วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการขับรถขึ้นเขา



หลักการขับรถขึ้นเขาคร่าวๆ มีดังต่อไปนี้

* ควรใช้เกียร์ต่ำ ปรับเปลี่ยนเกียร์เมื่อรถเสียกำลังอย่าลากเกียร์จนหมดแรงส่ง ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติ ให้ใช้เกียร์ 2 ในการขับขึ้นเขาลงเขา และเปลี่ยนไปใช้เกียร์ D บ้าง เมื่อรถอยู่ในทางราบ การขับให้ใช้เกียร์ช่วยตลอดทางเกียร์อัตโนมัติไม่พังง่ายๆ

* เมื่อขับลงเขาที่ลาดชันมากและยาวไกล ก่อนเข้าโค้งให้เปลี่ยนเกียร์จากตำแหน่ง D มา 2 ถ้า 2 ยังเอาไม่อยู่ให้เปลี่ยนมา L แต่อย่าเปลี่ยนเกียร์ขณะฝนตกทางลื่นรถจะเสียการทรงตัว การใช้เกียร์แต่ละเกียร์ควรดูสภาพทางเป็นหลักในการพิจารณา ส่วนเกียร์ธรรมดาการทำงานจะง่ายกว่า มีเกียร์ให้เล่น 5 ตำแหน่ง และมีคลัทช์ช่วยในการส่งกำลังไปยังล้อตามที่เราต้องการได้ทุกขณะ แต่เกียร์อัตโนมัติบางรุ่นจะทำงานไม่ได้อย่างที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นควรประเมินสภาพทางก่อนใช้เกียร์ดีที่สุด

* การขับเข้าโค้งธรรมดาหรือบนภูเขา ควรมองให้ไกลให้ลึกและให้คนนั่งข้างช่วยดูสภาพทางด้วย เมื่อแน่ใจว่าไม่มีรถสวนมาให้ใช้วิธีตัดโค้งวิธีนี้จะช่วยให้รถทรงตัวดี, เข้าโค้งได้เร็ว, รถไม่ใช้กำลังมาก ลูกปืนล้อมไม่ทำงานหนัก, ยางก็ไม่ล้มตัวมาก หน้ายางจะสัมผัสผิวถนนได้มากตามไปด้วย แต่ต้องแน่ใจว่าไม่มีรถสวนมา สมมุติจะเข้าโค้งขวาก่อนเข้าโค้งให้ถอนคันเร่งลง หัดพวงมาลัยไปทางซ้ายนิดหนึ่ง แล้วหักพวงมาลัยมาทางขวาเพื่อทำโค้งให้กว้างขึ้น ใช้พื้นที่ถนนทุกตารางนิ้ว ถ้ารถจะเลี้ยวซ้ายก็ให้เลี้ยวทางขวานิดหนึ่งแล้วเลี้ยวซ้าย การฝึกใหม่จะรู้สึกฝืนความรู้สึกบ้าง ถ้าขับชำนาญแล้วก็จะชินไปเอง

* การขับรถโค้งต่อเนื่องรูปตัว S มองให้ไกล มองให้ลึก เมื่อแน่ใจว่าทางว่าง ไม่มีรถสวนมาให้ถอนคันเร่งลง แล้วเสียบตัดโค้งในแนวการขับเป็นเส้นตรงที่สุด ง่ายไหม? ..แต่การขับรถลักษณะนี้ถ้าไม่แน่ใจเส้นทางข้างหน้าหรือทัศนวิสัยไม่ดีควรขับเข้าทางโค้งธรรมดา อยู่ในทางของเราเอง

