กฎหมายพระราชบัญญัติรถยนต์ เพื่อให้เพื่อน ๆ วัยรุ่น วัยมันส์ ขาซิ่งทั้งหลายได้รับรู้กันทั่วหน้ากันครับ เริ่มด้วยเรื่องของ
การใส่ Part (ชุดแต่งรอบคัน)
รวม
ไปถึงชุดกันชนรอบคันด้วย
ซึ่งกรณีนี้ทางเจ้าหน้าที่จะพิจารณาจากลักษณะของการติดตั้ง
หากติดตั้งในลักษณะที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกา ย หรือจิตใจของผู้อื่น
เช่น ไม่ติดยื่น ติดยาวจนเกินไป และไม่มีส่วนหนึ่ง ส่วนใดเป็นสิ่งแหลมคม
ยื่นออกมาทำร้ายให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ อันนี้ถือว่าไม่ผิดกฎหมายนะครับ
แต่จะผิดกฎหมายก็ต่อเมื่อติดตั้งในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย
หรือจิตใจของผู้อื่น เช่น ติดยื่น ติดยาวจนเกินไป
หรือมีลักษณะเป็นของแหลมคม
จนมีคนเดินผ่านรถไปเฉี่ยวถูกทำร้ายให้ได้รับบาดเจ็บ
ต่อ ไปว่าด้วยเรื่อง
กระจกมองข้างแต่งซิ่งทรงต่าง ๆ
ซึ่งการติดกระจกมองข้างทรงต่าง ๆ ไม่ว่าจะอันเล็ก อันใหญ่
ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย สามารถติดได้ เหตุผลเพราะ พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522
บัญญัติว่า รถยนต์ต้องมีและใช้เครื่องอุปกรณ์สำหรับรถดังต่อไปนี้
- เครื่องมองหลัง เป็นกระจกเงา ติดอยู่ในที่ที่ผู้ขับรถ สามารถมองเห็นภาพการจราจรด้านข้าง และด้านหลังได้ทุกขณะอย่างชัดเจน
เนื่องจากไม่ได้กำหนดจำนวน หรือขนาดของเครื่องมองหลัง ดังนั้นจึงสามารถติดเพิ่มจากเดิมได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
อีก เรื่องกับเทรนด์ฮิต
ไฟตัดหมอก ซึ่งขอบอกเอาไว้เลยนะครับว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าเปิดไฟตัดหมอกพร่ำเพรื่อ ก็มีสิทธิ์โดนจับได้นะครับ มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ไม่ให้เกินงามด้วยเช่นกัน ดังนี้
1. สามารถติดได้ที่หน้ารถข้างละหนึ่งดวงอยู่ในระดับเดียวกัน ใช้ไฟแสงขาว หรือแสงเหลือง
มี
กำลังไฟเท่ากันไม่เกินดวงละ 55 วัตต์
สูงจากพื้นทางราบไม่เกินกว่าระดับโคมไฟแสงฟุ่งไกล (ไฟสูง)
และโคมไฟแสงพุ่งต่ำ (ไฟต่ำ)
ศูนย์รวมแสงต้องอยู่ต่ำกว่าแนวขนานกับพื้นทางราบไม่น้อยกว่า 2 องศา หรือ
0.20 เมตรในระยะ 7.50 เมตร และไม่เฉไปทางขวา
2. ไฟตัดหมอกจะเปิดไฟ
หรือใช้แสงสว่างได้เฉพาะในทางที่จะขับรถผ่าน มีหมอก ควัน
หรือฝุ่นละอองจนเป็นอุปสรรค อันอาจเกิดอันตรายในขณะขับรถ
และเมื่อไม่มีรถอยู่ด้านหน้าหรือสวนมาในระยะของแสงไฟ
ดังนั้น สรุปว่า
1. การติดไฟตัดหมอก มีเงื่อนไขตาม ข้อ 1
2. การใช้ไฟตัดหมอก ต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขตาม ข้อ 2
อีกหนึ่งเรื่องที่วัยรุ่นนั้นขาดไม่ได้เช่นกันนั่นก็คือ
ท่อไอเสีย
รถ
ยนยต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงขนาดท่อไอเสีย
และปลายท่อด้านท้ายมีขนาดใหญ่กว่าปรกติ
ซึ่งจะมีความผิดหรือไม่นั่นบอกได้เลยว่า ไม่ผิดครับ
แต่สำคัญอย่าให้เสียงดังเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ก็พอ
คือ ต้องไม่เกิน 100 เดซิเบล
เรื่องนี้ก็สำคัญ และยังเป็นที่ค้างคาอยู่ในจิตใจของวัยรุ่นมาโดยตลอดกับ
การโหลดเตี้ย-ยกสูง
ว่า
ที่ถูกกฎหมาย และผิดกฎหมายนั้นเป็นยังไง (ทำไมรถโหลดเตี้ยชอบโดนจับ
แต่ทำไมรถ Off Road ยกสูงถึงไม่ค่อยโดนจับ) กล่าวเลย ก็คือ รถโหลดเตี้ย
หรือรถยกสูง ไม่ผิดกฎหมาย เว้นแต่รถโหลดเตี้ย หากโหลดแล้ว มีผลต่อเนื่องไป
ทำให้ส่วนอื่นของรถผิดกฎหมายไปก็จะถือว่ามีความผิดไปด้วย
ซึ่งเห็น
ได้ชัดที่สุดคือ
การโหลดเตี้ยทำให้ระดับของไฟหน้ารถผิดไปจากเดิมตามที่กฎหมายพระราชบัญญัติรถ
ยนต์กำหนดไว้ ได้แก่
ไฟหน้ารถถูกกำหนดให้สูงจากพื้นทางราบถึงจุดศูนย์กลางดวงโคมไม่น้อยกว่า 0.60
ม. แต่ไม่เกิน 1.35 ม.
