสูง
โดยแบ่งความเสียหายออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่...
  • น้ำท่วมระดับล้อรถยนต์ ค่าแรงในการซ่อมแซมอยู่ที่ 8,000 - 10,000 บาท
  • น้ำท่วมระดับเบาะ ค่าแรงในการซ่อมแซมอยู่ที่ 15,000 – 20,000 บาท
  • น้ำท่วมระดับคอนโซน ค่าแรงในการซ่อมแซมอยู่ที่ 25,000 – 30,000 บาท
  • น้ำท่วมมิดทั้งคัน ค่าแรงในการซ่อมแซมอยู่ที่ 30,000 บาท
เกณฑ์การพิจารณาค่าสินไหมทดแทนจากน้ำท่วม 
หากท่านทำประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 ไว้และรถเกิดความเสียหายจากน้ำท่วมนั้น สามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ โดยปกติจะต้องพิจาณาจาก ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามจริง ดังนี้
1. เสียหายสิ้นเชิง (total loss) ในที่นี้หมายถึงเสียหายจนไม่อาจซ่อมให้อยู่สภาพเดิมได้ หรือค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 70% ของมูลค่ารถยนต์ ขณะเกิดความเสียหาย เช่น โดยน้ำท่วมทั้งคันหรือ ท่วมเกินคอนโซลหน้า
2. เสียหายแต่ไม่ถึงเสียหายสิ้นเชิง  (partial loss) ในกรณีนี้ บริษัทรับประกัน จะซ่อมให้จนรถกลับสู่สภาเดิมก่อนเสียหาย
ข้อแนะนำ/ข้อควรปฏิบัติกรณีเกิดความเสียหายขึ้นกับรถ อันเนื่องมาจากภัยน้ำท่วม
1. ก่อนอื่น ท่านควรแยกเอกสารสำคัญที่เกี่ยวกับรถของท่าน และเอกสารเกี่ยวกับการประกันภัยรถยนต์ เช่น กรมธรรม์ ไว้นอกรถ เพราะท่านต้องใช้อ้างอิงในการแจ้งข้อมูลแก่บริษัทประกัน
2. ท่านควรแจ้งบริษัทประกันภัยรถยนต์ทันที ที่ทราบความเสียหาย (แจ้งเคลม)
3. ท่านควรถ่ายภาพรถยนต์ และความเสียหายที่เกิดขึ้นเก็บไว้เป็นข้อมูล และใช้ชี้แจงแก่บริษัทประกัน
4. ในกรณีที่บริษัทประกันภัยรถยนต์ไม่สามารถส่งพนักงานไปบันทึกและตรวจสอบความเสียหายได้ (อาจเพราะไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้) ท่านควรถ่ายภาพไว้ตามข้อ 3. และควรให้บุคคลอื่น เช่น คนในครอบครัว หรือ เพื่อนบ้าน เป็นพยานที่สามารถยืนยันความเสียหายที่เกิดขึ้นได้
5. กรณีที่ไม่สามารถแจ้งบริษัทประกันภัยรถยนต์ หรือภาพภาพไว้ได้ ท่านควรบันทึกรายละเอียดข้อมูลความเสียหายไว้เช่น วันที่ที่เกิดความเสียหาย สภาพความเสียหายเท่าที่ประจักษ์ได้ด้วยตา และรีบแจ้งบริษัทประกันทันทีเมื่อท่านสามารถแจ้งได้
6. จากข้อ 5. หากท่านสามารถไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ เพื่อขอให้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน เกี่ยวกับเหตุ และข้อมูลความเสียหายของรถยนต์เบื้องต้นเท่าที่ท่านเห็นประจักษ์ด้วยตา จะเป็นประโยชน์แก่ท่านเป็นอย่างมาก

ด้วยความปราถนาดี จากบริษัท TQM Insurance Broker

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

รถที่จอดบนทางด่วนถูกชนใครผิด?

ช่วงนี้เริ่มมีภาพปรากฎรถที่ไปจอดตามสะพานคู่ขนานลอยฟ้า สะพานโทลเวย์ ทางด่วนและสะพานข้ามคลองต่างๆ ได้รับความเสียหายหลายคัน เนื่องจากถูกขูดหรือถูกชน จากอุบัติเหตุที่จอดกันทำให้ถนนแคบลงหรือถูกเฉี่ยวชนจากรถวิ่งกันเร็ว



คำถามที่ตามมาคือ กรณีเช่นนี้ "ใครผิด"?

พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาลในสถานการณ์อุทกภัย ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจออนไลน์"ว่า ต้องพิจารณาตามกฎหมาย 2 ฉบับคือ พ.ร.บ.การจราจรทางบก และ พ.ร.บ.การทางพิเศษ ซึ่งรถที่จอดเป็นหมื่นคันบนสะพานและทางด่วนเวลานี้ถือว่าจอดในที่ห้ามจอด ซึ่งผิดกฎหมาย แต่ขณะนี้ถือว่าเป็นการเอื้ออาทรในการให้จอด ดังนั้นเมื่อมีเหตุการณ์รถเฉี่ยวชน การทางพิเศษจึงไม่เกี่ยวข้องในการรับมารับผิดชอบ ต้องเป็นเรื่องคู่กรณี แต่ข้อเท็จจริงคือกรณีเช่นนี้จะเป็นการชนแล้วหาคู่กรณีไม่ได้

พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวต่อว่า รถที่ขึ้นมาจอดตามสะพาน และทางด่วนขณะนี้มีหลักหมื่นคัน กรณีที่ถูกเฉี่ยวชนได้รับความเสียหายจากการจอดขณะนี้ยังไม่มีใครเข้าแจ้ง ความ แต่เมื่อน้ำลด ขั้นตอนคือ เมื่อเจ้าของรถทราบว่ารถตัวเองถูกเฉี่ยวชนจะต้องมาแจ้งความ ซึ่งกรณีนี้จะหาคู่กรณีได้ยาก ถ้าจอดในจุดที่มีกล้องวงจรปิดก็สามารถเปิดภาพดูได้และหากตามตัวคู่กรณีมา ดำเนินคดีได้ก็จะดำเนินการไปตามคดีอาญาได้ อย่างไรก็ตามเมื่อยังไม่ทราบคู่กรณีก็สามารถแจ้งความถูกชนโดยไม่ทราบฝ่าย ซึ่งส่วนนี้จะต้องดูควบคู่ไปกับ พ.ร.บ.ประกันภัยว่าครอบคลุมรับประกันความเสียหายของรถหรือไม่



กรณีรถที่ทำ ประกันชั้น 1 ไว้ ก็สามารถเคลมได้ ขณะที่ประกันชั้น 3 ก็จะต้องพิจารณาตามพ.ร.บ.ประกันภัย เพราะถือว่าจอดผิดกฎหมาย หากจะแจ้งความก็ถือว่าเป็นการแจ้งความทางแพ่งเท่านั้น
"การจอดรถ ผิดกฎหมาย และถูกอุบัติเหตุสามารถดำเนินคดีอาญาได้ หากบริเวณดังกล่าวมีกล้องวงจรปิดและสามารถเห็นรถคู่กรณีกระทั่งดำเนินคดีกัน ได้ ซึ่งตำรวจก็พยายามดูแลความปลอดภัย แต่รถที่จอดมีมากหลักหมื่นคัน ขณะที่รถในกรุงเทพฯอีกกว่า 5 ล้านคันก็ยังขับขี่อยู่บนถนน"

"การเรียก ร้องค่าเสียหายประกันภัยจะเป็นไปได้หรือไม่จึงต้องดูไปตามหลักฐานและ ดุลยพินิจ (หากสู้กันถึงชั้นศาล) แต่ละรายไป ซึ่งบางรายถ้าสามารถตรวจจับจากภาพกล้องวงจรปิดได้ก็สามารถดูให้ได้ แต่ทั้งหมดก็ต้องดูเป็นกรณี บางกรณีตำรวจก็พบว่ากลุ่มที่จอดรถอยู่เลนใน เมื่อต้องการนำรถออกก็ถูกรถจอดหนีน้ำเลนนอกขวางไว้ ทำให้มีการเข็น หรือขูดกรีดรถ เฉี่ยวชน"
ฟังอย่างนี้แล้วเป็นเรื่องที่ต้องบริหารที่จอดและ "ทำใจ" เผื่อล่วงหน้า


ด้วยความปราถนาดี จากบริษัท TQM Insurance Broker

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

สิ่งที่ควรเตรียม เมื่อจะอพยพหนีน้ำท่วม


หลายคนคงเริ่มคิดที่จะอพยพหนีน้ำท่วมไปยังศูนย์อพยพหรือไปพักพิงที่ต่าง จังหวัดกันแล้วเพราะสถานการณ์ในหลายพื้นที่เริ่มจะไม่น่าไว้ใจ ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำจาก ศ.ดร.ธงชัย พรรณสวัสดิ์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ในการเตรียมตัวเพื่อการอพยพครั้งนี้

1. เตรียมแผนอพยพให้ดี ว่าจะทำอะไร อย่างไร เมื่อไร  และจะขอความร่วมมือหรือความช่วยเหลือจากใครบ้าง

2. จัดเตรียมกระเป๋าใส่ของที่ต้องติดตัวไป โดยเตรียมกระเป๋าแบบที่เคยเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด ส่วนจำนวนมากหรือน้อยชิ้นก็ขึ้นกับว่าเราตั้งใจจะไปพำนักนอกบ้านกี่วัน  และหากถ้าต้องไปอยู่ที่ศูนย์อพยพก็ต้องเตรียมตัวมากขึ้นกว่าเดิม เช่น ไฟฉาย ถ่านไฟฉาย วิทยุเล็กๆ พัดลม เสื่อ หมอน ฯลฯ

3. หมั่นออกไปสำรวจบริเวณใกล้บ้าน โดยมุ่งไปทางทิศเหนือเป็นหลัก เพื่อดูว่าน้ำใกล้จะมาถึงบ้านแล้วหรือยัง ควรใช้เวลาอีกกี่วันถึง โดยดูจากข้อมูลย้อนหลังไป 3-4 วันว่าน้ำวิ่งในบริเวณนั้นเร็วเท่าใด คือ ถ้าพื้นราบน้ำวิ่งช้า แต่ถ้าพื้นที่มีความลาดชันน้ำจะวิ่งเร็ว

4. ยกเตาแก๊สและตู้เย็นซึ่งมักอยู่ที่ห้องครัวชั้นล่างขึ้นบนที่สูง โดยเลิกหุงหาอาหารในช่วงนี้ ให้ซื้อของกินจากข้างนอกจะสะดวกกว่า

5. หากเป็นครัวแบบติดตั้งในที่ แบบที่เรียกว่า "บิลท์อิน" ก็ให้ถอดบานประตูและลิ้นชักไม้ขึ้นเก็บบนที่สูง ซึ่งก็เป็นเพียงแค่การเผื่อว่าตัวโครงไม้ยังอยู่ดีเมื่อเรากลับมา แต่ถ้าท่วมนานจนโครงบิดหรือเสียรูป แบบนี้ก็ต้องทำใจและไปหาซื้อมาติดตั้งใหม่

6. หากมีสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะสุนัขตัวผู้ ต้องหากรงไว้ใช้ในการขนย้าย หรือเอาไว้ใช้ในกรณีที่ที่จะไปพักมีสุนัขเจ้าของพื้นที่อยู่  สุนัขตัวผู้แปลกหน้าสองตัวเจอกันก็มักมีปัญหาได้เสมอ แต่ถ้ายุ่งยากก็อาจไปซื้อกรงเอาข้างหน้า และอย่าลืมโซ่จูง จานอาหาร และถุงอาหาร  ยกเว้นจะไปซื้อใหม่เอาดาบหน้าเช่นกัน

7. หากได้ติดเทปกันน้ำเข้าไว้ที่ประตูเข้าตัวบ้านโดยเฉพาะประตูกระจก ก็ควรแกะออกเสียเพื่อยอมให้น้ำเข้าบ้านได้บ้างเพราะเราไม่ได้อยู่บ้านคอย ดูแลระดับน้ำ ซึ่งหากความลึกน้ำต่างกันมากจะทำให้ส้วมระเบิด พื้นทะลุ หรือกระจกแตกได้ ทั้งนี้ อันกระจกนี้เป็นที่รู้กันในวงการช่างว่ารับแรงบิดไม่ได้ แม้บิดเพียงเล็กน้อยก็ไม่ได้

8. เอาถุงทราย (ถ้ามี) กดทับเพื่ออุดรูส้วม และหัวตะแกรงระบายน้ำ รวมทั้งหัวดูดส้วม (ที่เป็นทองเหลืองเป็นรูปวงกลม ขนาดประมาณ 4 นิ้วหรือ 10 เซนติเมตร) เพื่อมิให้ของเสียจากส้วมดันทะลุเข้ามาที่ห้องน้ำ เวลาเรากลับมาจะได้ทำความสะอาดบ้านได้ง่ายหน่อย

9. ตัดไฟชั้นล่างออกหมด แล้วเปิดไฟแสงสว่างบางดวงไว้ที่ชั้นบนบ้าง เอาไว้ขู่หรือหลอกขโมยว่ายังมีคนอยู่บ้าน ยิ่งถ้ามีอุปกรณ์ตั้งเวลา (timer) มาใช้บังคับให้ปิดเปิดดวงไฟเป็นเวลา เช่น ช่วง 3 ทุ่มถึงเที่ยงคืน และตีหนึ่งถึงตีสี่ ฯลฯ ก็ยิ่งดี เพราะมันดูเหมือนมีคนมาเปิดปิดไฟ แทนที่จะเปิดนิ่งอยู่อย่างนั้นตลอด 24 ชั่วโมง

10. ตัดเครื่องสูบน้ำที่ชั้นล่าง (ถ้ามี) แล้วยกขึ้นชั้นบน หรือขนขึ้นรถไปด้วย ขโมยถ้ามันมาจริงจะได้เอาไปไม่ได้ เอาไว้เวลากลับมาจะได้เอามาต่อเข้ากับท่อแล้วใช้สูบน้ำมาล้างบ้าน หากปล่อยทิ้งปั๊มไว้ให้น้ำท่วมเวลากลับมาจะยังใช้ปั๊มไม่ได้จนกว่ามันจะแห้ง สนิท ซึ่งใช้เวลาอีกเป็นอาทิตย์ ซึ่งจะไม่สะดวกเลย

11. ปิดวาล์วมิเตอร์ประปาหน้าบ้าน

12. จดเบอร์โทรศัพท์คนข้างบ้าน เอาไว้โทรติดต่อประสานงานกัน หรือช่วยดูแลบ้านกันและกัน

13. ขอให้คนข้างบ้านที่อาจยังไม่ย้ายออก ให้เก็บหนังสือพิมพ์และไปรษณีย์อื่น ๆ ที่มาส่งที่บ้านด้วย เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ขโมยจะรู้ว่าไม่มีคนอยู่บ้าน