* การขับรถเข้าโค้งหักศอกขึ้นเขารูปฟันปลา การขับแบบนี้ต้องให้ผู้ช่วยดูรถด้านซ้ายด้วยโดยมองถนนด้านบนก่อนว่าไม่มีรถสวนลงมา กดแตรรถก่อนจะขับขึ้นไป หลักการขับก็เหมือนเข้าโค้งธรรมดา จะเลี้ยวซ้ายก็หักพวงมาลัยไปทางขวาก่อนแล้วหักพวงมาลัยไปทางซ้ายเข้าโค้งเมื่อรถเข้าโค้งล้อหน้าจะเกิดแรงต้าน รถต้องใช้กำลังมาก ทำให้รถรถขับขึ้นได้ช้า ควรคืนพวงมาลัยกลับมาบ้าง และเร่งเครื่อง ทำแบบนี้เป็นจังหวะไปมาจนพ้นโค้ง การขับลงโค้งแบบนี้อย่าใช้ความเร็ว ควรลงช้าๆ ใช้เบรกช่วยชะลอความเร็วแต่อย่าเหยียบแรง ท้ายรถจะปัด ยิ่งหน้าฝนท้ารถจะปัดได้ง่าย ถ้าท้ายรถปัดรถจะเสียการทรงตัว ให้หักพวงมาลัยไปทิศทางท้ายรถ เช่น เลี้ยวซ้ายท้ายรถปัดไปทางขวาก็ให้หักพวงมาลัยไปทางขวา เมื่อรถทรงตัวได้แล้วบังคับให้บังคับรถไปในทิศทางที่ต้องการ ถ้าเอาไม่อยู่ให้เลือกทางภูเขาไว้ก่อน อย่าเลือกทางหน้าผาก็แล้วกัน

* การเพิ่มระยะทางการเบรก การเบรกรถกะทันหัน รถเราอาจไปชนรถข้างหน้า ควรเลี้ยวรถดึงพวงมาลัยไปทางไหล่ทาง หรือมีพื้นที่เพื่อเพิ่มระยะทางการเบรก

* การขับรถบนภูเขาที่มีทางคดเคี้ยวไปมาเป็นเวลานานๆ เมื่อถึงทางตรงลงเขายาวไกล อย่าขับเร็วเด็ดขาด คนขับส่วนมากจะขับเร็วรถมาก อันตรายมากนะครับทางแบบนี้ น้ำหนักรถ ความเร็ว ระยะทางถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เช่น มีรถ, คน, ฯลฯ ขึ้นจากข้างทางหักหลบไม่พ้นแน่ ถึงจะหักหลบได้แต่รถต้องเกิดอะไรแน่นอน ไม่พลิกคว่ำ แหกข้างทางเข้าป่า หรือไม่ก็ชนรถที่วิ่งสวนมา

* การขับในทัศนวิสัยไม่ดี ทางโค้งแคบที่มีสันเขาบังสายตา ควรเข้าโค้งแบบธรรมดา ต้องบีบแตรส่งสัญญาณทุกครั้งก่อนจะเข้าโค้งเพื่อป้องกันรถที่วิ่งสวนมา เนื่องจากคนที่ขับรถเจ้าถิ่นบนภูเขาเป็นประจำจะขับรถตัดโค้ง

* ทางลูกรังหรือทางที่มีหินลอย ทางแบบนี้ถือได้ว่าเป็นทาง ‘ปราบเซียน’ กลิ้งกันมาหลายคันครับ การที่ล้อรถลอยตัวขณะวิ่งเข้าโค้งเราไม่สามารถบังคับได้อย่างที่ต้องการ และการที่เราไม่คุ้นเคยกับเส้นทางมาก่อนก็ไม่ควรขับรถด้วยความเร็ว

ข้อควรระวัง
* 1.ขณะขับรถขึ้นทางชันหรือขึ้นเขา ควรเร่งความเร็วให้สม่ำเสมอ เพิ่มกำลังเครื่องยนต์อย่างนุ่มนวล แต่อย่าเบิ้ลอย่างรุนแรงนะครับ เพราะนอกจากความเร็วจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน ไปโดยเปล่าประโยชน์ อีกด้วย
2. อย่าใช้เกียร์ว่างในขณะลงเนินชัน หรือลงเขาโดยเด็ดขาด!! เพราะจะทำให้รถไหลลงด้วยความเร็วสูง โดยไม่มีแรงหน่วงของเครื่องยนต์ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรใช้เกียร์ต่ำ และค่อยๆปล่อยรถให้ไหลลงเนินตามรอบเครื่องยนต์ และอย่าลืมควบคุมความเร็วของรถให้สัมพันธ์กับเกียร์ ด้วยนะครับ
3. ควรใช้เกียร์ 1 หรือ เกียร์ 2 ในขณะขับรถขึ้นเขา เพราะถ้าใช้เกียร์ที่สูง อย่างเช่นเกียร์ 3, 4 หรือ 5 จะทำให้เครื่องยนต์ไม่มีกำลังและแรงฉุดมากพอที่จะเคลื่อนที่ขึ้นเนินเขา นอกจากนี้ยังเป็นการผลาญน้ำมันโดยไม่จำเป็นอีกด้วย

