วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

แผนที่ 3 มิติสำหรับรถไร้คนขับ


Nokia จับมือร่วมกับค่ายรถหรูอย่าง Mercedes-Benz โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือพัฒนาแผนที่สามมิติสำหรับรถไร้คนขับ ฟีเจอร์ของแผนที่จะพัฒนามาจาก Here maps ของโนเกียเอง เสริมประสิทธิภาพไปด้วยบริการบนระบบ  cloud เพื่อให้คนขับรู้ถึงสภาพการจราจรในแบบ real-time , ถนนที่มีปิดการสัญจรและสถานที่แนะนำต่างๆจากพิกัดปัจจุบันของคุณ  เรียกว่ารถไร้คนขับเมื่อเสริมด้วยอินเตอร์เน็ตจะเป็นสิ่งที่พลิกโฉมหน้าวงการรถยนต์อย่างแน่นอน
     แน่นอนว่าแผนที่บนรถไร้คนขับย่อมมีความต้องแต่งต่างจากแผนที่ Here map ที่ใช้กับบนสมาร์ทโฟนของโนเกีย ทั้งเรื่องความกว้างของถนน, พิกัดของป้ายจราจรต่างๆที่ต้องมีความแม่นยำแบบถูกต้องเป๊ะๆสำหรับให้รถไร้คนขับวางแผนเส้นทางการวิ่งได้ถูกต้องแม่นยำ Nokia และ Mercedes-Benz ยังไม่ได้ประกาศกำหนดเวลาว่าแผนที่ Here ในรถไihคนขับจะพร้อมใช้เมื่อไหร่
     ทางฟากกูเกิลเองก็พัฒนารถไร้คนขับมาเป็นเวลานานพอสมควร โดยมีเป้าหมายในอนาคตข้างหน้าคือผลิตออกมาขายในเชิงพาณิชย์ ส่วนผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ๆอย่าง Ford และ Nissan ก็พัฒนารถไร้คนขับอยู่เช่นกัน แล้วเมื่อไหร่ผู้บริโภคอย่างเราๆจะได้ใช้รถไร้คนขับกันล่ะ? เมื่อปีก่อน Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิลให้สัมภาษณ์ว่ารถไร้คนขับของบริษัทเค้าน่าจะเริ่มวางจำหน่ายได้ภายในปี 2017 ส่วน Nissan ก็เพิ่งประกาศเมื่อเร็วๆนี้ว่าตั้งเป้าจะวางจำหน่ายให้ได้ก่อนปี 2020
VIA CNET
เรื่องน่ารู้ จาก ที่ปรึกษา ประกันภัยรถยนต์ ชั้นนำ แหล่งรวมโปรโมชั่น ประกันรถยนต์ ดีๆ 
เบื่อซ่อม อยากขาย ไว้ใจ Q4Car  ตลาดรถ รับฝากขาย รถมือสอง ฟรี!!!!

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

เติมน้ำมันเวลาใด ให้คุ้มที่สุด

เติมน้ำมันเวลาใด จึงจะได้น้ำมันมากเท่าจำนวนลิตรตามเงินที่เราจ่ายจริง
97962911

     ในยุคที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาแพง การรู้จักวิธีการประหยัดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันนั้น นับเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ  นอกเหนือจากการติดตามแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกว่า มีทิศทางแนวโน้มจะปรับราคาขึ้น หรือปรับราคาลง และ ติดตามการประกาศเปลี่ยนแปลงราคาขายปลีกน้ำมันของบริษัทน้ำมันต่างๆ โดยเพื่อนต้องพยายามเติมในช่วงเดินทางขากลับบ้านในช่วงค่ำน่าจะดี ถ้าพรุ่งนี้ น้ำมันจะปรับราคาสูงขึ้น แต่ ถ้าจะมีการปรับราคาลง ก็ควรเติมในช่วงเช้ามืดวันรุ่งขึ้น เพราะราคามักจะ
เปลี่ยนแปลงในเวลา 05.00 น. หากราคาน้ำมันไม่เปลี่ยนแปลง จะต้องเติมในช่วงเช้ามืด หรือ ช่วงที่มีอากาศเย็นหรือ ในช่วงที่มีอุณหภูมิต่ำสุดของวันนั้นๆ