14. อย่าลืมบัตรประชาชน บัตรประกัน บัตรโรงพยาบาล บัตรเครดิต ฯลฯ

15. ห้ามลืมโทรศัพท์มือถือและแท่นชาร์จแบตเตอรี่ เพราะเป็นอุปกรณ์สำคัญมากในยุคปัจจุบัน

16. หากจะไปอยู่นาน ก็อาจแถมท้ายด้วยการพกเอาโน้ตบุ๊กหรือไอแพดไปด้วย หรือจะให้สุนทรีย์กว่านั้นก็เอาแผ่นดีวีดีไปด้วย เอาไว้คลายเครียด

17. ขอแนะนำว่าให้ล็อกเฉพาะประตูเข้าบ้าน  ส่วนประตูห้องในบ้าน ตู้ ลิ้นชัก ฯลฯ ไม่ควรล็อก เพราะเวลาขโมยเข้าบ้านเขาก็จะงัดและแงะอยู่ดี เฟอร์นิเจอร์พวกนี้ก็จะเสีย และเราต้องเสียเวลาและเงินมาซ่อมอีกทีในภายหลัง สู้เปิดให้มันขโมยได้จะ ๆ ไปเลยดีกว่า แต่นั่นหมายถึงว่าเราต้องเอาของมีค่าไปเก็บที่อื่นไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ของมีค่าพวกนี้มีตั้งแต่เพชรพลอย ทองคำ  เงินสด โฉนด พาสปอร์ต ปริญญาบัตร ทะเบียนบ้าน ฯลฯ

สุดท้ายหลังจากเตรียมความพร้อมแล้ว  ก็ต้องเตรียมใจและปล่อยวาง  หากน้ำมันจะท่วมจริงและมีขโมยขึ้นบ้านจริง  ก็ให้คิดเสียว่ามีอีกหลายคนที่เจอชะตากรรมเดียวกับเรา ...บางคนเลวร้ายกว่าเราด้วยซ้ำ ด้วย ความปราถนาดี จาก บริษัท TQM Insurance Broker

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

เผยรถเสียหายจากน้ำท่วม ประกันชั้น 1 คุ้มครองทุกกรณี





เผยรถยนต์เสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม ประกันชั้น 1 คุ้มครองทุกกรณี ขณะที่ชั้นอื่น ๆ ต้องหาหลักฐานยืนยัน และต้องเกิดจากพาหนะทางบกเท่านั้น

           นายพันธ์เทพ ชัยปริญญา ประธานชมรมสินไหมยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัย กล่าวว่าการนำรถยนต์ไปจอดไว้ที่สูง ซึ่งไม่ใช่ที่สำหรับจอดรถ อาทิ ทางด่วน สะพาน เพื่อหนีน้ำท่วมนั้น ถ้าหากเกิดความเสียหาย ก็ยังได้รับความคุ้มครองเฉพาะประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้น ขณะที่ชั้นอื่น ๆ จะคุ้มครองเฉพาะอุบัติเหตุจากพาหนะทางบก ซึ่งทางผู้เสียหายต้องหาหลักฐานมาชี้แจงให้ได้ มิเช่นนั้นจะต้องรับผิดชอบความเสียหายเอง

           ขณะที่พื้นที่ที่น้ำลดลงไปแล้วอย่าง จ.พระนครศรีอยุธยา นายพันธ์เทพ กล่าวว่า ทางสมาคมฯ กับคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จะอำนวยความสะดวก ด้วยการลงพื้นที่ตั้งจุดรับแจ้งเหตุสำหรับลูกค้า และคอยจัดการ ให้คำแนะนำในการซ่อมรถเบื้องต้น

           ทั้งนี้ นายพันธ์เทพ หวังว่า หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วม จะทำให้มีคนซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 มากขึ้น เพราะคุ้มครองความเสียหายทุกกรณี และในอนาคตมีแนวโน้มที่บริษัทประกันภัยรถยนต์จะเพิ่มบริการที่จอดรถด้วย

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

จอดรถหนีน้ำท่วมควรคิด...





ช่วงนี้เรารู้ว่าหลายคนประสบภัยพิบัติน้ำท่วมที่ทำให้เราหลายคน คิดอยากจจะปกป้องทรัพย์สินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงและหนึ่งในนั้นก็คงไม่พ้น รถยนต์ จนกลายเป็นมหกรรมหนีน้ำระดับชาติ ที่แม้แต่ฝรั่งยังร้อวโอ้แม่เจ้ากันเลยทีเดียว
การจอดรถหนีน้ำท่วมนั้นถือเป็นทางออกที่ดีอย่างหนุ่งในการปกป้องยานยนต์ สุดที่รักไม่ให้ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติ ที่แม้ประกันชั้น 1 จะจ่ายให้เพื่อซ่อมแซม แต่โดยมากเราก็จะได้รับคำแนะนำให้นำรถออกจากจุดเสี่ยงแต่เนิ่นๆ และที่สูงคือพื้นที่หมายปองของเราหลายๆ จนทำให้สะพานข้ามแยกต่างๆหรือแม้แต่ทางด่วนกลายเป็นที่จอดรถขนาดใหญ่ โดยที่หลายคนไม่สนใจว่าจะทำความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้ทางท่านอื่นหรือรบกวน การจราจรหรือไม่นอกจากตัวเอง

พฤติกรรมที่เรากำลังพูดถึงนี้จะบอกว่าเห็นแก่ตัวก็คงไม่ใช่ เพราะส่วนหนึ่งคงไม่มีใครอยากนำรถมาทิ้งไว้ถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ แต่ถ้าวันนี้คุณเป็นคนหนึ่งที่ไปจอดรถหนีน้ำท่วมตามที่สาธารณะต่างๆ นี่เป็นคำแนะนำจากเรา ที่อยากให้ปฏิบัติ ที่จะทำให้ทรัพย์สินปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

1.อย่าจอดทางโค้ง เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวที่อาจจะไม่ได้ออกหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่อต่างๆ แต่ มันก็เป็นเหตุหารณ์หนึ่งสุดสลด เมื่อรถมอเตอร์ไซค์เสยรถที่จอดรถหนีน้ำท่วมบนสะพานแห่งหนึ่ง ไม่แน่ใจว่า ที่ไหน แต่ที่มั่นใจ คือคนขับมอเตอร์ไวค์เสียชีวิตคาที่ ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเกิดขึ้น เมื่อคุณกำลังเดือดร้อน แต่มาทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย ทางที่ดีหากเป็นไปได้ให้งดเว้นการจอดรถในทางโค้ง ซึ่งเป็นจุดอับในการขับขี่

2.จอดรถในจุดที่มี แสงสว่างพอ เราหลายคนอาจจะแตกตื่นโกลาหลกับน้ำท่วม แต่หากคุณต้องอพยพรถสุดที่รักการเลือกที่จอดนั้นก็สำคัญอย่าสับแต่ว่าหนีเอา ตัวรอด มองหาแสงสว่างจากไฟถนนสักนิด จะช่วยให้รถคณปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ จากเพื่อนร่วมทางในยามค่ำคืน

3. หลีกเลี่ยงการจอดซ้อนคัน เรารู้ว่าทุกคนเดือดร้อนและปฏิเสธไม่ได้ในเรื่องดังกล่าว ทว่าเมื่อคุณจอดรถหนีน้ำพยายามหลีกเลี่ยงการจอดซ้อนคันบนทาง ซึ่งทำให้สูญเสียช่องทางการจราจร ซึ่งผุ้ใช้ทางต้องมาชะลอความเร็วแล้ว ที่สำคัญรถข้างในเขาก็ออกไม่ได้ และมันเป็นที่มาของรอยไม่พึงประสงค์
ดังนั้น ทางที่ดีหากต้องจอดซ้อนคันจริง ปลดเกียร์ว่าง และ ควรหากระดาษรายละเอียดเกี่ยวกับตัวคุณมาติด โดยเฉพาะเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้

ทั้งนี้เราเองก็ไม่แนะนำให้เพื่อไร้ระเบียบวินัยไปจอดรถอย่าง สุรุ่ยสุร่ายตามสะพานหรือทางสาธารณะต่างๆ เหมือนที่มีภาพได้เห็นๆกันมา แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อยก็ให้ทำอย่างมีสติและรีบกลับมาย้ายรถของท่านไปยังที่อื่นที่ ปลอดภัยมากกว่าทางสาธารณะ
ด้วย ความปราถนาดี จาก บริษัท TQM Insurance Broker

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

เตือนภัย! ระวังซื้อประกันภัยรถยนต์ ได้แค่กระดาษเปล่า..


โลกยุคปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆพัฒนาไปมาก จนเอื้ออำนวยความสะดวกแก่มิจฉาชีพ ไม่ ว่าจะเป็นเรื่องข้อมูลประวัติลูกค้า การจัดทำเอกสารที่มีแบบฟอร์มเหมือนบริษัทประกันภัยรถยนต์(จัดพิมพ์สีสวยกว่าบริษัท ประกันภัยรถยนต์บางบริษัทอีกด้วย) จนผู้บริโภคไม่สามารถแยกแยะได้ว่าผู้ที่โทรศัพท์มาขายประกัน โทรมาจากไหนจริง เพราะส่วนใหญ่ก็มักจะอ้างว่าโทรมาจากทางบริษัทประกันภัยรถยนต์ รวมทั้งจดหมายเอกสารที่ส่งมาก็มีโลโก้บริษัทประกันภัยรถยนต์ ที่อยู่ เบอร์ติดต่อสำนักงาน ดูน่าเชื่อถือมากๆ แต่พอตกลงทำเมื่อไร...ได้เรื่องเมื่อนั้นทันที!!!

        โดยกลุ่มมิจฉาชีพเหล่า นี้มีวาทะศิลป์ในการขายเป็นอย่างดี เรียกว่ามืออาชีพ และเมื่อตกลงทำจะจัดส่งพนักงาน(มีชุดฟอร์มดูน่าเชื่อถือ)มาเพื่อถ่ายรูปรถ เก็บเงิน และออกหลักฐานการรับประกันภัยรถยนต์ รวมถึงใบเสร็จรับเงิน ครบชุดบางรายมีนามบัตรให้ด้วย ซึ่งจากนโยบายในการเลือกซื้อประกันที่ว่ากัน คือ

1. ดูบัตร(ปลอม)
2. ชำระเบี้ยประกันภัยรถยนต์(เรียบร้อย)
3. รับหลักฐาน(ที่ทำกันขึ้นมา)
4. ติดตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์(ติดต่อใครๆก็ไม่ได้)
...เป็นอันว่า เข้าทางมิจฉาชีพพอดี ซึ่งจริงๆแล้ววิธีการที่แนะนำกันมาก็ใช้ได้แต่ต้องเพิ่มรายละเอียดให้สมบูรณ์มากขึ้น

หากต้องชำระเป็นเงินสด คือ
1. ตรวจสอบใบอนุญาต ว่ามีตัวตนหรือเปล่าสามารถตรวจสอบจากwebsite หรือ โทร1186 ติดต่อคปภ.ก็ได้
2. ตรวจสอบกับบริษัทประกันภัยรถยนต์ที่ลูกค้าได้ตกลงทำประกันว่าได้มอบอำนาจให้พนักงานคนนี้มาเก็บเงินได้จริงหรือเปล่า
3. ไม่ว่าจะเช็คแบบไหนสุดท้ายก็ต้องขอสำเนาบัตรประชาชนของผู้มารับเงินพร้อมเบอร์โทร(เป็นวิธีแบบพื้นๆที่ทำกันมานานแต่ใช้ได้ดี)

ส่วน การชำระโดยการโอนเข้าบัญชีธนาคารก็ปลอดภัยมาขึ้น โดยเฉพาะการโอนเข้าตรงที่บริษัทประกันภัยรถยนต์ และถ้าเป็นชื่อบัญชีอื่นๆก็ต้องตรวจสอบเหมือนกับการชำระเงินสด ที่สำคัญควรเก็บหลักฐานการโอนเอาไว้(สำคัญมากๆ)

ผมได้แนบขั้นตอนการทำประกันตามฉบับคปภ.มาให้อ่านด้านล่างซึ่งวิธีที่ควรปฏิบัติตามกันนะครับ แต่เสริมเฉพาะเรื่องการชำระเงินที่ผมได้แนะนำไปข้างต้น

1. ดูบัตร : ขอดูบัตรใบอนุญาตตัวแทนประกันวินาศภัยหรือนายหน้าประกันวินาศภัยที่ออกโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ทุกครั้งที่จะทำประกันภัย

2. ชำระเบี้ยประกันภัย : ชำระเบี้ยประกันภัยให้ครบถ้วนก่อนหรือตรงกับวันที่ประสงค์จะให้เริ่มความคุ้มครอง

3. รับหลักฐาน : เมื่อชำระเบี้ยประกันภัย ให้เรียกหลักฐานการรับชำระเบี้ยประกันภัยของบริษัทประกันภัยเพื่อเป็นหลัก ฐานว่าได้ชำระเบี้ยประกันภัยแล้ว และการทำประกันภัยรถยนต์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสพภัยจากรถ พ.ศ. 2535(พ.ร.บ.) หรือการทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจรวมการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ(สมัครใจ รวม พ.ร.บ) จะได้รับหลักฐานแสดงการประกันภัยรถยนต์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เพื่อใช้สำหรับการจดทะเบียนใหม่หรือขอเสียภาษีประจำปีต่อนายทะเบียนขนส่ง

4. ติดตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ : หากไม่ได้รับกรมธรรม์ประกันภัยภายใน 15 วัน นับแต่วันชำระเบี้ยประกันภัยให้ติดต่อไปที่บริษัทประกันวินาศภัยที่ท่านทำ ประกันภัยรถยนต์โดยตรง

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

รู้จักระดับน้ำท่วม ขนาดไหน ที่คุณต้องช่างใจ...เมื่อขับรถ




กลายเป็นกระแสที่ทำให้หลายตื่นตกใจ เกี่ยวกับเรื่องราวของน้ำท่วม ที่วันนี้กำลังจะเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานคร น่าจะภายในวัน 2 วันนี้ และจะเป็นตัววัดว่า เราจะรอดจากเหตุภายน้ำท่วมหรือไม่
ที่ ผ่านมาเราได้พูดถึง การขับรถลุยน้ำท่วมกันไปพอสมควรแล้ว และที่ผ่ามาก็มีหลายคนยังดับกลางทาง กลับมาต่อว่าต่อขานเรา ว่าคำแนะนำไม่สามารถใช้ได้จริง ทว่าเรายินดีน้อมรับคำติชมเหล่านั้น และเมื่อกลับมามองถึงการขับรถลุยน้ำท่วม ตามที่เคยเสนอไปก่อนหน้านี้
การ เประเมินระดับน้ำท่วมนั้น นับว่า มีส่วนสำคัญมาก อาจจะเป็นเพียงทางเลือกระหว่างไปหรือไม่ ในเส้นทางดังกล่าว ซึ่งการสังเกตระดับน้ำนั้น ให้ใช้จุดอ้างอิงต่างๆที่เราสามารถสังเกตได้ เช่น รถยนต์ที่สวนทางมา เสาไฟฟ้า ต้นไม้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถือว่าเป็นตัวชี้วัดได้อย่างดี และคุณควรตัดสินใจให้ดีก่อนทำการลงน้ำ