ทริกดีๆ ที่ทาง#ประกันภัยรถยนต์นำมาฝากกัน

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

คุยสบายๆ กับเซียนรถ : อุทหาหรณ์ในปั้มน้ำมัน




โดย ณัฐยศ ชูบรรจง       
        เมื่อพูดถึงเรื่องรถยนต์แล้ว ทุกวันนี้แทบจะปฏิเสธไม่ได้ว่า เราต้องพูดถึงปั้มน้ำมันตามไปด้วยทั้งการเป็นที่กิน ที่พัก แถม ยังที่ปลดทุกข์ จนแทบจะกล้าพุดว่า เมื่อเห็นปั้มก็เห็นสวรรค์อยู่ข้างหน้า เป็นดั่งโอเอซิส ที่หมายของทุกคน
        ความใกล้ชิดของคนใช้รถยนต์กับปั้มน้ำมันนั้น เรียกว่าแยกกันไม่ขาด แต่ในขณะที่เรากำลังปลื้มว่านี่แดน สวรรค์ เราอาจจะกำลังเจอกับหายนะที่ย่างกลายเขามา ดูดกินเลือดเนื้อด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และวันนี้เรามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปั้มน้ำมันมาเล่าให้ฟัง
          ขอบอกก่อนว่าเรื่องเล่านี้เราขัดเกลาและกลั่นกรองมาก่อนแล้วก่อนจากอินเตอร์เน็ต ถือว่าเป็นวิทยาทานและอุทาหรณ์ สำหรับคนใช้รถ โดยเฉพาะใครที่เดินทางคนเดียวเป็นประจำ อาจจะเรียกว่าต้องคอยหมั่นระมัดระวังให้ดีกันเลยทีเดียว และต้องรู้ทันรวมถึงรอบคอบด้วย
        ทุกวันนี้ในปั้มน้ำมันตามต่างจังหวัดบางแห่งที่ห่างไกล มักจะมีวิธีหากินรูปแบบใหม่อย่างหนึ่ง บางคนอาจจะเคยเจอบ้างแล้ว บางคนอาจจะยังไม่เคยเจอ แต่หลายครั้งที่คุณจะเจอท่านผู้เชียวชาญบางคนเป็นช่างจริงบางคนเป็นช่างปลอม มาขอให้เราเปิดฝากระโปรงรถดูตรวจสอบเครื่องยนต์ดู
            หลังจากที่เปิดกระโปรงเสพสมอารมณ์หมาย โดยมาก พี่เซียนภูธรเหล่านี้ก็จะเริ่มหาขอบกพร่องติโน่นนี่ต่างๆมากมาย แต่เคสล่าสุดที่มีคนโดนมาคือบอกว่า ท่อยางน้ำจะระเบิด โดยตอนนั้นตามที่กระทู้เล่าต่อกันมาคือ ท่อน้ำบวมและแข็ง ออกแนวว่าจะรั่วและท้ายสุดจะระเบิด ตามต่อมาด้วยการขู่ว่านี่ท่าไม่เปลี่ยนนะ รับลองเครื่องยนต์กลับบ้านเก่าแถมไปไม่ถึงจุดกมายแถมกินข้าวลิงกลางทางแน่นอน ร้อยทั้งร้อยคนไม่รู้เรื่องทางเทคนิคของรถก็เปลี่ยนแน่นอน
             งานนี้พี่ช่างเซียนภูธรสบายแฮ เพราะข้อเท็จจริงของระบบหล่อเย็น หรือที่เรามักจะพูดว่า "หม้อน้ำ" กันเป็นประประจำจนคุ้นชินนั้น ในระบบของหม้อน้ำรถยนต์ทุกคันจะต้องมีแรงดันอยู่ในระบบเสมอ ซึ่งแรงดันเหล่านี้ก็มาจากอุณหภูมิของนั้นเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เมื่อเราขับขี่จากความร้อนของห้องเผาไหม้ในเครื่องยนต์ อาจรวมถึงชุดส่งกำลังด้วยในรถยนต์บางรุ่นที่ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ ทำให้น้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้นตามลำดับ  และเมื่อน้ำร้อนก็ยอมมีการขยายตัว คิดง่ายๆ เหมือนต้มน้ำในกาเดือดแต่ยังไม่ถึงขนาดเปลี่ยนสถานะตามวิทยาศาสตร์ม.ต้น และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ท่อยางหม้อน้ำขยายตัว ทำให้มีความแข็งเมื่อจับ หรือดูบวมเมื่อมองด้วยสายตา
              ส่วนหนึ่งทีเป็นเช่นนั้นเพราะชุดแคมรัด ยิ่งท่อใครที่มีรถยนต์อายุมากแล้วยังไม่เคยเปลี่ยนชุดท่อหม้อน้ำ ท่อยางที่อ่อนจากสภาพที่ใกล้ลาโลกก็จะทำให้มันดูบวมเป่งขึ้นมาโดยเฉพาะรถที่มีอายุเกิน 10 ปีขึ้นไป และยิ่งเป็นเรื่องปกติ ถ้าคุณขับรถมาเป้นรถยะเวลานาก่อนถึ้งที่พักกลางทาง
         คำพูดที่ไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดทำให้เคสนี้จบลงด้วยค่าใช้จ่ายที่มากโขพอสมควร จากความไม่รู้เท่าทัน ในเรื่องราวรถยนต์ เพราะงานนี้กินทั้งค่าแรง ค่าอะไหล่ รวมถึง ยังทำเจ้าของรถเสียเวลา ส่วนเซียนภูธรกินนิ่มๆ สบายๆ ...จากความไม่รู้ของเจ้าของรถ
            หากจะพูดตามหลักความจริงท่อยางหม้อน้ำมักจะเปลี่ยนพร้อมชุดสายพาน แต่หลายครั้งที่เราอาจจะพบว่ามันไม่ได้เสื่อมสภาพ แต่ก็อย่าลืมว่าทุกอย่างมีอายุการใช้งานในตัวมัน ...และการตรวจเช็คก็จะทำให้เรามั่นใจ รวมถึงลดความไม่รู้เท่าทันเหล่าเซียนภูธร ...เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ที่ควรจำไว้ให้ดี
        โดย ณัฐยศ ชูบรรจง