ผู้รู้ซึ่งมีประสบการณ์ในวงการน้ำมันกว่า 31 ปี 
    เล่าว่าเขาทำงานที่คลังน้ำมันแห่งหนึ่งใน San Jose , CA ซึ่งมีคลังเก็บ 34 คลัง ขนาดบรรจุรวม 16,800,000 แกลลอน ณ ที่นั่นแต่ละวันจะจ่ายน้ำมัน ประมาณ 4 ล้านแกลลอน ตลอด 24 ชม.โดยวันหนึ่งจ่ายน้ำมันดีเซล อีกวันหนึ่งจ่ายน้ำมันเครื่องบินและน้ำมันรถยนต์เกรดต่างๆ สลับกันเขาบอกว่า 

1. จงเติมน้ำมันตอนเช้าขณะที่อุณหภูมิบนพื้นดินยังเย็นอยู่
อย่าลืมว่าปั๊มน้ำมันทุกแห่งมีถังน้ำมันฝั่งอยู่ใต้ดิน เมื่อพื้นดินยิ่งเย็นน้ำมันยิ่งควบแน่น เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น น้ำมันก็จะขยายตัวตามดังนั้น หากเติมน้ำมันช่วงบ่ายหรือเย็น คุณจ่ายค่าน้ำมัน 1 แกลลอน แต่ได้มาไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยธุรกิจค้าน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเบนซิน ดีเซล น้ำมันสำหรับเครื่องบินเอทานอล หรือผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่นๆ อุณหภูมิและความถ่วงจำเพาะมีบทบาทสำคัญ อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเพียง 1 องศา หมายถึง.........เงินมหาศาลในธุรกิจนี้  แต่ปั๊มน้ำมันไม่มีการชดเชยอุณหภูมิให้ลูกค้า 

2.  ขณะเติมน้ำมัน อย่าให้เด็กปั๊มตั้งหัวฉีดอยู่ในตำแหน่งไหลเร็ว (ในอเมริกาเจ้าของรถต้องลงมือเติมเอง) 
หากคุณสังเกต จะเห็นว่ากลไกเหนี่ยวมี 3 ระดับ คือ low, middle, และ higt เมื่อตั้งในระดับไหลช้า จะเกิดไอระเหยของน้ำมันน้อยที่สุดหากตั้งในระดับไหลเร็ว น้ำมันบางส่วนจะกลายเป็นไอระเหยและถูกสูบย้อนกลับไปยังถังใ้ต้ดิน นั่นหมายถึงคุณจ่ายเงินมากกว่าที่ควร

3.เคล็ดลับอีกอย่างคือ 
ควรเติมน้ำมันเมื่อน้ำมันในรถเหลือครึ่งถัง(แหล่งข้อมูลบางแห่งแนะนำว่า เติมน้ำมันแค่ครึ่งถังก็พอจะได้ลดน้ำหนักบรรทุกและประหยัดน้ำมัน ทั้งนี้และทั้งนั้นขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณตัดสินเอาเองก็แล้วกัน―หมายเหตุผู้แปล)

เหตุผลคือ น้ำมันบรรจุในถังยิ่งมาก เนื้อที่ว่างสำหรับไอระเหยก็ยิ่งน้อยเพราะน้ำมันระเหยเป็นไอเร็วกว่าที่คุณคาดคิดในคลังเก็บน้ำมันจะมีอุปกรณ์ภายในถัง ทำหน้าที่เป็นเพดานลอยขึ้นลงตามระดับน้ำมัน ทำให้ไม่มีช่องว่างระหว่างน้ำมันกับอากาศลดไอระเหยของน้ำมันให้น้อยที่สุด รถขนส่งน้ำมันเมื่อมาบรรทุกน้ำมันจึงเติมได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ผิดกับที่ปั๊มน้ำมันซึ่งไม่มีการชดเชยอุณหภูมิ