1. ระดับน้ำ 5-10 เซนติเมตร ระดับ น้ำนี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น และไม่สามารถส่งผลต่อการเดินทางของรถ และระดับน้ำระดับนี้มักเจอเป็นประจำเมื่อพบน้ำท่วมขังในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งระดับนี้เป็นระดับที่ปลอดภัย สามารถผ่านได้ ทั้งรถเก๋งและรถกระบะ ไร้ปัญหา

2. ระดับน้ำ 10 - 20 เซนติเมตร ในกรณีเราเจอน้ำท่วมขังในพื้นที่มากในระดับน้ำประมาณครึ่งฟุตนี้ ถือว่ายังไม่สามารถทำอะไรรถยนต์ได้ ยังสามารถผ่านไปได้ตามปกติ ทั้งรถเก๋งและรถกระบะ โดยในส่วนของรถเก๋ง อาจจะมีปัญหาเล็กย้อย เพราะคุณอาจจะได้ยินเสียงน้ำนั้น กระเพื่อมอยู่ที่ใต้ท้องรถบ้าง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสามารถเดินเครื่องไปต่อได้เรื่อยๆ และในกรณีขับรถสวนกันก็อาจจะมีคลื่นที่สูงบ้าง แต่ไม่มากมายนัก ตรงนี้ยังปลอดภัย

3.ระดับน้ำ 20 -40 เซนติเมตร ตรง นี้รถเก๋งอาจจะเริ่มมีปัญหา เรานี่คือระดับขอบประตูรถเก๋งเกือบแทบทุกรุ่นในปัจจุบันที่มีระยะสูงจากพื้น 150-170 ม.ม. เท่านั้น ระดับที่ท่วม 3 ใน 4 ของล้อรถนั้น ส่งผลให้ท่อไอเสียนั้นจะจมนั้นอยู่เกือบตลอดเวลา แต่ก็ยังพอไปได้ถ้าทางนั้นไม่ยาวมากนัก แต่ถือว่าเริ่มเสี่ยงมาก อาจจะมีได้พรมแฉะกันบ้างล่ะ โดยเฉพาะรถกลุ่มซิตี้คาร์ ส่วนรถกระบะทั่วไปสามารถผ่านได้ ยกสูง ขับ 4 ยังสบายใจได้อยู่

4.ระดับน้ำ 40 -60 เซนติเมตร ระดับนั้นประมาณ 2 ฟุตนั้น ถือเป็นอันตรายสำหรับรถเก๋ง ทุกรุ่นทุกประเภท ไม่สมควรผ่านอย่างยิ่งหาทางเลี่ยงนับว่าจะเป็นวิธีการที่ดีสุดครับ ในระดับเดียวกันนี้รถปิกอัพทั่วไปนั้น ก็เริ่มมีลุ้นพอสมควร แต่ถ้าเดินเครื่องไปเรื่อยๆ ยังสามารถไปได้ เพียงแค่ต้องระวังเรื่องของคลื่นน้ำ ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นอย่างฉับพลัน และอาจะเข้าเครื่องได้ ระดับน้ำขนาดนี้ต้องปิดระบบปรับอากาศขับเท่านั้น ส่วนรถกระบะยกสูงทั่วไปนั้นสามารถผ่านได้ ไม่มีปัญหา แต่ก็ต้องระวังเรื่องคลื่นเช่นกัน

5.ระดับน้ำ 60-80 เซนติเมตร ระดับน้ำขนาดนี้เป็นเรื่องอันตรายกับรถทุกประเภท ไม่เว้นกระทั่งรถใหญ่ทั้งหลาย เพราะน้ำนั้นอาจจะมีสิทธิไหลเข้ากรองอากาศได้ง่ายกว่า ยิ่งเจอคลื่นนั้นอาจจะสูงถึงระดับ 1 เมตร ที่สามารถทำให้เครื่องยนต์หยุดชะงักและสร้างความเสียหายต่อระบบต่างๆได้ การลุยน้ำท่วมระดับนี้ ต้องใช้ความชำนาญการเป็นพิเศษพอตัว ที่สำคัญ พยายามอย่าปะทะคลื่นโดยตรง เพื่อหลีกเลี่ยงเครื่องดับกลางอากาศ และอย่าใช้ความเร็วสูงนัก

ระดับน้ำสูงเกินกว่า 80 เซนติเมตร ระดับน้ำที่มากที่สุดที่รถเดิมๆจากโรงงานจะสามารถผ่านได้และก็ไม่ใช่ทุกรุ่น เสียด้วย ตามปกติ ระดับน้ำ 80 ซ.ม. นั้นหมายถึงน้ำขึ้นถึงฝากระโปรง ท่วมไฟหน้ามิดสิ่งสำคัญคือปิดระบบไฟต่างๆ เพื่อป้องกันการลัดวงจรเดินเครื่องอย่างต่อเนื่องอย่าหยุด แต่ถ้าอยากให้ปลอดภัย น้ำระดับนี้ ควรมากับรถลุยที่มีการปรับแต่งยกสูงจากปกติประมาณ 2-4 นิ้ว จะมั่นใจกว่า

 ทั้ง นี้อย่างที่บอกไปในเบื้องต้นว่าการประเมินระดับน้ำนั้นต้องอาศัยสิ่งที่ช่วย อ้างอิง และที่สำคัญ ต้องรู้จักรถเราอย่างดี ว่าระดับไหนที่ปลอดภัย อย่าฝืน มิฉะนั้น อาจจะตายกลางทางได้

ด้วยความปราถนาดี จาก บริษัท TQM Insurance Broker

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

วันนี้เรามาดูกันว่า หากเราขับรถไปชนกับคนอื่น หรือถูกชนเราควรทำอย่างไร?




1.หยุดรถ ให้หยุดรถทันที แม้ว่าจะเห็นว่าเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อยเพียงใด อย่าเลื่อนรถจนกว่าจะตกลงกันได้ว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นจากสาเหตุใด และใครเป็นคนผิดหรือถ้าจะให้ดีควรรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำการตีเส้น อุบัติเหตุก่อน แล้วจึงค่อยเลื่อนรถ เว้นแต่จะเกิดอุบัติเหตุในที่เปลี่ยว ในกรณีนี้ให้คุณจดเลขทะเบียนรถคู่กรณี สี ยี่ห้อ ตำหนิ เวลาและสถานที่เกิดเหตุเอาไว้ แล้วขับต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงที่ชุมชน หรือพบตำรวจ อย่าจอดรถในที่เกิดเหตุเป็นอันขาด เพราะเคยมีเหตุการเจ้าของรถถูกจี้ หรือถูกทำร้ายบ่อยๆ เมื่อลงจากรถ หลังเกิดเหตุในที่เปลี่ยว
2.อย่าพูดพล่อย การขอโทษของคุณ อาจจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายอ้างขึ้นมาว่า คุณยอมรับเป็นฝ่ายผิด อีกทั้งไม่ควรกล่าวโทษอีกฝ่าย เพราะคุณยังไม่รู้ท่าทีของอีกฝ่าย การกล่าวโทษ อาจทำให้เหตุการเลวร้ายลงไปอีก จำไว้เสมอว่า คุณไม่มีอำนาจในการตัดสินว่าใครผิดใครถูก แม้แต่เวลาที่คุณคิดว่า คุณเป็นฝ่ายผิด คุณอาจจะไม่ผิดอย่างที่คิดก็ได้
3.ให้ข้อมูล ให้คุณให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณ ชื่อ- ที่อยู่เลขทะเบียนรถ และ ชื่อประกันที่คุณ มีแก่คู่กรณี หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ
4.หาข้อมูล หลังจากคุณให้ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นแล้ว คุณควรขอข้อมูลจากคู่กรณีด้วยเช่นเดียวกัน หากอีกฝ่ายไม่ให้ ก็ให้คุณจดเลขทะเบียน รูปพรรณของรถเอาไว้ อย่า !พยายามยึดใบขับขี่ของคู่กรณี เพราะคุณอาจโดนข้อหาลักทรัพย์
5.แจ้งตำรวจ หลังเกิดเหตุ คุณควรแจ้งตำรวจทุกครั้ง แม้จะเป็นเพียงอุบัติเหตุเล็กน้อย หรืออีกฝ่ายยอมรับผิดก็ตาม เพราะมิฉะนั้นแล้ว หากอีกฝ่ายแจ้งความในภายหลัง เจ้าหน้าที่จะสรุปว่าคุณหลบหนี และคุณจะเป็นฝ่ายผิดทุกกรณี หากเจ้าหน้าที่ยังไม่มาให้คุณไปแจ้งความยังสถานีตำรวจ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดูที่เกิดเหตุ และตีเส้นตำแหน่งรถ อย่าเลื่อนรถจนกว่าเจ้าหน้าที่จะมาถึง หากไม่สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ ให้คุณทำหนังสือยืนยันเหตุการที่เกิดขึ้นไว้เป็นหลักฐาน โดยลงชื่อยืนยันไว้ทั้ง 2 ฝ่าย อย่าหลงเชื่อคู่กรณี หากบอกว่าไม่ต้องแจ้งตำรวจ เพราะอีกฝ่ายอาจปฏิเสธความรับผิดชอบในภายหลัง ในกรณีนี้ หากคุณไม่มีเจ้าหน้าที่เป็นพยานหรือหนังสือยืนยัน ตามกฏหมายจะถึงว่า คำพูดของคุณอ่อนหลักฐาน
6.หาพยาน โดยสอบถามจากคนบริเวณที่เกิดเหตุ อาจเป็นคนเดินถนน หรือรถคันข้าง ๆหากเขายินยอมเป็นพยาน ให้คุณจดชื่อ-ที่อยู่เพื่อติดต่อเอาไว้ เพื่อในกรณีเหตุที่ซับซ้อน เช่น คุณกำลังเข้าถนน 4 เลน รถ 2 เลนแรกหยุดให้คุณแล้ว แต่คุณชนรถในเลนที่ 3 ในกรณีนี้ คุณอาจเป็นฝ่ายผิดหากไม่สามารถหาพยานมายืนยันได้
7.ไปโรงพยาบาล หากคุณสงสัยว่าได้รับบาดเจ็บ ควรไปพอแพทย์เพื่อตรวจ หากปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นอันตรายและการเรียกร้องค่าเสียหายใน ภายหลังจะยากขึ้นด้วย
8.แจ้งความ ในกรณีที่มีผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต จะต้องไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ทันที แม้กฏหมายจะผ่อนปรนให้แจ้งความใน 6 เดือน เพราะบริษัทประกันภัยรถยนต์ส่วนใหญ่ไม่รับรองใบแจ้งความย้อนหลัง
9.ตกลงเงื่อนไข การจ่ายค่าเสียหาย เรียกเจ้าหน้าที่ประกันภัยมาทันที ที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่สามารถแนะนำคุณได้ว่า ควรให้บริษัทชดใช้ หรือคุณควรจ่ายเอง เพราะเบี้ยประกันภัยรถยนต์ของคุณอาจเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 20 หากค่าชดใช้นั้นเกินกว่าเบี้ยประกัน ร้อยละ 200 (ตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัทประกันภัยรถยนต์) หากต้องชดใช้ 2,100 บาท ค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ของคุณจะเพิ่มขึ้นเป็น 3,200 บาท คุณอาจจะประหยัดได้มากกว่า หากจ่ายเงินชดใช้ 2,100 บาทเอง
10.อย่ารีบรอมชอม หลังอุบัติเหตุ หากอีกฝ่ายยอมรับเป็นฝ่ายผิด และคุณสงสัยว่าคุณจะได้รับบาดเจ็บ อย่าเพิ่งรีบรับข้อเสนอให้ยอมความ เพราะการบาดเจ็บของคุณ อาจจะต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะรู้ว่าอาการของคุณรุนแรงเพียงใด หากคุณยอมความไปแล้ว การเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติม จะทำได้ยากขึ้น แต่ถ้าคุณไม่ได้รับบาดเจ็บ และข้อเสนออีกฝ่ายเป็นที่น่าพอใจ ก็ให้คุณยอมความได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น จากสถิติอุบัติเหตุ ร้อยละ 70 เกิดจากความประมาท การระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำแนะนำทั้ง 10 จะเป็นการดีที่สุด

ด้วยความปถานาดีจาก บริษัท TQM Insurance Broker
ที่มา : http://www.thaihomemaster.com

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

การตรวจเช็ครถยนต์ ..หลังน้ำท่วม,รถจมน้ำ

ถ้ารถจมน้ำเข้าให้  ไม่ว่าจะจำใจ  จงใจ ไม่ตั้งใจนั้น  เราควรจะทำอย่างไร?