เป็นเกร็ดความรู้ดีๆ ที่ทาง #ประกันภัยรถยนต์ นำมาฝากกัน

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

การดูแลแบตเตอรี่ให้ถูกวิธี


แบตเตอรี่ เป็นอุปกรณ์ประกอบรถยนต์ที่สำคัญ ทำหน้าที่เก็บกระแสไฟฟ้าสำรองเมื่อเครื่องยนต์ถูกใช้งาน จะมีการประจุไฟฟ้าเข้า-ออก หมุนเวียนสู่แบตเตอรี่อยู่ตลอดเวลา โดยมีคัตเอาต์ทำหน้าที่ตัดประจุเมื่อไฟฟ้าเต็มแบตเตอรี่ และต่อการประจุเมื่อไฟฟ้าในแบตเตอรี่พร่องลง ปกติแล้วแบตเตอรี่โดยทั่วไปจะมีอายุการใช้งานประมาณ 1.5-2.5 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา ซึ่งในปัจจุบันมีแบตเตอรี่แบบไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย และแบตเตอรี่แบบแห้ง ซึ่งสะดวกต่อการดูแล มีความทนทาน และมีอายุการใช้งานมากกว่าแบบทั่วไป 3-6 เท่า หรือ 5-10 ปี แต่ก็มีราคาที่สูงกว่าเช่นกัน

การดูแลแบตเตอรี่ให้ถูกวิธีจะช่วยให้เราใช้งานแบตเตอรี่ได้คุ้มค่าที่สุด ด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนี้

1. ตรวจสอบสภาพของแบตเตอรี่เสมอ อย่าให้มีรอยแตกร้าว เพราะจะทำให้แบตเตอรี่ไม่เก็บประจุไฟฟ้า
2. ดูแลขั่วแบตเตอรี่ให้สะอาดเสมอ ถ้ามีคราบเกลือเกิดขึ้น ให้ทำความสะอาด
3. ตรวจสภาพของระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ทุกๆ 1 สัปดาห์
4. ตรวจเช็คระบบไฟชาร์จของอัลเตอร์เนเตอร์ว่าระบบไฟชาร์จต่ำหรือสูงไป ถ้าต่ำไป จะมีผลทำให้กำลังไฟไม่พอใช้ในขณะสตาร์ตเครื่องยนต์ หรือถ้าสูงไปจะทำให้น้ำกรดและน้ำกลั่นอยู่ภายในระเหยเร็วหรือเดือดเร็วได้ ในช่วงเวลาเดียวกัน
5. ช่วงที่มีอากาศหนาวหรืออุณหภูมิต่ำ ประสิทธิภาพการแพร่กระจายของน้ำกรดและน้ำกลั่นจะด้อยลง เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้กระแสไฟมากๆ ขณะอากาศเย็น
6. ควรศึกษาถึงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ให้เหมาะสมกับแบตเตอรี่และไดชาร์จ เพื่อที่จะให้วงจรการไหลของไฟฟ้าเป็นไปด้วยดี
7. ควรเติมน้ำกลั่นให้ได้ตามระดับที่กำหนด ไม่ควรเติมต่ำหรือสูงเกินไป