4. ข้อเตือนใจอีกข้อหนึ่ง 
ขณะที่คุณขับรถเข้าปั๊มถ้าเห็นรถบรรทุกกำลังถ่ายน้ำมันเข้าสู่ถังเก็บใต้ดินจงอย่ารีบร้อนเติมน้ำมันช่วงเวลานั้น เพราะตอน "ลงของ" สิ่งแปลกปลอม  ซึ่งปกติตกตะกอนอยู่ใต้ถัง จะถูกปั่นป่วนจนลอยตัว หากคุณเติมน้ำมันช่วงเวลานั้น อาจมีโอกาสดูดเอาสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่รถคุณได้
ที่มา : use2car.com
เรื่องน่ารู้ จาก ที่ปรึกษา ประกันภัยรถยนต์ ชั้นนำ แหล่งรวมโปรโมชั่น ประกันรถยนต์ ดีๆ 
เบื่อซ่อม อยากขาย ไว้ใจ Q4Car  ตลาดรถ รับฝากขาย รถมือสอง ฟรี!!!!

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

ประกันภัยรถยนต์ การเคลมสดและเคลมแห้งคืออะไร


ความหมายของการเคลมประกันเคลม หมายถึง เรียกร้อง,สิทธิเรียกร้อง,สิทธิ,สิทธิควรได้รับ
การเคลมประกัน หมายถึง การเรียกร้องความเสียหายที่เกิดต่อทรัพย์สิน
ดังนั้น สรุปความหมายของการเคลมประกันว่า คือ การเรียกร้องตามสัญญาประกันนั้นเอง กล่าวคือ สัญญากับประกันว่าอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น ที่สำคัญ ต้องอ่านสัญญาให้หมดทุกข้อให้เข้าใจ ไม่อย่างนั้นเมื่อรถมีปัญหาจากอุบัติเหตุอาจจะเคลมไม่ได้ ก็ได้ เพราะในสัญญาประกันไม่ระบุ หรือไม่มีในสัญญานั้นเอง แต่ถ้าท่านทั้งหลายอ่านในสัญญาเข้าใจแล้ว เราจะรู้หลักว่าต้องทำอะไร อย่างไร เช่น วันไหน ว่างๆ ก็เอารถเข้า เคลม ทำสีซะ แต่ต้องเคลมกับประกัน ก่อนน่ะ ต้องคุยกับทนายประกันดีๆ
การเคลมแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
  • เคลมสด
  • เคลมแห้ง
ต่อมาจะเป็นการถาม-ตอบคำถาม 20 ข้อเกี่ยวกับการเคลมประกัน     

1. การเคลมแบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง แตกต่างกันอย่างไรแบ่งง่ายๆ เป็น 2 ประเภท ได้แก่เคลมสดและเคลมแห้ง
     เคลมสด คือ เคลมที่ต้องการพนักงานออกตรวจสอบ ณ ที่เกิดเหตุ ได้แก่ เกิดเหตุมีคู่กรณี หรือมีผู้บาดเจ็บ หรือ รถประกันหรือรถคู่กรณีเสียหายมาก ซึ่งเคลมประเภทนี้ ผู้ขับขี่รถประกันหรือรถคู่กรณีจะได้รับใบหลักฐานในการติดต่อค่าเสียหายจากพนักงาน ตรวจสอบอุบัติเหตุ ซึ่งสามารถนำไปติดต่อซ่อมที่อู่ในเครือของบริษัทฯได้ทันที
     เคลมแห้ง คือ เคลมที่ไม่ต้องการพนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุออกตรวจสอบ ณ ที่เกิดเหตุ ได้แก่ รถประกันเสียหายเล็กน้อยและไม่มีคู่กรณี ซึ่งเคลมประเภทนี้ ผู้ขับขี่รถประกันสามารถนำรถประกันเข้าไปติดต่อซ่อมที่อู่ในเครือของบริษัทฯได้ตลอดเวลาที่ผู้ ขับขี่สะดวก แต่ทั้งนี้ต้องก่อนกรมธรรม์หมดอายุ