คปภ.ลงทุนว่าจ้างทีดีอาร์ไอ ศึกษาประกันภัยภาคบังคับ หวังหาช่องขยายความคุ้มครองผู้เอาประกัน รองรับ AEC ยืนยันยังคงเก็บเบี้ยประกันภัยเท่าเดิม โดยรถเก๋งจ่าย 600 บาทมอเตอร์ไซด์ 300 บาท สมาคมประกันวินาศภัย แจงละเอียดยิบ เหตุปัจจุบัน อาศัยเก็บเบี้ยสูงรถยนต์ชดเชยเบี้ยต่ำมอเตอร์ไซด์ เผยคาร์เรโชรถยนต์พุ่งสูงปรี๊ด ติดลบแล้วกว่า 3% หวั่นหากเพิ่มความคุ้มครองไม่ปรับเบี้ยให้สอดคล้องความเป็นจริง บริษัทประกันคงไม่สามารถรับได้
จากการที่สำงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้มีนโยบายที่จะให้มีการขยายความคุ้มครองความเสียหายทั้งต่อชีวิตร่างกาย รวมไปถึงทรัพย์สิน โดยได้มีการร่วมมือกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เพื่อให้มีการศึกษาการพัฒนาระบบประกันภัยภาคบังคับใหม่นั้น
ล่าสุดจากการเปิดเผยของแหล่งข่าวระดับสูงในคปภ. เปิดเผยว่า ทางเลขาธิการคปภ. มีความต้องการให้เพิ่มความคุ้มครองเบี้ยประกันมากขึ้น โดยยังคงคิดเบี้ยประกันภัยภาคบังคับ ในส่วนของรถยนต์นั่งที่ 600 บาท และรถมอเตอร์ไซด์ที่ 300 บาท คงเดิม ทั้งนี้แม้การศึกษาการพัฒนาระบบประกันภัยภาคบังคับ จะยังไม่มีข้อสรุปจากทีดีอาร์ไอออกมาอย่างไร แต่ก็คาดว่า จะมีการคงอัตราเบี้ยประกันเอาไว้ที่อัตราเดิม
อย่างไรก็ดี ในมุมมองของผู้ประกอบการประกันภัยส่วนใหญ่ ยังมองว่า การเพิ่มความคุ้มครองยังมีปัญหาและอุปสรรคหลายด้าน เนื่องจากการคิดเบี้ยประกันภัยภาคบังคับในเวลานี้ ยังมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงค่อนข้างมาก
รวมทั้งในอดีตที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ที่ผ่านมา ทางบริษัทประกัน ก็ได้มีการเพิ่มความคุ้มครองไปแล้ว จากกรณีเสียชีวิต ที่เดิมจ่าย 100,000 บาท/ราย ก็เพิ่มเป็น 200,000 บาท/ราย รวมทั้งจะได้รับค่าชดเชยกรณีพักรักษาตัวอีก 200 บาท/วัน ภายในกรอบระยะเวลา 20 วัน
นอกจากนี้ ในปัจจุบัน อัตราเบี้ยพ.ร.บ. ก็ไม่อยู่ในสภาพคุ้มทุนเหมือนกับในอดีต โดยเฉพาะรถเก๋งในอดีตเมื่อหักค่าใช้จ่ายออกไปแล้ว ก็มีเบี้ยเหลือมาตลอด สามารถนำปุ้มผลขาดทุนจากรถยนต์ประเภทอื่น หรือรถจักรยานยนต์ได้ แต่มาถึงปีนี้ จะเห็นได้ชัดว่า เบี้ยส่วนเกินที่เป็นรายได้จากการทำพ.ร.บ.รถเก๋ง เริ่มประสบผลขาดทุนแล้วประมาณ
3%
เพราะฉะนั้น นั่นก็เท่ากับว่า การประกันภาคบังคับ ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เริ่มมีสัญญาณว่า บริษัทที่รับประกันจะประสบผลขาดทุนทั้งสองด้าน ซึ่งความคุ้ม ครองใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามา ขณะที่เบี้ยเท่าเดิมทำให้ค่าสินไหมขยับขึ้นมาก เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายอีกประมาณ 40-50% ทั้งค่าคอมมิชชั่นและค่าใช้จ่ายใน การดำเนินธุรกิจและเงินสมทบที่ต้องนำส่งเข้าบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ปีละ 12.5% ของเบี้ยประกัน ภัยพ.ร.บ.ทำให้ประกันภัยพ.ร.บ.เริ่มติดลบ