ขั้นตอนการทำความสะอาดแบตเตอรี่

ฟองก๊าซที่เกิดจากแบตเตอรี่จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดขี้เกลือที่ ขั่วแบตเตอรี่และสายไฟได้ แต่วิธีทำความสะอาดแบตเตอรี่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. ใช้แปรงลวดปัดทำความสะอาดด้านบนของแบตเตอรี่ เพื่อขจัดความสกปรกในเบื้องต้นก่อน
2. ใช้แปรงลวดจุ่มโซเดียมคาร์บอเนต หรือโซดาผง ผสมน้ำ ปัดเพื่อทำความสะอาดแบตเตอรี่
3. ล้างโซเดียมคาร์บอเนตออกด้วยน้ำสะอาด แล้วใช้ลูกย่างดูดน้ำออกให้หมด
4. ถอดสายแบตเตอรี่ออก (ถอดขั่วลบออกก่อน และเมื่อประกอบกลับคืนให้ใส่ขั่วบวกก่อน เพื่อป้องกันการเกิดประกายไฟ) จากนั้นเช็ดเพื่อเอาคราบน้ำมันและจารบีออก เพียงเท่านี้แบตเตอรี่ของเราก็ไม่สกปรกพร้อมใช้งานอยู่เสม

เรื่องน่ารู้ที่ทาง#ประกันภัยรถยนต์นำมาฝากกันครับ

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

7 วิธีง่ายในการขับรถประหยัดน้ำมัน




ปัจจุบันค่าน้ำมันค่อยๆ ถีบสูงเท่าตัว ระยะเวลา4-5 ปี หลังน้ำมันเชื้อเพลิงมีแต่ขึ้นเอาๆ ประชาชนตาดำๆ ได้แต่รับภาระในจุดนี้ เรามีเคล็ดลับดีๆ มาแนะนำในการขับประหยัดน้ำมัน เรามาลองดูกันเลยดีกว่า
1.รู้จักรถยิ่งขับยิ่งประหยัด เราหลายคนรู้จักรถดีขับมันทุกวันแต่ไม่คุ้นเคยกับนิสัยของมันเรื่องนี้เป็นข้อเท็จจริงที่น่าแปลก เพราะการขับขี่นั้นจำเป็นต้องรู้จักรถให้ดี สิ่งหนึ่งที่ต้องจดจำคือช่วงที่แรงบิดสูงสุดถูกเรียกออกมา ซึ่งจะมีประโยชน์มากยามเร่งแซง

2.Walking Speed หลายคนที่ขับรถนั้นไม่ค่อยคุ้นกับคำนี้เท่าไรนักแต่ walking Speed นั้นหมายถึงการที่รถยนต์สามารถเคลื่อนได้ด้วยตัวเองโดยที่เราไม่ต้องแตะคันเร่ง ตามปกติสำหรับเกียร์ออโต้แล้ว Walking speed คือสิ่งที่เราทำกันอยู่ประจำยามที่เราไม่ได้เดินคันเร่ง ซึ่งมีประโยชน์ตอนที่กาจราจรติดขัดหรือตอนเข้าที่จอดรถ เพราะยิ่งเร่งน้อยก็ยิ่งประหยัด

3 เกียร์ L ขึ้นทางชันรับรองว่าประหยัดกว่า ในการขึ้นทางชันนั้นเราหลายคนมักละเลยในการเปลี่ยนโหมดเกียร์มาใช้เกียร์ L ด้วยความสะดวกเข้าว่า ความจริงแล้วถามว่าผิดหรือคำตอบคือไม่ แต่มันไม่เหมาะสม เพราะเกียร์ D นั้นจะทำการเปลี่ยนเกียร์ แต่ในการขึ้นทางชันที่แรงต้านทานจากเนินสูง โดยเฉพาะการขึ้นที่จอดรถ การใช้เกียร์ L โดยใช้กำลังแรงบิดเครื่องส่งขึ้นนั้นจะทำให้รถไม่ต้องออกแรงสู้กับเนินมากผลคือประหยัดกว่า ชัวร์!