อันที่จริงแล้วผมไม่อยาก จะเอามาบอกนักนัก? ด้วยว่าไม่อยากให้ใครเที่ยวได้เอารถยนต์ไปหล่นตูมตามลงในน้ำลึก? และไม่ได้อยากเห็นใครมีปัญหาเมื่อรถจอดอยู่กับที่แล้วน้ำไม่รักดีบ่าเข้าไป ท่วมรถ? แต่อ่านข่าวที่เดี๋ยวนี้ชัก ไม่ค่อยอยากอ่านเท่าไร? ด้วยว่ามีแต่เรื่องน่ากลุ้มใจไปหมดไม่ว่าบ้านเราหรือบ้านเมือง? ก็ยังได้พบข่าวน้ำท่วมประปราย? เลยจับเอาอาการแก้ไขหลังน้ำท่วมรถขึ้นมาเล่าสู่กันฟังเสียตรงนี้ล่ะครับ
  •           แรกทีเดียว อย่าพยายามรีบร้อนติดเครื่องยนต์รถที่เพิ่งเอาขึ้นจากน้ำหรือ น้ำลดลงไปจากการท่วมมิดเครื่องยนต์เป็นอันขาด? เพราะน้ำที่อัดอยู่ในเครื่องยนต์อาจจะทำให้ก้านสูบกับก้านกระทุ้งวาล์วใน กรณีที่เป้นรถโบราณเช่นโฟล์กสวาเกน? เต่าทองนั้น? คดงอได้เลยทีเดียว?
  •           อย่าพ่วงไฟเพื่อติดเครื่องยนต์รถที่ไหม่กว่ารุ่นปี ค.ศ. 1989? หรือ พ.ศ. 2532? ขึ้นมา? ด้วยว่านั้นจะเปิดโอกาสให้แอลเทอร์เนอเตอร์ซึ่งมักจะเรียกกันง่าย ๆ ว่า ไดชาร์จ? และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นานาประดามีในรถไหม้เสียหายได้
  •           ก่อนที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่? หรือเอาแบทเตอรี่ไปอัดไฟให้เต็มอีกทีแล้วเอามาใช้? หรือพูดให้ชัดก็ได้ว่า? ต่อขั้วแบตเตอรี่เข้ากับรถอีกครั้งหลังจากพ้นน้ำแล้วนี่? ปลดฟิวส์ของระบบถุงลมนิรภัยเพื่อไม่ให้ทำงานขึ้นมาได้ในระยะแรกนี้ก่อน? ด้วยว่าถ้าวงจรไฟฟ้าในระบบถุงลมนิรภัยเกิดลงดินหรือชอร์ตกันได้แล้วล่ะก็? ถุงลมระเบิดตูมแบบว่าทำงานให้ใช้ได้ขึ้นมาเฉย ๆ เสียของไปเปล่าๆ หลายหมื่นทีเดียวนะครับ
  •           ปกติเมื่อรู้ว่ารถจะจมน้ำ? เราก็ควรถอดสายไฟยกแบตเตอรี่ขึ้นที่สูงบนบ้านบนเรือนก่อน? ถ้าทำไม่ทันแบตเตอรี่จมน้ำอยู่ก็จะหมดไฟไปก่อนที่จะเข้าทำให้เกิดกระแสลัดวง จรทที่เสียหายเพราะน้ำได้? แต่เมื่อน้ำแห้งแล้ววงจรอาจจะลงดินอยู่? มีกระแสเข้าไปเมื่อไรลัดวงจรเมื่อนั้น? จึงควรรีบถอดสายแบตเตอรี่ออกทันทีที่รถพ้นน้ำ? ถ้าไม่ได้เอาแบตเตอรี่ออกไปเสียก่อน? โดยเฉพาะรถที่ตกน้ำลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจนั่น
  •            ทีนี้? เมื่อปล่อยให้วงจรอุปกรณ์หลายอย่างแห้งแล้ว? ก็ปลดฟิวส์ของวงจรที่มั่นใจได้ออกเสียก่อน? เช่นวงจรถุงลมนิรภัยเป็นต้น
  •           ตรวจรถยนต์ที่เพิ่งพ้นน้ำของคุณให้ถี่ถ้วน? ถ้าพบน้ำในที่เขี่ยบุหรี่? ก็เชื่อเอาไว้ก่อนว่า? น้ำคงเข้าไปถึงระบบไฟฟ้าบนหน้าปัด? เช่น? มาตรมัดต่าง ๆ และสวิตช์ได้??? และดดยที่วงจรเหล่านี้มักจะทำเป้นแผงจึงสามารถทำความสะอาดและแห้งเอามาใช้ ได้ใหม่อีก? แต่ตามที่ปรากฏกันมาก็คือคุณมักจะพบปัญหาของวงจรในการใช้งานต่อไปภายหน้า? และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จมน้ำ     หรือเปียกน้ำนี้? อายุการใช้งานหลังจากนั้นจะค่อนไปทางข้างสั้น
  •           อย่าไปหวังอะไรให้มากนักเลยครับ? นอกเสียจากจะเปลี่ยนกันใหม่หมด? แพงอีกใช่ไหมล่ะ
  •           เกียร์อัตโนมัติกับทอรืกคอนเวิร์ตเตอร์? ต้องได้รับการล้างเอาน้ำมั่นและน้ำออกให้หมด? เช่นเดียวกับเฟืองท้าย? หรือส่วนมากในตอนนี้จะไปอยู่ข้างหน้าแล้ว? กับพวกทรานสเฟอร์ของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ? ด้วยว่าทั้งสองอย่างนี้มีรูระบายอากาศน้ำจึงเข้าไปทางนั้นได้? ก็ต้องทำอย่างเดียวกับเกียร์อัตโนมัติ
  •           เพลาขับที่ยางหุ้มเพลาขาด? น้ำจะเข้าไปนำเอาจารบีออกไป? ต้องอัดจารบีใหม่และเปลี่ยนยางหุ้มเพลาด้วย
  •           อีกอย่างหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้? เมื่อตรวจเกี่ยวกับระบบส่งกำลังนี่คือ ลูกปืนล้อทั้งหน้าและหลังที่มีอยู่ใน รถทั่วไป?? ต้องนำออกมาล้างอัดจารบีใหม่? ใส่กลับคืนที่ด้วยการปรับใหม่ให้แน่นตามลำดับไม่แน่นเกินไปจนล้อหมุนฝืด
  •           ล้างและเปลี่ยนน้ำระบายความร้อน? เอาโคลนเลนที่ติดอยู่ตามรังผึ้งหม้อน้ำออกให้หมด? ใส่น้ำยาลดความร้อน? หล่อลื่น? และรักษาโลหะลงผสมในน้ำระบายความร้อนใหม่อีกครั้งให้ได้ตามลำดับที่กำหนด
  •           การกำหนดอัตราส่วนผสมน้ำยากับน้ำในระบบระบายความร้อนนี้ที่กระป๋องหรือขวด น้ำยาจะมีบอกชัดเจน? ถ้าเป็นฟอร์ดก็จะมีป้ายบอกไว้ที่ระบบหรือหม้อน้ำสำรอง? โดยให้ใช้น้ำยาของฟอร์ด? 50 %? กับน้ำสะอาด? 50 %?? เป็นต้น
  •           การใช้น้ำยาสีเขียว? ราคาประหยัด? ใส่เพียงกระป๋องเดียวหกเจ็หดสิบบาทนั่น? ช่วยอะไรทางด้านการลดความร้อนและการสึกกร่อนของอะลูมิเนียมผสมในเครื่องยนต์ ไม่ได้หรอกครับ? เรื่องแบบนี้ไม่ควรประหยัดเพราะจะเป็นการเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย? เมื่อถึงเวลาต้องซ่อมเครื่องยนต์ด้วยค่าใช้จ่ายหลาย ๆ หมื่นบาท
  •            อย่างน้อยก็ต้องล้างทำความสะอาดภายนอกของระบบห้ามล้อเปลี่ยนน้ำมันเบรก? และหากแช่น้ำอยู่นานก็อาจจะต้องถึงขนาดซ่อมใหญ่เบรกทั้งระบบกันเลยก็ว่าได้? ตรงนี้ไม่ต้องถึงรถจมน้ำทั้งคันหรอกครับ? แค่แช่อยู่ทั้งวันลึกท่วมล้อเท่านั้นก็ได้เรื่องแล้ว
  •           รถกระบะหนึ่งตันที่ชอบลุยน้ำลึก? เพราะเห็นว่าเครื่องยนต์ดีเซล ไม่มีระบบไฟฟ้าจุดระเบิด? ไม่ต้องกลัวน้ำเข้าระบบไฟฟ้าแล้วเครื่องดับนั้น? ถ้าน้ำเข้าเครื่องก็เสร็จเหมือนกัน? หนักกว่ารถเบนซินด้วยซ้ำไป??? และเมื่อลุยน้ำลึกมากบ่อยเข้า? น้ำก็เข้าไปในระบบห้ามล้อจนเกิดนิม? และน้ำมันเบรกเน่าเสียไปจนห้ามล้อไม่อยู่ได้นะครับ? อย่าทำเป็นล่นไป
  •           อันตรายไม่ได้น้อยก่าเขาอื่นหรอก? ถึงจะขับพ้นตรงที่น้ำท่วมได้ด้วยความเร็วจนน้ำกระจายเป็นปีกไปสาดรถอื่นเขา ได้สนุกดีนั่นน่ะ??? เผลอ ๆ เป็นไข้สารตะกั่วเอาแถวนั้นเลยก็ยังเคยมี
  •           ของที่จมน้ำแล้วอาจจะต้องถึงกับเปลี่ยนเลยทีเดียวก็คือสตาร์ตเตอร์? เพราะน้ำเข้าไปนี่ฝรั่งบอกว่าซ่อมยากเสียเวลา? แต่บ้านเราคงเอาไปให้ช่างไฟฟ้าตามร้านทั่วไปล้างทำความสะอาด? ตรวจเช็กและปรับสภาพใช้ใหม่ได้? ไม่ต้องกับถึงกับต้องเปลี่ยนใหม่? แต่ต้องเอาออกมาทำแน่นอนถ้าจมน้ำครับ
  •           มาถึงตรงนี้? ที่หนักอีกอย่างคงจะเป็นพวกมอเตอร์ไฟฟ้าของกระจกไฟฟ้า? ที่นั่งปรับไฟฟ้า? และเสาอากาศไฟฟ้า? ตรงนี้อาจถึงกับต้องเปลี่ยนเพราะซ่อมยากไปก็ได้ครับ? หลายสตางค์อยู่เหมือนกัน? เพราะฉนั้นอย่าเที่ยวได้ขับรถลงไปแช่น้ำเล่น? ไม่สนุกเลยเมื่อขึ้นมาได้
  •           หมดพวกราคาแพงและเป้นปัญหาได้มาก? ก็ถึงส่วนที่มีปัญหาได้ในระดับรองลงมา? จะเปลี่ยนหรือซ่อมก็ต้องตรวจสภาพกันดูทุกส่วน? อย่าวางใจละเว้นละเป็นดี
  •           เริ่มที่แผ่นคลัตช์? จานคลัตช์? ลูกปืนคลัตช์? บางทีพอน้ำแห้งอาจจะทำท่าว่าใช้งานได้เหมือนเดิม? ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เท่าไรนัก? ใช้ไปไม่เท่าไรมักจะมีเสียง? และเริ่มแสดงอาการของปัญหาเกียร์เข้ายากขึ้นมาให้พบได้เสมอ
  •           แร็กพวงมาลัย? โดยเฉพาะพวกของพาวเวอร์ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งทที่ต้องตรวจ เช็ก? แม้จะเป็นความเป็นไปได้ที่จะเสียหายเป็นรองของที่บอกมาแล้วในตอนต้น? ก็มีโอกาสเสียหายได้? รวมทั้งช็กอัพตัวยาวตัวสั้นที่ใช้มานานก่อนหน้ารถจมน้ำ? ชีลกันน้ำหลวมแล้ว? น้ำเข้าได้นะครับ? ควรเปลี่ยนถ้าพบความผิดปกติหรือไม่น่าไว้วางใจ
  •            รีเลย์? เซ็นเซอร์ต่าง ๆ สวิตช์ไฟ? และกล่องฟิวส์ก็ต้องได้รับการตรวจเช็กให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรเสียหาย?? ยังทำงานได้ดี? โดยเฉพาะกล่องฟิวส์ต้องลงดินได้ดีเช่นเดิมถ้าเกิดมีการจมน้ำอยู่ระยะหนึ่ง? เอาแค่วันเดียวหรือหลายชั่วโมงก็ไม่ดีแล้วนะครับ
  •            จานจ่ายนี่ก็ตัวดี? ถ้าเป็นแบบใช้ทองขาวยังไม่เท่าไร?? แต่เบรกทรานซิสเตอร์ขึ้นมานี่? บางทีถึงต้องเปลี่ยนกันเลยทีเดียว? เพราะต่อไปมักทำให้เครื่องยนต์สั่นโดยไม่ทันนึกว่ามาจากตัวนี้ได้
  •            แผงวงจรที่ผมว่าไว้ตอนแรกนั้น? พอจะล้างได้ด้วยน้ำซึ่งทำการ DEIONIZED?? จากนั้นก็เอาไปอบที่ความร้อน? 120? องศาฟาเรนไฮต์สัก? 30? นาที? แล้วพ่นด้วยสเปรย์แล็กเกอร์เคลียร์ก่อนจะนำมาใช้ใหม่? ซึ่งก็ยังไม่แน่นักว่าจะทนทานต่อไปได้สักเพียงไร? โชคดีก็รอดตัว
  •            คลัตช์ของแอร์คอมเพรสเซอร์ควรได้รับการตรวจเช็กว่าใช้การได้หรือไม่
  •            ดวงไฟฟ้าหน้ารถก็อย่ามองข้าม? น้ำอาจจะเข้าไปค้างอยู่? เอาออกเสียให้หมดก่อนที่จานจ่ายจะกลับบ้านเก่าเพราะน้ำทำเหตุ

ความปราถนาดีจาก บริษัท TQM Insurance Broker

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

โจรกรรมรถยนต์ ..ภัยร้ายใกล้ตัวเมื่อจอดรถหนีน้ำท่วม



กลาย เป็นมหาวิปโยคของคนไทยจำนวนมากไปแล้วกับเหตุการณ์น้ำท่วม ที่ทำให้หลายคนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ ต้องคอยเฝ้าระวังน้ำและยังต้องขนข้าวของที่สำคัญให้พื้นจากพื้นที่เสี่ยง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็ไม่พ้นรถยนต์ปัจจัยที่ 5 ของชีวิตการเดินทางของคนสมัยนี้
แนว คิดที่ว่าเอารถไปฝากจอดตามสถานที่ต่างๆ เพื่อหนีภัยน้ำท่วมที่อาจจะเกิดขึ้น ถือเป็นคำแนะนำหนึ่งที่ดี และเราหลายคนก็มักจะพูดต่อๆ กัน ทว่าการจอดรถทิ้งแบบรีบร้อนด้วยใจที่ว้าวุ้นเกี่ยวกับน้ำท่วมนั้นก็อาจจะนำ มาซึ่งความสูญเสียที่อาจจะไม่คาดคิด โดยเฉพาะเมื่อเรานำรถหนีน้ำไปจอดตามสถานที่ต่างๆ เป็นระยะเวลานานๆ ก็อาจจะนำมาสู่การตกเป็นเหยื่อของการโจรกรรมรถยนต์ ที่คุณอาจจะเจอแจ็คพอทรับเคราะห์ซ้ำก็เป็นไปได้