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปัญหาในเรื่องการรับประกันภัยภาคบังคับ แม้ว่าจะมีวอลลูมใหญ่ แต่ภาระต้นทุนก็เริ่มสูงขึ้นมาโดยตลอด โดยเฉพาะค่าสินไหมส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับค่ารักษาพยาบาลและการเสียชีวิตโดยค่ารักษาพยาบาลมีการปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันจำนวนปริมาณ อุบัติเหตุ ก็พุ่งสูงขึ้นมากเช่นกัน ซึ่งจากข้อมูลที่เราได้รับทราบมา ประเทศ ไทยถือว่ามีจำนวนอุบัติเหตุทางรถ ยนต์สูงที่สุดในเอเชีย” แหล่งข่าวในวงการประกันภัยกล่าวกับ “ตลาดวิเคราะห์”
พร้อมกับเสริมอีกว่า ถ้าหากมีการเพิ่มความคุ้มครองโดยตรึงเบี้ยเอาไว้เท่าเดิม จะส่งผลทำให้ผู้ประกอบการประกันภัยหลายแห่งต้องประสบปัญหาขาดทุนแน่
นอกจากนี้หากจะมีการลดการส่งเงินสมทบให้บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัย ก็จะทำให้เกิดปัญหาในการบริหารที่อาจจะทำให้ผู้เอาประกันหรือประชาชน ที่อาจจะไม่ได้รับความสะดวกในการเยียวยารักษา ซึ่งสุดท้ายก็คงต้องขึ้นเบี้ยประกันอยู่ดี
จากสถิติของสำนักงานคปภ.พบว่าหลังจากเพิ่มความคุ้มครองเมื่อปี 2553 อัตราค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) เพิ่ม ขึ้นตลอดจากระดับ 40% ในปี 2551-2552 เพิ่มเป็น 60.21% ในปี 2553, 52.25% ใน ปี 2554 และ 51.77% ในปี 2555 ขณะที่ ในช่วง 3 เดือนแรกปี 2556 ยังพุ่งสูงระดับ 57.15% เทียบกับในอดีตอยู่ระดับ 30% ปลาย ๆ หากรวมกับค่าใช้จ่าย 40-50% ทำให้อัตรารายจ่ายรวม (คอมไบน์ เรโช) เกิน 100% โดยในปี 2555 ธุรกิจประกันภัยมีเบี้ยประกัน พ.ร.บ. 13,185 ล้านบาท
มีรายการข้อมูลการประสบอุบัติเหตุอีกด้านหนึ่ง เปิดเผยว่า มีผู้เสียชีวิตอยู่ในอัตราสูงสุดที่16,000 ราย ขณะที่ผู้รับบาดเจ็บก็มากเป็นประวัติการณ์ประมาณ 400,000-500,000 ราย ซึ่งคิดเป็นเงินสินไหมที่จะต้องจ่ายอยู่ในอัตราที่สูงมาโดยตลอด แม้ว่าในขณะนี้ จะไม่มีการขึ้นเบี้ยประกัน แต่โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล ก็มีการปรับขึ้นราคาค่ารักษาล่วงหน้าไปแล้ว
จากการที่สำงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้มีนโยบายที่จะให้มีการขยายความคุ้มครองความเสียหายทั้งต่อชีวิตร่างกาย รวมไปถึงทรัพย์สิน โดยได้มีการร่วมมือกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เพื่อให้มีการศึกษาการพัฒนาระบบประกันภัยภาคบังคับใหม่นั้น
ล่าสุดจากการเปิดเผยของแหล่งข่าวระดับสูงในคปภ. เปิดเผยว่า ทางเลขาธิการคปภ. มีความต้องการให้เพิ่มความคุ้มครองเบี้ยประกันมากขึ้น โดยยังคงคิดเบี้ยประกันภัยภาคบังคับ ในส่วนของรถยนต์นั่งที่ 600 บาท และรถมอเตอร์ไซด์ที่ 300 บาท คงเดิม ทั้งนี้แม้การศึกษาการพัฒนาระบบประกันภัยภาคบังคับ จะยังไม่มีข้อสรุปจากทีดีอาร์ไอออกมาอย่างไร แต่ก็คาดว่า จะมีการคงอัตราเบี้ยประกันเอาไว้ที่อัตราเดิม
อย่างไรก็ดี ในมุมมองของผู้ประกอบการประกันภัยส่วนใหญ่ ยังมองว่า การเพิ่มความคุ้มครองยังมีปัญหาและอุปสรรคหลายด้าน เนื่องจากการคิดเบี้ยประกันภัยภาคบังคับในเวลานี้ ยังมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงค่อนข้างมาก
รวมทั้งในอดีตที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ที่ผ่านมา ทางบริษัทประกัน ก็ได้มีการเพิ่มความคุ้มครองไปแล้ว จากกรณีเสียชีวิต ที่เดิมจ่าย 100,000 บาท/ราย ก็เพิ่มเป็น 200,000 บาท/ราย รวมทั้งจะได้รับค่าชดเชยกรณีพักรักษาตัวอีก 200 บาท/วัน ภายในกรอบระยะเวลา 20 วัน