หากนำรถไปโหลดเตี้ยแล้วลองเอาไม้บรรทัดวัดดูว่าน้อยกว่า 0.60 ม. หรือไม่
หากน้อยกว่าก็ผิดกฎหมายครับ สำหรับรถยกสูงหากไฟสูงเกิน 1.35 ม.
ก็ผิดกฎหมายพระราชบัญญัติรถยนต์เช่นเดียวกันครับ
ถ้าโหลดตามรูปก็ผิดนะคับ อิอิ
เรื่อง สุดท้ายกับสิ่งที่ไม่สามารถยั้งใจวัยรุ่นเอาไว้ได้ นั่นก็คือ
เรื่องของความเร็วสำหรับวัยรุ่นขาซิ่ง และ
การตรวจจับความเร็ว ของทางเจ้าหน้าที่ในลักษณะที่ผิดกฎหมายนั้นก็ได้แก่
1. ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับประเทศไทยนั้นแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน
1.1 ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นกฎกระทรวงออกตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ระบุไว้โดยสรุปดังนี้
รถส่วนบุคคล รถเก๋ง รถแท๊กซี่ รถปิคอัพขนาด 1 ตัน
- ใช้ความเร็วในเขต กทม.หรือ เขตเทศบาลได้ไม่เกิน 80 กม./ชม.
- ใช้ความเร็วนอกเขต กทม.หรือนอกเขตเทศบาล ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 90 กม./ชม.
- ซึ่งความเร็วดังกล่าวข้างต้นรวมถึงบนทางด่วนทุกขั้น (ที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร) ด้วย
1.2
ยกเว้นทางมอเตอร์เวย์ มีกฎหมายระบุไว้เป็นการเฉพาะให้วิ่งได้ไม่เกิน 120
กม./ชม. เหตุที่เป็นเช่นนี้เข้าใจว่า
เพราะมอเตอร์เวย์เป็นทางในระดับพื้นราบ ไม่มีทางโค้ง
หรือจุดที่เกิดอันตรายมาก และส่วนใหญ่เป็นเส้นทางตรง ๆ
ไม่ค่อยมีทางร่วมหรือทางเชื่อม ทำให้รถสามารถใช้ความเร็วได้มากอย่างปลอดภัย
แต่บนทางด่วน มีทางเชื่อม ทางขึ้นลง ทางแยก รวมทั้ง มีทางโค้ง โค้งหักศอก
เป็นทางยกระดับ ทางลาดชัน อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย หากใช้ความเร็วสูง
ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นบ่อย ๆ กรณีรถเกิดอุบัติเหตุแล้ว
ตกลงจากทางด่วนลงมาพื้นราบ
ทำให้คนที่ไม่มรู้เรื่องรู้ราวด้านล่างตายไปหลายกรณี แล้ว
1.3
กรณีการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ส่วนใหญ่จะบังคับใช้
หรือเข้มงวดกับรถที่ขับรถเร็วจนผิดปกติ หรือใกล้จุดที่น่าจะเกิดอันตราย
เช่น แหล่งชุมชน เป็นต้น และจะมีการใช้เครื่องเรดาห์
ในการตรวจจับโดยเครื่องดังกล่าว ได้รับการรับรองความมาตรฐานจากกองทัพอากาศ
เป็นระยะ ๆ เพื่อกันปัญหาร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนทางด่วนจะมีการเรียกตรวจจับที่คว ามเร็วเกินกว่า 110
กม./ชม. โดยผู้ขับขี่จะถูกเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่รถ และออกใบแทน (ใบสั่ง)
ให้รับไป ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษไว้ ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
ส่วนใหญ่พนักงานสอบสวนจะปรับไม่เกิน 500 บาท
แต่จะถูกยึดใบขับขี่ตามมาตรการบันทึกคะแนนไว้ 15 วัน หลังจากนั้น
มารับใบขับขี่คืนได้ที่โรงพักที่เราเสียค่าปรับ
ปกติ การจับกุมผู้ขับขี่รถเร็วกว่า
กม.กำหนดก็ได้ทำเป็นเหตุการณ์ประจำวันอยู่แล้ว แต่บาง
สน.ไม่มีพื้นที่ให้จับเนื่องจากไม่มีระยะทางไกล ๆ
ในการยิงด้วยเครื่องตรวจจับ เฉลี่ยเดือนละประมาณ 1,000 ราย
การขับ
รถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. อาจดูช้าไปบ้างในเขตกรุงเทพฯ
แต่เป็นความเร็วที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะลดความรุนแรงของการบาดเจ็บได้
รวมทั้งเป็นความเร็วที่ประหยัดน้ำมัน ในยุคพลังงานเชื้อเพลิงมีราคาแพง
ส่วนผลต่างของเวลาระหว่าง 90 กม./ชม. กับ 110 กม./ชม.
จะไม่มีความแตกต่างกันมากนัก
เครดิต
ขอขอบคุณ ที่มา หนังสือ The Truck ฉบับ ส.ค.51
ท่าน chp__chp จาก cm-club
จากคุณ : bigkeymouse
PANTIP.com
ที่ทาง #ประกันภัยรถยนต์ นำมาฝากกัน