การ จอดรถยนต์ในลักษณะนี้ เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ ไม่ว่าจะกับการเกิดภัยพิบัติหรือความสะดวกสบายในการเดินทาง ที่เรามักจะเรียกกันว่า "การจอดรถระยะยาว" ทว่า การจอดรถแบบนี้ย่อมมีความเสี่ยงยิ่งเรื่องการโจรกรรมรถยนต์นั้นอยู่ใกล้นิดเดียว แต่อย่างกังวลจนวิตกไป เพราะสามารถป้องกันได้
1.ศึกษาเรื่องที่จอดให้ดี ก่อน ที่คุณจะไปจอดรถที่ใดก็ ข้อแรกที่สำคัญคงไม่พ้นการศึกษารายละเอียด ของลักษณะที่จอด เช่นเป็นลักษณะ อย่างไร มีการคุ้มครองรถเราจากระบบรักษาความปลอดภัยหรือไม่ ล้วนเป็นการป้องกันภัยที่ดีข้อหนึ่ง ตามปกติแล้ว ลานจอดรถะยะยาวนั้นมักจะเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ไม่ใช่อาคารทึบ และมักต้องมีการตรวจตราจากหน่วยรักษาความปลอดภัยเป็นประจำ
2.เก็บของมีค่าออกจากรถ เมื่อเลือกสถานที่ได้แล้ว ก่อนนำรถไปจอด ให้เก็บของมีค่าต่างๆออกจากรถให้เกลี้ยง โดยเฉพาะสำเนาทะเบียนรถ และ เอกสารประกันภัยรถยนต์นั้น ถือ เป็นเรื่องสำคัญมากในการช่วยป้องกันกรณีรถหาย เพราะตามปกติ หากคุณต้องขับผ่านด่านตรวจของทางเจ้าหน้าที่ สิ่งที่เขาขอดูคือสำเนาทะเบียนรถ และในกรณีถ้ารถคุณหายไปจริงๆ สำเนาทะเบียนและเล่มประกันนี่แหละที่จะช่วยอ้างสิทธิในรถของคุณได้

3.จอดรถในจุดสนใจ เมื่อ จัดการเรื่องของมีค่าเรียบร้อยก็ได้เวลานำรถไปจอด ในการจอดรถระยะยาวนั้น ให้จำไว้ว่า ควรจอดรถในจุดที่เป็นที่สนใจ หรือได้รับการตรวจตราบ่อย ยิ่งเป็นที่ ซึ่งคนผ่านไปมาก็ยิ่งดี เช่นกัน พยายามหลีกเลี่ยงการจอดในพื้นที่ห่างไกลจุดอับต่างๆ และหากคุณเทพพอจะสังเกตเห็นกล้องวงจรปิดในบริเวณใกล้ๆ ได้นั้นก็ยิ่งดี เพราะเหมือนมียาวเฝ้า 24 ช.ม. ทำให้มั่นใจได้มากยิ่งขึ้น
4.ดึงเบรคมือล็อคเกียร์-พวงมาลัย ช่วยประวิงเวลาโจร หลัง จากได้ที่จอดรถตามที่คิดว่าสมควรแล้ว เราก็ต้องมีทริคเล็กน้อยในการจอดรถ ตามปกติแล้ว ปัจจุบันโดยเฉพาะรถเกียร์อัตโนมัติ เราหลายคนมักจะไม่ดึงเบรคมือเพราะเกียร์นั้นล็อคเองอยู่แล้ว ทว่า ในการจอดรถระยะยาวนั้น เราอยากให้ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ในการประวิงเวลาผู้ไม่หวังดี ตั้งแต่ดึงเบรคมือ ใส่ระบบป้องกันการขโมยรถยนต์ต่างๆ ที่ติดมาใช้ให้คุ้มค่าใส่เสียให้เรียบร้อย โดยเฉพาะในรถเกียร์ธรรมดานั้น เมื่อดับเครื่องแล้วให้ล็อคเกียร์ โดยการผลักเกียร์ไปตำแหน่งเกียร์ 1 และหลังจากนั้นให้ทำการหมุนพวงมาลัย ซ้ายหรือขวา จนเข้าล็อค ดัง กึ๊ก! ถือเป็นการล็อคจังหวะหมุน ซึ่งตามปกติ ถ้าไม่ใช้กุญแจบิดสตาร์ท พวงมาลัยก็จะไม่ปลดล็อค ก็พอจะช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย

5.ล็อครถ-ตรวจสอบให้ดี เรื่องนี้สำคัญ เมื่อจัดการทุกอย่างแล้ว ก็ได้เวลาจากลา สิ่งสำคัญที่สุดคือ หลายคนมักจะไม่ตรวจสอบล็อครถให้ดี แต่นั่นถือเป็นเรื่องที่เราไม่อาจจะประมาทได้ โดยเฉพาะเมื่อเราจะต้องทิ้งรถไว้ต่างถิ่น หรือที่ๆ เราไม่คุ้นเคย ดังนั้น เมื่อลงจากรถแล้วตรวจสอบให้ดี แน่ใจว่าล็อคแล้ว ใช้มือขยับประตูดู ตรวจสอบสภาวะการทำงาน อย่าดูแค่ไฟกระพริบเท่านั้น
กลับมาหารถบ้าง แม้ข้อแนะนำเราจะช่วยให้รถคุณนั้นสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้ แต่ข้อที่ไม่ควรละเลยอีกเรื่องนั้น ก็คือการแวะเวียนมาตรวจสอบรถบ้าง หากมีโอกาส อย่ามัวสู้กับน้ำจนลืม เพราะ การที่เราทิ้งรถหลายวันนั้น ย่อมเป็นที่สังเกตของมิจฉาชีพ แต่กลับกันถ้าคุณหมั่นมาหยิบจับที่รถ ก็ทำให้โจรไม่กล้า เพราะรู้ว่าเรามาตรวจสอบบ่อยครั้ง
 ทั้ง 6 ข้อ นี้ น่าจะช่วยให้คุณและรถผ่านช่วงเวลาเลวร้ายของมหันตภัยน้ำท่วมนี้ไปได้อย่าง ไม่ยากเย็น เพราะถึงแม้รัฐหรือหน่วยงานต่างๆ จะอนุญาตให้นำรถไปจอดได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่ความเสี่ยงในเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับการนำรถของคุณไปฝากจอดนั้นเขาไม่ได้ รับผิดชอบ ฉะนั้นป้องกันตัวเองจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
ความปราถนาดีจาก บริษัท TQM Insurance Broker

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

ขับรถอย่างไร เมื่อเจอน้ำท่วม

ช่วงนี้ผู้ใช้รถหลายคนอาจหงุดหงิดกับ น้ำท่วมจากฝนที่ตกลงมาแทบจะทุกวัน รวมถึงกังวลว่าจะขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขังสูงได้อย่างไร...วันนี้เราจึง นำข้อแนะนำดี ๆ ในการขับรถเมื่อเจอฝนตกหนัก และน้ำท่วม มาฝากกันค่ะ




1. ปิดแอร์รถยนต์ เมื่อต้องเผชิญกับถนนที่มีน้ำท่วมขัง พึงระลึกไว้เสมอว่าห้ามเปิดแอร์เด็ดขาด เพราะถ้าพัดลมแอร์ทำงานอยู่ มันจะพัดน้ำที่อยู่บนถนนกระจายไปทั่วห้องเครื่องทำให้เครื่องยนต์ดับได้ นอกจากนี้ควรระวังพวกขยะที่ลอยมากับน้ำจะเข้าไม่ติดมอเตอร์พัดลมหรือเกี่ยว ใบพัดเสียหาย ทำให้ระบบระบายความร้อนในเครื่องยนต์พังได้เช่นกัน

2.  กะระดับน้ำคร่าว ๆ กับความสูงของช่วงล่างว่าสามารถขับลุยได้หรือไม่ ถ้าเป็นรถเก๋งทั่วไปสามารถลุยน้ำได้สูงประมาณ 5-10 เซนติเมตร แต่ถ้าน้ำสูงกว่านั้นควรหลบไปใช้เส้นทางอื่นดีกว่าเสี่ยงให้น้ำเข้าท่อไอ เสีย และรถดับกลางทาง

3.  ใช้เกียร์ต่ำ สำหรับเกียร์ธรรมดา ควรใช้ประมาณเกียร์ 2 ส่วนเกียร์ออโต้ก็ใช้เกียร์ L และขับขี่ด้วยความเร็วต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยใช้ความเร็วสม่ำเสมอ เลี้ยงรอบให้นิ่งที่สุดประมาณ 1,500 รอบต่อนาที

4.  อย่าเร่งเครื่อง เพราะกลัวน้ำเข้าเครื่องแล้วเครื่องจะดับ เนื่องจากเป็นความเชื่อที่ผิด จริง ๆ แล้วการเร่งเครื่อง ยิ่งทำให้รถมีความร้อนสูงขึ้น เมื่อเครื่องมีความร้อนสูงขึ้น ใบพัดระบายความร้อนก็จะทำงาน คลื่นน้ำที่ถูกดันไปข้างหน้าก็อาจทะลักกลับมายังห้องเครื่องได้

5.  ลดความเร็วลง เมื่อกำลังจะสวนกับรถอีกคัน เพราะไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคลื่นชนคลื่น ซึ่งน้ำที่ปะทะระหว่างรถของเราและรถที่วิ่งสวนมา อาจทำให้น้ำกระเด็นไปทำอันตรายต่ออุปกรณ์ภายในได้

6.  ไม่ควรดับเครื่องยนต์ทันทีเมื่อถึงที่หมาย ให้จอดทิ้งไว้สักครู่เพื่อให้น้ำที่อาจค้างอยู่ในหม้อพักไอเสียระเหยออกให้หมด

7.  ย้ำเบรกไล่น้ำ สำหรับรถเกียร์ออโต้ ให้ย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำออกจากระบบเบรก ส่วนรถเกียร์ธรรมดา ให้ย้ำคลัตช์ เพื่อป้องกันคลัตช์ลื่น ทั้ง นี้ หากข้ามวันแล้วยังพบอาการเบรกติด ให้ลองสตาร์ทเครื่อง แล้วเข้าเกียร์หนึ่งเดินหน้าไปเล็กน้อย จากนั้นเหยียบเบรกให้แรงที่สุด แล้วทำซ้ำอีกครั้ง แต่เปลี่ยนเป็นเข้าเกียร์ถอยหลัง ทำสลับกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการดังกล่าวจะหายไป แต่ถ้าไม่หายหรือมีอาการผิดสังเกต ก็รีบนำเข้าศูนย์บริการจะดีกว่าจ้า

ความปราถนาดีจาก บริษัท TQM Insurance Broker

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

“รถยนต์ประสบอุทกภัย”บริษัทประกันชดเชยอย่างไร?!




 สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2554 นี้นับเป็นครั้งที่รุนแรงและหนักที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนจนทำให้หลายคนเครียดจัด แต่สิ่งหนึ่งที่จะสามารถช่วยเหลือและบรรเทาความเสียหายได้นั่นก็คือ การประกันภัยที่ได้ทำไว้ให้กับทรัพย์สินต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รถยนต์” ซึ่งหากต้องได้รับความเสียหายจากวิกฤติอุทกภัย ความครอบคลุมของประกันภัยจะชดเชยได้มากน้อยแค่ไหน...?!?
     จันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยรถยนต์ (คปภ.) ให้ความรู้ว่า สำนักงาน คปภ.มีความห่วงใยผู้ประสบอุทกภัยเป็นอย่างยิ่ง จึงเร่งให้บริษัทประกันภัยรถยนต์สำรวจความเสียหายเพื่อจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ ประสบภัยได้ทันทีหลังน้ำลด โดยสถิติความสูญเสียทรัพย์สินด้านการประกันภัยจากความเสียหายสถานการณ์น้ำ ท่วมเบื้องต้นแบ่งเป็นความเสียหายต่อรถยนต์มีจำนวน 818 คัน คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 53,199,744.30 บาท จ่ายเต็มจำนวนเงินที่เอาประกันภัยรถยนต์แล้ว 1,878,388.60 บาท ซ่อมแซมรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่าเงินที่เอาประกันภัยรถยนต์ 5,826,981.08 บาท อย่างไรก็ตามสถานการณ์น้ำท่วมยังไม่คลี่คลาย บริษัทประกันจึงไม่สามารถเข้าไปประเมินความเสียหายได้ทั้งหมด ต้องรอสรุปตัวเลขหลังน้ำลดต่อไป

      ทั้งนี้ ผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่จะได้รับความคุ้มครองจากประกันภัย แบ่งเป็นประเภท การประกันภัยรถยนต์กี่ยวกับบุคคล คือ 1. การประกันชีวิต คุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี (รวมถึงการเสียชีวิตจากภัยน้ำท่วม) 2. การประกันภัยอุบัติเหตุ ส่วนบุคคล คุ้มครองกรณีเสียชีวิตเนื่องจากการจมน้ำหรือถูกน้ำซัดจมหายไป 3. การประกันสุขภาพ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากการเจ็บป่วยจากเหตุการณ์น้ำท่วม สำหรับ การประกันภัยเกี่ยวกับทรัพย์สิน (บ้าน ที่อยู่อาศัย สถานประกอบการ) คือ 1. การประกันภัย คุ้มครองผู้ที่ได้ทำประกันอัคคีภัย และ ’ต้องซื้อภัยคุ้มครองภัยน้ำท่วมเพิ่มเติมไว้“ 2. การประกันความเสี่ยงทรัพย์สิน คุ้มครองผู้ที่ได้ทำประกันภัยความเสียหายทรัพย์สิน ซึ่งให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เอาประกันอันเกิดจากภัยต่าง ๆ รวมถึงน้ำท่วมด้วย 3. การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก คุ้มครองกรณีผู้ประกอบการต้องการปิดกิจการและขาดรายได้จากภัยน้ำท่วมด้วย

      ส่วนการประกันภัยรถยนต์ คือ
1. การประกันภัยรถยนต์ คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นหากเสียหายบางส่วนจะได้รับการชดเชยค่าเสีย หายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยรถยนต์ หากรถยนต์เสียหายจนไม่สามารถซ่อมได้หรือความเสียหายที่มีมูลค่าความเสียหาย ตั้งแต่ร้อยละ 70 ของมูลค่ารถยนต์ บริษัทประกันจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มตามจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ระบุ ไว้
2. การประกันภัยรถยนต์ประเภทอื่น (นอกจากประเภท 1) คุ้มครองสำหรับรถที่ประกันภัยภาคสมัครใจและได้มีการซื้อประกันภัยอุบัติเหตุ ส่วนบุคคลไว้ด้วยก็จะได้รับความคุ้มครองเพิ่มในส่วนนี้ตามจำนวนเงินที่เอา ประกันภัยไว้
3. การประกันภัยรถยนต์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.) คุ้มครองในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บขณะที่ได้รับบาดเจ็บขณะ ที่ขับขี่หรือโดยสารในรถนั้นเบื้องต้นจะได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ ประกันภัยตาม พ.ร.บ.เป็นค่าเสียหายเบื้องต้น กรณีค่ารักษาพยาบาลตามจริงไม่เกิน 15,000 บาท กรณีเสียชีวิตได้รับ 35,000 บาท