4.คิกดาวน์อย่าทำบ่อยถ้าไม่จำเป็น การคิกดาวน์ในเกียร์อัตโนมัตินั้นถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสร้างความสะดวกสบายในการเร่งแซง แต่มันก็ต้องแลกมาดัวยอัตรากินน้ำมัน ซึ่งแม้ระบบเกียร์ปัจจุบันจะมีการพัฒนาให้ตอบสนองได้ดีส่งกำลังได้มากยิ่งขึ้น แต่การคิกดาวน์ก็ยังเปรียบได้ดั่งการกระชากเกียร์อยู่ดี หลายคนที่ขับเกียร์อัตโนมัติเข้าใจว่าการคิกดาวน์นั้นเป็นหนทางเดียวที่เร่งแซง แต่ความจริงแล้วนอกจากที่ปลายเท้าแล้วยังมีการใช้ระบบ Overdrive หรือ O/d ซึ่งทำให้เกียร์เปลี่ยนอย่างนิ่มนวลมากกว่าการคิกดาวน์หรือบางคันเป็นตำแหน่ง 3/D3 ตามแต่ยี่ห้อรถ

5 คันเร่งเดินให้เนียน หลายคนที่ไม่ได้ฝึกขับรถอย่างจริงจังนั้นมักจะไม่ทราบว่าการเดินคันเร่งนั้น เป็นเรื่องสำคัญยิ่งชีพในการพิชิตความประหยัดที่จะใช้น้ำมันทุกหยดให้คุ้มค่า การใช้คันเร่งนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากในรถเกียร์ออโต้ เพราะเมื่อเรากดคันเร่งลึกไประบบเกียร์ก็จะคิกดาวน์หรือน้อยไป รถก็วิ่งแบบคลานๆ เราต้องหาความพอดี โดยอาจจะใช้วิธีกดเร่งไปถึงระดับความเร็วที่ต้องการก่อนแล้วผ่อนรักษาความเร็ว ซึ่งก็เป็นวิธีหนึ่งที่ให้การประหยัดน้ำมันที่ดีทีเดียว และที่สำคัญไปกว่านั้นพยายามรักษาความเร็วให้คงที่ตลอดทาง หากรถคุณมีระบบ Cruise Control อย่าลืมที่จะใช้มันในการขับขี่

6.เบรคให้น้อยชะลอบ่อยๆ เราหลายคนที่ขับรถยนต์เกียร์ออโต้ที่ชินกับการเร่งและเบรคนั้น อาจจะไม่ค่อยมีสไตล์การขับขี่ที่ใช้วิธีชะลอความเร็วเหมือนคนที่ขับรถเกียร์รรมดา ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ามาจากความคุ้นเคย แต่เชื่อหรือไม่การชะลอความเร็วโดยไม่เบรคนั้นเป็นหนึ่งในกระบวนการของวิธีประหยัดน้ำมันด้วย   เรื่องนี้ฟังดูไม่น่าเกี่ยวกันแต่มันคือข้อเท็จจริงที่ว่าเมื่อเราเบรคลดลมจากท่อไอดีจะถูกดูดมาที่หม้อลมเพื่อลดการทำงานของเครื่องยนต์ซึ่งจะมีอัตราลดลงมากกว่าการที่เราไม่เหยียบคันเร่งหรือชะลอความเร็ว นี่ยังไม่นับการสูญเสียน้ำมันกับการเร่งเมื่อความเร็วลดลงกว่าที่ขับปติ ซึ่งเท่ากับการซดน้ำมัน 2 เท่าตัว

7.หัดใช้เทคโนโลยีใหม่ ปัจจุบันรถยนต์เกียร์ออโต้หลายรุ่นเริ่มมีการติดตั้งระบบ start/stop function เข้ามาเพื่อหยุดการทำงานเครื่องยนต์ชั่วคราว ระบบนี้ช่วยคุณประหยัดได้มาก-มาที่สุดในสภาวะการจราจรที่ติดขัด เพราะเมื่อเครื่องยนต์หยุดทำงานก็หยุดจ่ายน้ำมัน ผลคือประหยัดแน่นอน ดังนั้นจึงควรเรียนรู้ไว้ โดยปกติแล้วระบบดังกล่าวจะทำงานเมื่อเราเหยียบแป้นเบรคเป็นระยะเวลานานๆ ส่วนวิธีการรีสตาร์ทเครื่องนั้นก็เพียงกดคันเร่งก็สามารถขับขี่ต่อได้ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายระบบที่สำคัญต้องลองหัดดูครับ