นอกจากนี้ ในปัจจุบัน อัตราเบี้ยพ.ร.บ. ก็ไม่อยู่ในสภาพคุ้มทุนเหมือนกับในอดีต โดยเฉพาะรถเก๋งในอดีตเมื่อหักค่าใช้จ่ายออกไปแล้ว ก็มีเบี้ยเหลือมาตลอด สามารถนำปุ้มผลขาดทุนจากรถยนต์ประเภทอื่น หรือรถจักรยานยนต์ได้ แต่มาถึงปีนี้ จะเห็นได้ชัดว่า เบี้ยส่วนเกินที่เป็นรายได้จากการทำพ.ร.บ.รถเก๋ง เริ่มประสบผลขาดทุนแล้วประมาณ
3%
เพราะฉะนั้น นั่นก็เท่ากับว่า การประกันภาคบังคับ ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เริ่มมีสัญญาณว่า บริษัทที่รับประกันจะประสบผลขาดทุนทั้งสองด้าน ซึ่งความคุ้ม ครองใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามา ขณะที่เบี้ยเท่าเดิมทำให้ค่าสินไหมขยับขึ้นมาก เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายอีกประมาณ 40-50% ทั้งค่าคอมมิชชั่นและค่าใช้จ่ายใน การดำเนินธุรกิจและเงินสมทบที่ต้องนำส่งเข้าบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ปีละ 12.5% ของเบี้ยประกัน ภัยพ.ร.บ.ทำให้ประกันภัยพ.ร.บ.เริ่มติดลบ
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปัญหาในเรื่องการรับประกันภัยภาคบังคับ แม้ว่าจะมีวอลลูมใหญ่ แต่ภาระต้นทุนก็เริ่มสูงขึ้นมาโดยตลอด โดยเฉพาะค่าสินไหมส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับค่ารักษาพยาบาลและการเสียชีวิตโดยค่ารักษาพยาบาลมีการปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันจำนวนปริมาณ อุบัติเหตุ ก็พุ่งสูงขึ้นมากเช่นกัน ซึ่งจากข้อมูลที่เราได้รับทราบมา ประเทศ ไทยถือว่ามีจำนวนอุบัติเหตุทางรถ ยนต์สูงที่สุดในเอเชีย” แหล่งข่าวในวงการประกันภัยกล่าวกับ “ตลาดวิเคราะห์”
พร้อมกับเสริมอีกว่า ถ้าหากมีการเพิ่มความคุ้มครองโดยตรึงเบี้ยเอาไว้เท่าเดิม จะส่งผลทำให้ผู้ประกอบการประกันภัยหลายแห่งต้องประสบปัญหาขาดทุนแน่
นอกจากนี้หากจะมีการลดการส่งเงินสมทบให้บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัย ก็จะทำให้เกิดปัญหาในการบริหารที่อาจจะทำให้ผู้เอาประกันหรือประชาชน ที่อาจจะไม่ได้รับความสะดวกในการเยียวยารักษา ซึ่งสุดท้ายก็คงต้องขึ้นเบี้ยประกันอยู่ดี
จากสถิติของสำนักงานคปภ.พบว่าหลังจากเพิ่มความคุ้มครองเมื่อปี 2553 อัตราค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) เพิ่ม ขึ้นตลอดจากระดับ 40% ในปี 2551-2552 เพิ่มเป็น 60.21% ในปี 2553, 52.25% ใน ปี 2554 และ 51.77% ในปี 2555 ขณะที่ ในช่วง 3 เดือนแรกปี 2556 ยังพุ่งสูงระดับ 57.15% เทียบกับในอดีตอยู่ระดับ 30% ปลาย ๆ หากรวมกับค่าใช้จ่าย 40-50% ทำให้อัตรารายจ่ายรวม (คอมไบน์ เรโช) เกิน 100% โดยในปี 2555 ธุรกิจประกันภัยมีเบี้ยประกัน พ.ร.บ. 13,185 ล้านบาท
มีรายการข้อมูลการประสบอุบัติเหตุอีกด้านหนึ่ง เปิดเผยว่า มีผู้เสียชีวิตอยู่ในอัตราสูงสุดที่16,000 ราย ขณะที่ผู้รับบาดเจ็บก็มากเป็นประวัติการณ์ประมาณ 400,000-500,000 ราย ซึ่งคิดเป็นเงินสินไหมที่จะต้องจ่ายอยู่ในอัตราที่สูงมาโดยตลอด แม้ว่าในขณะนี้ จะไม่มีการขึ้นเบี้ยประกัน แต่โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล ก็มีการปรับขึ้นราคาค่ารักษาล่วงหน้าไปแล้ว
ที่ปรึกษา ประกันภัยรถยนต์ ชั้นนำ แหล่งรวมโปรโมชั่น ประกันรถยนต์ ดีๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น