      ทั้งนี้ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ให้คำแนะนำแก่ผู้เสียหายที่เป็นเจ้าของรถยนต์ที่ประสบภัยน้ำท่วมว่า ข้อควรปฏิบัติกรณีที่รถยนต์ได้รับความเสียหาย คือหลังจากน้ำลดผู้เป็นเจ้าของรถควรแจ้งความเสียหายต่อบริษัทประกันทราบโดย เร็ว แสดงรายละเอียดของเอกสาร หลักฐาน ที่สำคัญ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แก่บริษัทประกันภัยเพื่อดำเนินการเรียกร้องค่าสิน ไหมทดแทน (ในกรณีที่เอกสารทำการประกันภัยหรือกรมธรรม์ประกันภัยสูญหายขณะน้ำท่วม สามารถประสานสำนักงาน คปภ.จังหวัดได้ทันที) และนำรถเข้าศูนย์โดยรถยกให้เร็วที่สุด

      ที่สำคัญข้อห้ามสำหรับเจ้าของรถเพื่อไม่ให้รถได้รับความเสียหายมากยิ่งขึ้น คือ อย่าสตาร์ตรถยนต์ในทันที ควรเปิดฝากระโปรงรถเพื่อสำรวจให้มั่นใจว่าไม่มีเศษอะไรมาติดอยู่ในตัว เครื่อง รวมถึงตรวจเช็กชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ในตัวถัง พร้อมทั้งสายไฟในบริเวณต่าง ๆ ว่ายังอยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้ หากไม่มั่นใจให้นำรถเข้าศูนย์โดยรถยกให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันความเสียหายที่ไม่คาดคิด และอย่าพ่วงไฟควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีระบบไฟฟ้าลัดวงจรที่จะก่อให้เกิด ความเสียหายกับระบบเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ

      นอกจากนี้ทางสำนักงาน คปภ.ได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านการประกันภัยให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัย ทั่วประเทศ โดยให้บริการรับแจ้งเหตุและให้คำปรึกษาด้านการประกันภัยรวมถึงการประสานกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือเจ้าของรถที่ได้รับความเสียหายในการให้ บริการรถลาก ซ่อมรถยนต์และการตรวจสภาพรถที่ได้รับความเสียหายจากภัยน้ำท่วมฟรี ดังนั้นผู้ประสบภัยที่เป็นเจ้าของรถสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือด้านการประกันภัยรถยนต์ ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ทุกวันจันทร์-ศุกร์ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนประกันภัย 1186

ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างบ่อยครั้งโดยที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่สามารถบรรเทาความเสียหายและความเดือดร้อนทางด้านการเงินได้ด้วยการทำ ประกันภัย แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือก่อนซื้อประกันภัยควรพิจารณาเลือกซื้อกรมธรรม์ ประกันภัยให้เหมาะสมตรงกับความต้องการของตัวเอง รวมทั้งตรวจสอบใบอนุญาตตัวแทนหรือนายหน้าจากนายทะเบียนเท่านั้น ที่สำคัญอย่าลืมตรวจสอบเอกสารการชำระเบี้ยประกันภัยทุกครั้งเพื่อรักษาและคง ไว้ซึ่งประโยชน์ของตัวเอง.

.............................

วิธีดูแลรถหลังประสบภัยน้ำท่วม

      อาจารย์รักชาติ แสงวงศ์ หัวหน้าสาขาวิชาวิศวกรรมยานยนต์และหัวหน้าศูนย์บริการยานยนต์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความรู้ในการดูแลรักษารถยนต์ที่ผ่านการจมน้ำว่า การสำรวจรถยนต์ที่ผ่านการจมน้ำต้องตรวจดูสภาพโดยรวมว่ามีความเสียหายมากน้อย แค่ไหน จากนั้น ควรเปิดฝากระโปรงรถเพื่อปลดขั้วแบตเตอรี่ออกเพื่อตัดระบบการจ่ายไฟ ที่สำคัญไม่ควรสตาร์ตรถ เพื่อลองเครื่องยนต์เนื่องจากระบบกลไกในรถยนต์รุ่นปัจจุบันมีอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์เป็นสมองกล ซึ่งระบบเหล่านี้จมน้ำเพียง 5 นาทีก็เกิดความเสียหายได้ ทั้งนี้หากจมน้ำ 1-2 วัน ระบบดังกล่าวอาจเป็นสนิมทำให้ระบบการทำงานเสียหายมาก และที่สำคัญต้องตรวจดูว่าเครื่องยนต์เสียหายมากน้อยแค่ไหน จากนั้น ให้ทำการเป่าหรือใช้สเปรย์ไล่ความชื้น เพราะในจังหวะที่เราดับเครื่อง กระบอกสูบบางกระบอกยังทำงานอยู่อาจทำให้น้ำเข้าได้ และควรถ่ายน้ำมันทุกชนิดที่อยู่ในรถออกทันที เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก น้ำมันคลัตช์ ฯลฯ เพราะน้ำที่ปนกับน้ำมันจะทำให้เกิดสนิม

      สำหรับรถยนต์ที่ผ่านการจมน้ำมาควรซ่อมแซมหรือขายทิ้ง อาจารย์รักชาติ แนะนำว่าต้องเอารถไปประเมินสภาพก่อนว่ามีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน คุ้มค่าหรือไม่ที่จะนำไปใช้ต่อ โดยปกติค่าซ่อมแซมรถยนต์ที่เสียหายจากการจมน้ำมีมูลค่าต่อคันอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท เพราะทุกอย่างเสียหายหมดเหลือแต่โครงรถกับเครื่องยนต์ ซึ่งต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ส่วนเครื่องยนต์ก็ต้องผ่าดูอีกว่ามีน้ำขังอยู่ข้างในหรือเปล่า ถึงแม้จะเสียเงินซ่อมแล้ว สภาพก็ไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม เพราะมีอุปกรณ์บางตัวที่ติดอยู่กับรถซึ่งไม่สามารถถอดออกมาเปลี่ยนได้ หากต้องการส่งซ่อมควรใช้บริการศูนย์ของรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ หรือส่งซ่อมที่อู่รถที่ได้มาตรฐาน มีผู้เชี่ยวชาญดูแล สำหรับรถยนต์ที่มีประกันภัยรถยนต์ชั้นหนึ่ง บริษัทประกันจะรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด โดยบริษัทจะสำรวจว่ามีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน แต่ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัทประกันด้วย

      ส่วนข้อควรระวังในการซื้อรถยนต์มือสองหลังเกิดเหตุอุทกภัย เพื่อป้องกันการหลอกขายรถยนต์ที่เคยจมน้ำมา คือก่อนตัดสินใจซื้อรถต้องสำรวจดูสภาพโดยรวมก่อน เช่น รถที่ผ่านการจมน้ำเมื่อเปิดประตูเข้าไปจะได้กลิ่นอับ แม้จะซ่อมดีแค่ไหนแต่กลิ่นก็ไม่หาย เพราะน้ำท่วมไม่ใช่น้ำสะอาดต้องใช้เวลานานในการดับกลิ่น และผู้ซื้อควรตรวจสอบระบบจ่ายไฟว่ามีความขัดข้องหรือไม่ แม้จะซ่อมดีแค่ไหน หากรถยนต์ผ่านการจมน้ำมาระบบจะมีข้อบกพร่อง และจุดเด่นที่ต้องสังเกตคือ นอต ที่ใช้ขันเครื่องยนต์ ควรสำรวจดูว่ามีร่องรอยการรื้อหรือเป็นสนิมเพราะผ่านการจมน้ำมาหรือไม่

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ประกันภัยรถยนต์ น้ำท่วม


ประกันภัยรถยนต์ กับความคุ้มครองเมื่อเกิดน้ำท่วม

ประกันประเภทหนึ่งหรือประกันภัยรถยนต์ชั้น 1
        กรณีน้ำเข้ารถ แล้วเครื่องยนต์ไม่เสียหาย ท่านก็สามารถแจ้งเคลมได้ ค่าใช้จ่ายเรื่องการซักพรม ทำความสะอาดภายใน ที่ท่านต้องให้ร้านหรืออู่ทำให้สามารถเบิกบริษัทฯได้ ทั้งนี้หลังจากน้ำลดแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือรีบแจ้งให้บริษัททราบทันที บริษัทฯจะส่งเจ้าหน้าที่สำรวจฯไปพบท่าน เพื่อประเมินความเสียหายให้ หลังจากนั้นท่านก็นำไปซ่อมบำรุงตามระดับความเสียหายต่างๆ หรือถ้าเร่งด่วนจริงๆท่านก็สามารถเข้าอู่ แล้วโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯให้ประสานกับอู่นั้นๆโดยตรงก็ได้
        กรณีเครื่องยนต์เสียหาย ไม่สามารถติดเครื่องได้ บริษัทก็ต้องรับผิดชอบค่าซ่อมในส่วนนี้ให้นะครับ  เพราะฉะนั้นท่านที่มีประกันชั้นหนึ่งอยู่ก็ไม่ต้องกังวลมาก
กรมธรรม์โดยทั่วไป คุ้มครองน้ำท่วมหรือไม่

        สำหรับการทำประกันรถยนต์ภาคสมัครใจนั้น กรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากน้ำท่วม มีเพียงกรมธรรม์ประเภท 1 หรือประกันชั้น 1 เท่านั้น ส่วนประกันประเภท 2, 3, 4, 5 ไม่ได้รับความคุ้มครองเรื่องความเสียหายจากน้ำท่วมรถครับ ดังนั้นหากทำประกันชั้น 1 ไว้ก็อุ่นใจได้ว่า คุ้มครองความเสียหายจากน้ำท่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นประกันชั้น 1 ปกติที่ขายโดยทั่วไป หรือจะเป็นประกันชั้น 1 แบบประหยัดที่มีค่ารับผิดส่วนแรก ที่สมัยนี้กำลังเป็นที่นิยมกัน เช่น ประกันชั้น 1 คุ้มครอง- คุ้มค่า จากกรุงเทพประกันภัย หรือ ประกันชั้น1 one lite ของธนชาติ เป็นต้น

เกณฑ์การพิจารณาค่าสินไหมทดแทนจากน้ำท่วม กรณีเป็นประกันภัยรถยนต์ชั้น 1
        หากท่านทำประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 ไว้และรถเกิดความเสียหายจากน้ำท่วมนั้น สามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ โดยปกติจะต้องพิจาณาจาก ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามจริง แบ่งเป็น

1. เสียหายสิ้นเชิง total loss ใน ที่นี้หมายถึงเสียหายจนไม่อาจซ่อมให้อยู่สภาพเดิมได้ หรือค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 70% ของมูลค่ารถยนต์ ขณะเกิดความเสียหาย เช่นโดยน้ำท่วมทั้งคันหรือ ท่วมเกินคอนโซลหน้า

2. เสียหายแต่ไม่ถึงเสียหายสิ้นเชิง  partial loss ในกรณีนี้ บริษัทรับประกัน จะซ่อมให้จนรถกลับสู่สภาพเดิม ก่อนเกิดความเสียหาย

ขั้นตอนการเคลมประกัน

ในขั้นตอนการเคลมประกันภัยนั้น ถ้าเป็นไปได้ระหว่างน้ำท่วมให้ถ่ายรูปบางส่วนเอาไว้ก่อน และหลังจากน้ำลดแล้ว ให้เราโทรเรียกประกันมาดูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถ โดยเพื่อความสะดวกมากขึ้น อาจจะเรียกประกันนัดเจอยังแที่จะนำเข้าไปซ่อม ก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีซ่อมที่อู่กลางจะค่อนข้างได้รับความสะดวก

เมื่อประกันรับทราบเคสแล้ว ก็จะดำเนินการประเมินมูลค่าความเสียหาย หากรถของคุณเข้าข่ายข้อแรก ก็จะได้รับเงินจากประกัน โดยเงินจะถูกโอนไปยังผู้เอาประกัน ซึ่งบางครั้งคือไฟแนนซ์ ตรงนี้ต้องตรวจสอบให้ดี
สำหรับกรณีที่ได้รับความเสียหายบางส่วนนั้น เมื่อประกันภัยรถยนต์รับทราบความเสียหายได้รับใบเคลมเรียบร้อย รถเราก็จะได้รับการซ่อมแซมตามสมควร โดยเราสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ตามสมควร และเมื่อรถซ่อมเสร็จนำกลับมาใช้ หากพบปัญหา อันอาจจะเกิดจากภัยที่ได้รับมานั้น สามารถเจ้งอู่หรือประกันได้ทันที เพื่อเคลมความเสียหายต่อเนื่อง

ทั้ง นี้การเคลมประกันในกรณีความเสียหายบางส่วนนั้น หากรถคุณไม่ได้มีอาการหนักมา คุณสามารถไปดำเนินการด้วยตัวเอง แล้วเก็บใบเสร็จรอเคลมกับประกันก็ได้ ซึ่งจะได้รับความสะดวกมากกว่ าแต่เอาเป็นว่าถ้าใครกำลังเป็นกังวลกับรถจมน้ำนั้น ก็ไม่ต้องจิตตกไป เพราะงานนี้ประกันเข้าครอบคลุม และเตรียมความพร้อมไว้แล้ว


ประกันภัยรถยนต์ ที่คุ้มครองน้ำท่วม ทางทีคิวเอ็ม มีให้เลือกดังนี้...

>> ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1
>> ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+ (พิเศษ)


วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

แต่งรถลุยน้ำท่วมชั่วคราว อะไรบ้างที่ต้องคำนึง





นสถานการณ์น้องนำมาเยือนช่วงนี้ที่ทำเมืองไทยดังไกลถึงต่าง ประเทศ โดยเฉพาะมหกรรมจอดหนีน้ำที่กลายเป็นความมักง่ายไร้ระเบียบนั้น ทำชาติเราน่าอับอายมาก มีแม้กระทั้งคลิปลงเว็บ Youtube แต่หลายคนก็คงลืมนึกไปว่ารถยนต์นั้นสามารถปรับแต่งได้ และถ้าคุณรู้วิธีมันสามารถยังใช้การได้ จนวินาทีวิกฤติเลยทีเดียว
การแต่งรถนั้นเป็นทางออกได้ดีสำหรับสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องรักสนุกของคนชอบความเร็วเท่านั้น ทว่าเรื่องที่ดูไร้สาระเหล่านี้ยังช่วยให้คุณสามารถฝ่าวิกฤติน้ำท่วมไปด้วย ความรู้ทางเทคนิค ที่อาจจะเปลี่ยนรถธรรมดาๆ 1 คัน ให้สามารถตอบโจทย์ เรื่องลุยได้มากขึ้น
1.ยกสูง ... เมื่อยามปกติ เราหลายคนนั้น อาจจะชอบที่จะโหลดเตี้ยเพื่อให้นั้นมีสมรรถนะการขับขี่ทางเรียบที่ดี แต่เมื่อยามน้ำมาทักทายนั้นการยกสูงย่อมเป็นคำตอบที่ดีกว่าอย่างไม่ต้อง สงสัยเลยแม้แต่น้อย การยกสูงรถนั้นสามารถทำได้มากมายหลากหลายวิธีและ ถ้าคุณอยากจะลองยกสูงชั่วคราวนั้นสามารถทำได้ดังต่อไปนี้
           1.ขันชุด torsion Bar ถ้า รถคุณเก่าหน่อย และพอจะรู้เรื่องช่างแต่ทางที่ดีนั้นเดินทางไปร้านแม็กและช่วงล่างดีกว่า แล้วจัดการให้ช่วยไขชุดทอร์ชั่นบาร์ที่อยู่กับช่วงล่างทางด้านหน้าขึ้นอีก หน่อย รถคุณก็จะมีความสูงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
           2.เสริม Spacer ในกรณีรถ รุ่นใหม่ๆที่ช่วงล่างปีกนกอิสระและรวมถึงช่าวงล่างแบบแม็คเฟอร์สันในรถเก๋ง นั้น อาจจะเลือกเสริมชุด Spacer ชั่วคราว เพื่อเพิ่มความสูงได้อีกเล็กน้อย ค่าใช้จ่ายก็ไม่มากมายนัก แต่งานนี้ขอให้ใช้แค่พอสู้ภัยน้ำท่วมเท่านั้น
           3.เพิ่มความสูงยาง เรื่องง่ายๆอย่างยางนั้น ก็สามารถช่วยคุณฝ่าวิกฤติน้ำท่วมได้ไม่ยากมากมายนัก เพียงแค่เพิ่ม ซีรี่ย์ในส่วนความสูงยาง โดยดูตัวเลขชุดที่ 2 บน ชุดซีรี่ย์ของยาง เช่น 195/50/R 15 ตัวเลขดังกล่าวนั้นจะพูดถึงความสูงของแก้มยาง อาจหายางมือสองมาใส่ชั่วคราวที่มีความสูงเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยคุณมีความสามารถในการลุยน้ำท่วมมากยิ่งขึ้น
2.ดัดแปลงท่อไอเสีย ข้อสำคัญของการลุยน้ำท่วม ประเด็นคือรถยังสามารถไปต่อได้ทุกเมื่อถ้าน้ำไม่เข้าเครื่องยนต์ วึ่งส่วนที่น้ำจะเข้าหลักๆ มี 2 ทางคือ 1ทางท่อไอดีจากส่วนของกรองอากาศและ 2 จากทางท่อไอเสีย ตามปกติแล้วเครื่องยนตืนั้นจะมีแรงดันไอเสียอยู่แล้วเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำ ท่วมเข้าท่อไอเสีย แต่เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่มากขึ้นในการลุยน้ำท่วม การแวะร้านท่อไอเสียเพือต่อท่อไอเสียออกมาชั่วคราวนั้น ก็เป็นเรื่องที่น่าจะพิจารณา แต่ เมื่อน้ำลด ก็อย่าลืมตัดทิ้งด้วยไม่งั้นเดี๋ยวพี่จ่าถามหา
3.กรองอากาศ เวลาลุยน้ำนั้น อย่างที่เรียนไปแล้วในตอนต้นว่า รถของท่านจะเผชิญศึกหน้า 2 ทาง คือ ท่อไอเสียและท่อไอดี ซึ่ง โดยมาก มันก็มาจากชุดกรองอากาศนี่แหละ ตามหลังแล้ว รถทุกคันจะมีท่อหายใจเพื่อดูอากาศเข้าเครื่องยนต์ และถ้าคุณเป็นขาลุยตัวจริงการเพิ่ม snorkel ก็เป็นไอเดียที่ไม่เลว แต่ถ้าเอาแค่ใช้ชั่วคราวนั้น การเปลี่ยนชุดกรองอากาศจากทั่วไปมาคบกรองอากาศแสตนเลสนั้นจะช่วยเพิ่มอัตรา การดูดอากาศเข้าเครื่องยนต์มากขึ้น ทำให้ตอบสนองได้ดียิ่งขึ้นและ ช่วยลดปัญหาเครื่องดับเพรากรองอุดตัน เนื่องจากน้ำท่วมนั้นสามารถทำร้ายกรองผ้าทั่วไปหรือกรองกระดาษที่ใช้ในรถ ยนต์ปัจจุบันหลายรุ่นได้โดยเฉพาะเศษผงที่มากับน้ำนี่ตัวดีเลย
ทั้งนี้ คำแนะนำแต่งรถลุยน้ำท่วมของเรานั้น เป้นคำแนะนำเพื่อให้เพื่อๆนสามารถฝ่าวิกฤติไปได้ชั่วคราวหลายๆอย่างที่เรา แนะนำนั้นไม่ถูกต้องตามกฏของกรมการขนส่งทางบก แต่ในเวลาคับขันเช่นนี้เพื่อความเอาตัวรอดบางทีก้สมควรที่จะต้องแหกกฏบ้าง แต่เมื่อ ทุกอย่างเป็นปกติแล้ว คุณก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้...ความปราถนาดีจาก TQM Insurance Broker

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

หวั่นใจกลัว โดนจี้ เรื่องนี้คุณป้องกันได้


ด้วยเศรษฐกิจบ้านเราที่นับวันมีแต่ค่าครองชีพสูงขึ้น คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้มิจฉาชีพมามากมายหลากรูปแบบ ทั้งมาในคราบคนดี หรือมาในสไตล์เก๋ากึ๊กในคราบคนร้าย ที่พร้อมจะมาจี้ปล้นฉกทรัพย์สินของคุณ ที่แม้เป็นมุขเดิมๆ แต่ก็ได้ผลทุกที

                การจี้ปล้นต้องยอมรับในส่วนหนึ่งว่า มันเกิดจากหตัวที่เป้นต้นเหตุ โดยพาะ การจอดรถในสถานที่เปลี่ยน ไร้ซึ่งผู้คนหรือไม่เป้นที่รู้จักมักเป้นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวต่างได้มากมายและถ้า วันนี้คุณเลี่ยงไม่ได้ ที่จะไปยังสถานที่ต่างๆที่อาจะมีดจรชุกชุม ลองดูสิว่า คำแนะนำเราจะช่วยเพื่อนๆได้ หรือไม่

                1.เลือกจุดจอดรถ ... จำไว้ว่า อะไรก้ตามที่คิด พยายามนึกถึงจุดจอดรถเป็นอย่างแรก ควรเลือกที่จอดรถ ที่ไม่ใช่มุมอับ ลับสายตา และทางที่ดีควรอยู่ในจุดที่มีแสงสว่างส่องถึง พยายามอย่าเลือกที่มืด และถ้าหาที่จอดรถใกล้ยามรักษาความปลอดภัยได้ก็ยิ่งดี  เพราะจะเป็นช่องทางที่สัญของู้ไม่หวังดี ซึ่งบางครั้งคำว่าจี้ปล้น ก้ไม่ได้หมายถึง จะทำกับตัวคุณเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะหมายถึงการทุบกระจกฉกทรัพย์สินในขณะจอดรถด้วย

                2.สำรวจหน่อย จะเป็นไร ... บางครั้งความรู้สึกบอกอะไรเราได้ ถ้าบางครั้ง คุณพบอาการผิดแปลกในความรู้สึกลองเชื่อในมัน เช่นเหมือนมีใครกำลังมองเรา หรือมีคนเดิมตาม หรือหลบอยู่ใกล้ๆ อย่าชะล่าใจ พยายามหาทริคหลีกเลี่ยงหรือเตรียมป้องกันตัว อย่าคิดแค่ช่างมัน  เพราะโดยมากเหตุเหล่านี้ เริ่มต้นจากความชะล่าใจ

                3.เป็นไปได้เหลีกเลี่ยง การใช้ฝากระโปรงท้าย... ฝาท้ายเป็นที่ๆหลายคนใช้เก็บของ แต่ในที่แบบนี้ พยายามหลีกลี่ยงจะดีกว่า เนื่องจากการใช้ฝาท้าย จะเป็นการบังเราจากสายตาของคนรอบข้าง ขณะเดียวกัน หากเกิดการจี้ปล้นจริง มีความเป็นไปได้สูง ที่คุณจะถูกอุ้มขึ้นฝาท้ายไปพร้อมกับรถของคุณ ดังนั้น ควรที่จะหลีกเลี่ยงชั่วคราว แล้วค่อยไปทำกิจที่ฝากระโปรงท้าย เมื่ออยู่ในที่ชุมชน หรือปั้มน้ำมัน

                4.ล๊อครถทันทีที่เข้าสู่ห้องโดยสาร หลายคนชอบชะล่าใจว่าเมื่อขึ้นรถแล้วจะปลอดภัย แต่ความจริงรถไม่ได้ล็อคประตูเองได้ เว้นแต่คุณจะขับเคลื่อนออกไปแล้ว บางคันก็จะล็อคให้เสร็จสรรพอัตโนมัติ แต่ขณะที่รถหยุดนิ่งถ้าคุณต้องนั่งอยู่ในรถคนเดียว ควรจะล็อครถ นี่รวมถึงสาวๆที่ต้องนั่งรอหนุ่มๆ ด้วย เพราะ เราไม่สามารถรู้ได้ว่า นอกรถจะมีคนไม่ประสงค์ดีหรือไม่ ทางที่ดีลิคก่อนจะปลอดภัยกว่า

                5.อย่าหุนหันในที่เปลี่ยว มีหลายคนเคยเจอเรื่องเพียงเพราะความหุนหัน และเราไม่รู้อุบายของโจร ที่อาจสร้างสถานการณ์ ดังนั้นถ้าคุณเกิดเจอเหตุการณ์แปลกๆ หรือดูเหมือนมีความตั้งใจทำให้เกิดอุบัติเหตุในที่เปลี่ยว พยายามตรวจสอบให้แน่ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ  หรืออุบัติเหตุจริงๆ ไม่ใช่ตั้งใจสร้างสถานการณ์ เพราะอาจนำไปสู่เหตุร้ายได้ และทางที่ดีควรรีบแจ้งเหตุกับประกันภัยรถยนต์ ประสานงานกับวิทยุจราจร หรือตำรวจให้เร็วที่สุด

                อย่างไรก็ดี การปฏิบัติทั้ง 5 ข้อที่เราแนะนำ เป็นเพียงการป้องกันสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นบนพื้นฐานความเป็นไปได้ ซึ่งเราเองก็หวังว่ามันจะช่วยเพื่อนๆได้ไม่มากก็น้อย ..

 ปรารถนาดีจาก..TQM Insurance Broker

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

5 คาถาพิชิต..โค้ง ..อย่างไรจึงจะปลอดภัยในการขับขี่


เมื่อพูดถึงการขับขี่รถยนต์แล้ว การเข้าโค้งอาจจะเป็นเรื่องที่ทุกคนเคยทำกันมาด้วยเส้นทางทั้งในเมืองและนอก เมืองที่หลายครั้งคดเคี้ยว แต่ที่เราเห็นประจำคือทุกคนสามารถขับได้ แต่ก็เหมือนหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องราวรถยนต์คือไม่ได้รู้ว่าจริงๆแล้วการ เข้าโค้งทำอย่างไรกันแน่
                มือสาวพวงมาลัยปรับทิศทางของรถไปตามใจ คือพื้นฐานที่เราหลายคนก็รู้กันดี แต่วันนี้ ก่อนขับรถโดยเฉพาะใครที่จะเดินทางไปต่างจังหวัดที่มีโค้งมากมายหลากรูปแบบ ผจญภัย คงจะดีกว่าถ้าจะรู้วิธีปราบโค้งพวกนี้ให้อยู่หมัด
พื้นฐานทางโค้ง
                เมื่อพูดถึงทางโค้งแล้ว เส้นทางที่หักเลี้ยวเหล่านี้ ล้วนมีข้อเสียมากกว่าข้อดี ในการขับขี่ เพราะ ในขณะที่เราบิดพวงมาลัย ให้ล้อเลี้ยว ก็เป็นจังหวะที่ระบบช่วงล่างจะต้องให้ตัวตาม ทำให้เกิดการโยน ที่เราสามารถรู้สึกได้ถึงแรงเหวี่ยง ยิ่งหักมาก เราก็ยิ่งเจอแรงเหวี่ยงเยอะ และมันไม่ใช่เรื่องทีดีแน่นอน
                หลายคนมักคิดว่าการเข้าโค้งที่ดี ต้องอาศัยการควบคุมพวงมาลัยเท่านั้น แต่ความจริงมันไม่ถูกไปเสียหมด เพราะขณะที่การเร่งความเร็วในโค้งอาจจะทำให้คุณหฤหรรษ์ได้ แต่ความจริงการขับขี่รถยนต์ก็ต้องการแรงบิดจากล้อเพื่อทำให้รถมีความมั่นคง ขึ้น แต่ไม่ได้หมายถึงให้เร่งใส่โค้ง หากเป็นการรักษาระดับคันเร่งเท่านั้น
อ่านให้เป็น
                ป้ายจราจรไม่ได้มีติดไว้เพื่อให้โก้หรูแต่ป้ายเหล่านี้ยังมีความหมาย ที่ทำให้เราสามารถรับรู้สภาพเส้นทางได้เป็นอย่างดี โดยมาก ทางโค้งจะมีป้ายกำกับ และมันติดก่อนโค้งประมาณ 100 เมตร เพื่อให้ผู้ขับขี่ทราบ  และทำการเตรีมตัวก่อนทางโค้ง โดยโค้งที่มีความอันตรายสูง ปัจจุบัน มักจะมีป้าย "โค้งอันตราย" พร้อมกับ ป้ายชี้ทิศทางที่ขอบทางไหล่โค้ง แต่มันก็อาจจะใช้ได้กับเพียงแค่ถนนใหญ่เท่านั้น ซึ่งถ้าคุณขับขี่ ในเส้นทางชนบท การสังเกตราวกันข้างทางจะช่วยบอกได้ ว่าโค้งนั้นจะลึกหรือไม่  เช่นเดียวกับสภาพผิวถนนที่ต้องดูให้ดีว่าเป็นแบบไหน เพรา ถนนต่างกัน อาจจะให้การควบคุมที่ต่างกันด้วย
                อย่างไรก็ดีถ้าไม่มั่นใจในโค้งที่อยู่ตรงหน้าจำไว้ว่า ให้ผ่อนคันเร่งลดความเร็วก่อนเพื่อจะได้ตั้งตัวได้ทัน หากเจอโค้งที่ทำมุมหักเพิ่ม เพื่อความปลอดภัย
เสร็จก่อนโค้ง
                ไม่ว่าคุณขับรถอะไร มาความเร็วเท่าไร สิ่งที่สำคัญสุดคือ พยายามทำทุกอย่างในเรื่องการควบคุมให้เสร็จสิ้นก่อนถึงทางโค้ง ไม่ว่าจะการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ ความเร็ว และการเตรียมพร้อมสำหรับการบังคับทิศทาง ทุกอย่างควรที่จะลงตัวก่อนที่จะเข้าโค้ง แต่แม้เราจะสอนให้เตรียมตัวแต่หากเข้าโค้งแล้วมีการเปลี่ยนแปลงก็สามารถทำ ได้ เช่นเพิ่มมุมหักเลี้ยวผ่อนคันเร่ง แต่ที่ไม่ควรทำคือ "การเบรค" อย่างรุนแรง!! เพราะจะสามารถทำให้รถเสียการทรงตัวได้
 เมื่อฉุกเฉินในโค้ง...
                ข้อเสียที่สำคัญของทางโค้งคือการที่เราไม่สามารถมองเห็นเส้นทางข้างหน้าได้ และมันมักจะเป็นที่มาของอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะมีสิ่งกีดขวางใดๆ มันคือตัวอันตรายที่สุดของเส้นทางเหล่านี้  หลายครั้งที่เราเข้าโค้งแล้วเจอเรื่องฉุกเฉิน แต่นาทีสุดเสียวนั้น เราจำเป็นต้องบังคับรถให้พ้นภัย ซึ่งการแก้ไขรถในทางโค้งให้เริ่มต้นจากการลดความเร็ว แต่อย่าทำแบบเร่งรีบ โดยเฉพาะการกระแทกเบรค เพราะเราคงไม่อยากให้ระบบกันสะเทือนที่โยนตัวอยู่ในโค้งสูญเสียการเกาะถนน โดยสิ้นเชิง
                บางสถานการณ์การลดความเร็วอาจจะไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่งอย่าง โดยเฉพาะช่วงกระชั้นชิด ถ้าเป็นไปได้ ลองมองหาทางออกอื่นๆ เช่นแซงขึ้นไปข้างหน้า อาจจะดีกว่า โดยเฉพาะถ้าคุณมาความเร็วสูง ที่สำคัญคือไม่ว่าจะทำอะไรต้องตัดสินใจให้ดี
รู้จักประมาณตน
                สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการเข้าโค้ง คงไม่พ้นสิ่งที่ใกล้ตัวเราที่สุด และมันคือ "ตัวเรา" เอง จงจำไว้ว่าทุกคนไม่ได้มีความสามารถเท่ากัน พยายามอย่าฝืนตัวเองในการเข้าโค้ง เช่นเดียวกับรถที่ไม่ได้มีความสามารถเท่ากันไปหมดทุกคัน แต่ยังมีปัจจัยสำคัญของระบบกันสะเทือนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  จงจำไว้ว่ารถและคุณมีลิมิต
                เคล็ดลับทั้งหมดเกี่ยวกับทางโค้งนี้ไม่ใช่ทั้งหมดของเรื่องราวการเข้าโค้ง แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่าที่เรานำมากล่าวถึงคือประสบการณ์การขับขี่และการ ใช้เส้นทาง ที่มันจะทำให้รู้จักว่าการเข้าโค้งที่เหมาะสมควรจะเป็นอย่างไร
ด้วยความปรารถนาดีจาก TQM Insurance Broker