ทริกดีๆที่ทาง #ประกันภัยรถยนต์ นำมาฝาก

วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

หลากทางเลือกตัวช่วย..เมื่อรถคุณยางแตก


ยางรถยนต์ นับว่าเป็นชิ้นส่วนสำคัญชิ้นหนึ่งในรถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อยางทำหน้าที่รองรับน้ำหนักและสัมผัสพื้นถนนที่ช่วยให้การขับขี่นิ่ม สบายและปลอดภัยยามเดินทาง .. ปัญหาหนึ่ง ของยางในปัจจุบันที่เป็นยางแบบใช้แรงดันลมนั้น คือมันมีความเปราะบางต่อวัตถุที่แหลมคมตั้งแต่หินไปจนถึงเศษตะปู ที่อาจสร้างความเสียหายต่อยางจนอาจจะทำให้คุณไม่สามารถเดินทางต่อไปได้
ปัญหายางแตกนั้น นับเป็นปัญหาสำคัญมากในขั้นต้นๆที่ไม่มีใครอยากเผชิญ โดยเฉพาะเมื่อทางออกเดียวอาจคือการเปลี่ยนยางไปใช้ยางอะไหล่สำรอง แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำของโลกวันนี้ บางทียางแตกอาจกลายเป็นเรื่องจิ๊บๆ ที่ไม่ต้องกังวลใจ และยังทำให้คุณและรถปลอดภัยจากกลุ่มคนไม่หวังดี

2008115237511

1.Mini Air compressor.. สูบลมต่อชีวิต ไปได้อีกหน่อย
อย่างที่เรากล่าวไปว่ายางรถยนต์ปัจจุบันนั้นเป็นยางอัดลม ดังนั้นข้อสำคัญของการขับขี่นั้นอยู่ที่ลมในยาง หากเมื่อไรก็ตามที่ลมหายยางของคุณจะแบนแทบทันที ซึ่งข้อสำคัญในการต่อเวลาคือทำให้ยางมีลมและแข็งตัวพอที่จะเดินทางต่อไปได้

0

ตามปกติแล้วเราสูบลมบางโดยอาศัยเครื่องปั้มลมเป็นหลัก แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาปั้มลมให้มีขนาดเล็กจนพอที่จะพกพาได้แถมราคาก็ไม่สูง มากสามารถหาซื้อได้ในราคา 900 - หลายพันบาท แล้วแต่ยี่ห้อ ซึ่งในกรณีที่คุณเกิดยางแตกกลางทางก็สูบลมชั่วคราวแล้วไปต่อ ซึ่งหากอาการไม่หนักมาก คุณจะสามารถขับได้ไกลถึง 20 กิโลเมตร ที่น่าเพียงพอจะเจอช่างผู้ชำนาญการเรื่องยาง แต่ก็ควรขับช้าๆ ไปเรื่อยๆ และอย่าลืมเปิดไฟฉุกเฉินด้วย

2. Tire Puncture Sealant สเปร์ยมหัศจรรย์ช่วยคุณได้
ทุกวันนี้ปัญหาเรื่องยางรั่วดูจะง่ายกว่าที่คิด และถ้าคุณเดินตามแผนกประดับยนต์บ่อยๆคงจะเคยเจอสเปร์ยซีลยาง หรือ Tyre Weld ที่อาจจะดูไร้ค่าราคาแพง แต่เมื่อยางแตก คุณอาจจะนึกอยากได้มันมาใช้ก็ได้

puncture-tyre-solutions-250x250

เจ้าน้ำยางซีลยางนี้ถือเป็นนวัตกรรมที่เหมาะมากโดยเฉพาะคุณสุภาพสตรี เพราะขอเพียงแค่มีสเปร์ยตัวนี้ คุณก็สามารถจะไปต่อได้แทบจะทันใด โดยเจ้าน้ำยามหัศจรรย์ที่ว่านี้ตัวมันคือโฟมปะยางชนิดพิเศษ ที่เพียงเสียบจุกพ่นลมเข้าไปในยาง และมันก็จะไปจับตัวอุดรอยรั่วที่เกิดขึ้นที่หน้ายาง ทำให้แรงดันลมในยางคงที่ แต่คุณก็ยังจำเป็นต้องหาปั้มเพื่อเติมลมยาง ซึ่งวิธีนี้ค่อนข้างสะดวกมาก แต่เพื่อการปะยางที่ถูกต้องก็ยังต้องไปร้านยางอยู่ดี