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

ประกันภัย...ความลับที่ประกันภัยไม่ยอมบอกคุณ แต่..คุณต้องรู้..


บ่อยครั้งที่ผู้เอาประกันซื้อกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ด้วย ความเชื่อและเครดิต มากกว่าที่จะตั้งใจอ่านสัญญาในกรมธรรม์

บ่อยครั้งที่ผู้เอาประกันซื้อกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ด้วยความเชื่อและเครดิต มากกว่าที่จะตั้งใจอ่านสัญญาในกรมธรรม์ซึ่งเต็มไปด้วยภาษากฏหมายเข้าใจยาก  ด้วยเหตุนี้ความรู้เกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์ที่หลายคนยังไม่ทราบจึงยังคง เป็นปริศนาต่อไป การเข้าใจกรมธรรม์แบบง่ายๆ จึงน่าจะสามารถช่วยให้คุณรักษาสิทธิประโยชน์ของคุณไว้ได้อย่างเต็มที่
10 เรื่อง "ต้อง" รู้เกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์

          1. กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์จะมีผลทันทีที่ผู้เอาประกันชำระเบี้ยประกันภัยรถยนต์ให้ กับบริษัท (รวมไปถึงนายหน้าผู้เอาประกันด้วย) ดังนั้นแม้การซื้อผ่านนายหน้าถ้ามีใบเสร็จรับเงินที่ถูกต้องก็จะปฏิเสธความ รับผิดชอบมิได้

          2. ในกรณีที่รถคุณเสียหายอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถซ่อมกลับคืนได้ บริษัทต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้เอาประกันภัยรถยนต์เต็มทุนประกัน และรถคันนั้นจะตกเป็นทรัพย์สินของบริษัทประกันภัยรถยนต์

          3. ค่าแอกเซ็ปต์ หรือค่าใช้จ่ายส่วนแรกนั้น ในกรณีไม่มีคู่กรณีจะจ่ายเพียง 1,000 บาท เท่านั้น แต่ถ้าคนอื่นขับไปทำให้เกิดความเสียหาย ต้องจ่าย 6,000 บาท

          4. ค่าอะไหล่ที่เกิดจากการซ่อม ผู้เอาประกันภัยรถยนต์สามารถเรียกร้องเป็นเงินตามราคาประเมินเพื่อนำไปจัดหาเองได้ ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าจะได้อะไหล่แท้หรือไม่

          5. หากภายในรถของคุณมีการติดตั้งอุปกรณ์สำหรับระบบก๊าซ NGV หรือ LPG เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องแจ้งให้บริษัททราบ เพราะหากเกิดเหตุและรถคันเอาประกันภัยรถยนต์เป็นฝ่ายผิด ความคุ้มครองที่จะได้รับจากการประกันอาจไม่สมบูรณ์

          6. หากคุณขับรถชนกับรถคู่กรณีที่ไม่มีประกันภัยรถยนต์และรถของท่านเป็น "ฝ่ายถูก" คุณควรตรวจสอบไปที่บริษัทประกันภัยว่าตามรายงานอุบัติเหตุนั้น รถของคุณเป็นฝ่ายถูกจริงเหรอ ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์

          7. การดูแลขนย้ายรถที่เสียหายเนื่องจากอุบัติเหตุเพื่อไปซ่อมที่อู่เป็นหน้าที่ ของบริษัท แม้ว่าจะต้องย้ายรถไปโรงพักหรือที่ใดก็ตามตั้งแต่หลังเกิดเหตุจนกระทั่งซ่อม เสร็จ บริษัทประกันภัยรถยนต์จะต้องรับภาระส่วนนี้ แต่ไม่เกินร้อยละยี่สิบของค่าซ่อม

          8. ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน และคุณไม่แน่ใจว่าเป็นฝ่ายถูกหรือผิด คุณไม่จำเป็นต้องเซ็นรับผิดในใบเครม เพราะไม่ใช่กติกาหรือข้อกฏหมายแต่เป็นหน้าที่ที่บริษัทซึ่งคุณทำประกันจะไป ทำการตกลง
          9. อย่าคิดหนีในกรณีที่ขับรถชนคน ให้ช่วยเหลือคนเจ็บให้เต็มที่ และถ่ายรูปหลักฐานที่เกิดเหตุไว้ต่อสู้คดี เพราะศาลจะพิจารณาจากความมีน้ำใจที่คุณช่วยเหลือผู้อื่น บางทีโทษทางอาญาอาจเหลือแค่การรอลงอาญา และตกลงค่าเสียหายกันตามสมควรแต่ถ้าคุณหนีจะติดคุกทันที

          10. ประกันภัยรถยนต์จะไม่คุ้มครองความเสียหายในขณะที่รถของคุณถูกลากจูง หรือขับรถขณะที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่น้อยกว่า 150mg% หรือขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ เว้นแต่ในกรณีที่ทำประกันประเภทระบุชื่อคนขับ และความเสียหายนั้นเกิดขึ้นในขณะที่คนระบุชื่อเป็นผู้ขับขี่


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:"ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง"

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

ประกันภัยรถยนต์กับการคุ้มครองรถติดก๊าซ











1. การกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ มีปัจจัยที่นำมาใช้ในการ
กำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ ได้แก่ ประเภทรถ ลักษณะการใช้รถ อายุรถยนต์ อายุผู้ขับขี่
(กรณีกรมธรรม์ระบุชื่อผู้ขับขี่) จำนวนเงินเอาประกันภัยรถยนต์ กลุ่มรถยนต์  และอุปกรณ์เพิ่มพิเศษ
(ถ้ามี) ไม่ได้นำปัจจัยในเรื่องการติดตั้งระบบก๊าซ NGV และ LPG  มาใช้ในการกำหนดอัตราเบี้ย
ประกันภัยรถยนต์
2. การติดตั้งระบบก๊าซ  NGVและLPG  สำหรับการประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ
ประเภท 1 จะมีผลให้จำนวนเงินเอาประกันภัยรถยนต์เพิ่มขึ้น  เนื่องจากการประกันภัยประเภท1
จะให้ความคุ้มครอง รวมถึงอุปกรณ์  เครื่องตกแต่ง  หรือสิ่งที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์ ฉะนั้น
ในการกำหนดจำนวนเบี้ยประกันภัยรถยนต์จะต้องคิดรวมมูลค่าของอุปกรณ์ที่ติดตั้งดังกล่าวไว้ในจำนวน
เงินเอาประกันภัยรถยนต์ตัวรถด้วย
3. หากมีการติดตั้งอุปกรณ์สำหรับระบบก๊าซ  NGVและLPG เจ้าของรถมี
หน้าที่ต้องแจ้งให้บริษัทประกันภัยรถยนต์ทราบ เนื่องจากหากเจ้าของรถไม่ได้แจ้งการติดตั้งอุปกรณ์หลัง
จากการรับประกันภัยรถยนต์แล้ว หากเกิดเหตุและรถคันเอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิด ความคุ้มครองที่จะ
ได้รับจากกาประกันภัยรถยนต์อาจไม่สมบูรณ์ ดังนี้
3.1)  หากรถคันเอาประกันภัยรถยนต์เสียหายสิ้นเชิง  บริษัทจะจ่ายค่าสินไหม
ทดแทนตามจำนวนเงินเอาประกันภัยรถยนต์ที่ทำไว้เท่านั้น นั่นคือ  จำนวนเงินที่ยังไม่รวมมูลค่า
อุปกรณ์ของระบบก๊าซที่ติดตั้งเพิ่มเติม
3.2) หากอุปกรณ์ติดตั้งระบบก๊าซดังกล่าวได้รับความเสียหายจะไม่ได้
รับความคุ้มครอง ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการติดตั้งระบบก๊าซดังกล่าวก่อนการรับประกันภัยรถยนต์  ซึ่งโดย
หลักปฏิบัติแล้วถือว่าอุปกรณ์ที่ติดตั้งขึ้นมานี้ เป็นส่วนหนึ่งของตัวรถคันเอาประกันภัยรถยนต์อยู่แล้ว
ในการประกันภัยรถยนต์ประเภท1 เมื่อเกิดเหตุบริษัทประกันภัยรถยนต์จะต้องให้ความคุ้มครองตามเงื่อนไข
กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อบุคคลภายนอก และความเสียหายต่อ
ตัวรถคันเอาประกันภัยรถยนต์ซึ่งรวมถึงความเสียหายและสูญหายของอุปกรณ์ที่ติดตั้งเพิ่มเติมนี้ด้วย

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

กรมธรรม์ พ.ร.บ. รถ แถบสามมิติ


สมาคมประกันวินาศภัย โดยความร่วมมือจากบริษัทผู้รับประกันภัยรถยนต์ ได้ร่วมกันจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับรูปแบบใหม่ขึ้นในรูปแบบ เดียวกัน เพื่อสะดวกต่อการใช้งาน โดยการจัดพิมพ์หน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ พ.ร.บ. โดยใช้กระดาษที่มีเอกลักษณ์พิเศษป้องกันการปลอมแปลง มีแถบโฮโลแกรม (Hologram Strip) ตราสัญลักษณ์และข้อความสมาคมประกันวินาศภัย ขนาดกว้าง 6 มิลลิเมตร ตามแนวยาวของกระดาษ ซึ่งจะใช้เต็มระบบทุกบริษัทตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป
ดังนั้น เพื่อเป็นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทั่วประเทศรู้จักกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์รูป แบบใหม่นี้ พร้อมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจในการทำประกันภัยรถยนต์ และตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ด้วยตนเอง เพื่อให้มีความมั่นใจว่าได้รับความคุ้มครองจากการประกันภัยอย่างแน่นอน สมาคมประกันวินาศภัย จึงได้จัดแผนการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ได้แก่ โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ โปสเตอร์ แผ่นพับ ป้ายแบนเนอร์ และสื่อดิจิตอล ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2554 โดยมีข้อความที่ใช้ในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ในครั้งนี้ คือ เช็ก.. ใช่.. ชัวร์..
เช็ก..  กรมธรรม์ พ.ร.บ.รถ รูปแบบใหม่
นวัตกรรมใหม่ของวงการประกันภัย ในการพิมพ์ (ตาราง) กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ หรือ พ.ร.บ.รถ รูปแบบใหม่ โดยพิมพ์ในกระดาษที่ติดแถบสามมิติ (โฮโลแกรม) มีความชัดเจนและง่ายต่อการตรวจสอบ เพื่อความมั่นใจ เพียงคุณ เช็กง่ายๆ ด้วยสายตา
ใช่.. แถบสามมิติ
กรมธรรม์ พ.ร.บ.รถแถบสามมิติรูปแบบใหม่นี้ ใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับการพิมพ์ธนบัตร พิมพ์หน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ด้วยกระดาษที่มีเอกลักษณ์พิเศษป้องกันการ ปลอมแปลง มีแถบโฮโลแกรม (Hologram Strip) ตราสัญลักษณ์และข้อความสมาคมประกันวินาศภัย ทางด้านซ้ายของตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ขนาดกว้าง 6 มิลลิเมตร ตามแนวยาวของกระดาษ
ชัวร์.. ความคุ้มครองตามกฎหมาย
คุณจึงมั่นใจ และอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ซื้อหรือต่ออายุ พ.ร.บ.รถ การเลือกซื้อประกันภัย ควรซื้อผ่านตัวแทน-นายหน้าประกันวินาศภัยที่มีใบอนุญาตเท่านั้น
กรมธรรม์ พ.ร.บ. รถ แถบสามมิติใหม่ เช็กง่าย ด้วยสายตา พร้อมให้คุณเช็ก ใช่ ชัวร์ ทั่วประเทศตั้งแต่กรกฎาคมนี้ เป็นต้นไป