3.Run Flat Tire ...ออพชั่นนี้แพง แต่มั่นใจได้แน่นอน

เราหลายคนอาจจะเคยได้ยินกิตติศักดิ์ของยาง Run Flat Tire หรือ แปลตรงตัวง่ายเลยว่าถึงแบนก็ขับได้ ที่ทำให้คุณหมดห่วงไร้กังวลเรื่องของยางแตกไปได้เลย

Run-on-Flat-Tire-Demonstration

เทคโนโลยีของยาง Run-flat tire นั้นมีการแนะนำมากสักพักใหญ่แล้ว และมันถูกติดตั้งในกลุ่มรถหรูเสียส่วนใหญ่ แต่กลับไม่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ทั่วไปนัก ด้วยราคาที่แพง แต่เทคโนโลยีชั้นสูงนี้ ก็ช่วยให้ไปได้ไกลถึง 90 กิโลเมตร เป็นอย่างน้อยทั้งที่มีปัญหา และมีการทดสอบในต่างประเทศว่าสามารถไปได้ไกลถึง 320 กิโลเมตร แต่โดยมากจะแนะนำไม่ให้ขับไกลเกิน 160 กิโลเมตร

อย่างไรก็ดี ทั้ง 3 ทาง เลือกสำหรับนักขับยุคใหม่นั้น ไม่สามารถช่วยคุณได้หากพบว่าอาการยางแบนของคุณเกิดจากความเสียหายที่แก้มยาง ซึ่งตามปกติมีโอกาสน้อยมากที่จะพบปัญหาดังกล่าว แต่เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่ได้บุกป่าตะลุยทุ่งอะไรนักทางเลือกที่ว่านี้ก็น่าจะ พอช่วยคุณไม่ต้องเหนื่อยได้

3 ทางเลือกออพชั่นยางแตกที่ไม่ต้องเหนื่อยนี้ความจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็ไม่มีใครพูดถึงมากนัก อันที่จริง ทั้งหมดนี้เหมาะกับผู้ขับรถทุกคน ที่ช่วยให้คุณซ่อมรถด้วยตัวเองได้อย่างไม่ยากเย็นจนเกิดไปนัก และแน่นอนมันยังช่วยป้องกันพวกมิจฉาชีพ โดยเฉพาะใครก็ตามที่มักเดินทางคนเดียวเป็นประจำ


ที่ #ประกันภัยรถยนต์ นำมาฝากกันครับ
ที่มา : Sanook! Auto

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

แจ้งทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ต่างบริษัท เริ่มคุ้มครองเมื่อไหร่


แจ้งทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ต่างบริษัท เริ่มคุ้มครองเมื่อไหร่ ลองมาดูเงื่อนไขแต่ละเคส นะครับ
1. รถยนต์ป้ายแดง และยังไม่ออกจากโชว์รูม ไม่จำเป็นต้องถ่ายรูปรถยนต์ (ตรวจสภาพรถยนต์) เพียงมีหลักฐานการซื้อขาย กรณีมีอุปกรณ์ติดตั้งเพิ่มเติม ก็แจ้งยืนยันกับทางบริษัทประกันภัยด้วยครับ เพื่อให้ความคุ้มครองที่สมบูรณ์ และครบถ้วน และเริ่มคุ้มครองตั้งแต่บริษัทรับตกลงทำประกัน
2. รถยนต์ที่จะต่อประกันกับบริษัทเดิม หากเราแจ้งให้คุ้มครองต่อเนื่องจากกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์เดิม ก็ไม่ต้องถ่ายรูปรถยนต์ คุ้มครองต่อเนื่องจากประกันเดิม ซึ่งปกติจะหมดเวลา 16.30 น.  แต่หากประกันภัยเดิมขาดต่อประกัน และหากยังประสงค์จะทำประกันชั้น 1 ต่อกับบริษัทเดิมอีก ก็ต้องตรวจสภาพ(ถ่ายรูปรถยนต์) เพื่อตรวจสอบว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีรอยหรือไม่ และจะรับประกันหรือไม่  ขนาดประกันเดิมขาดต่อแค่ 1 วัน ก็ต้องตรวจสภาพ (บางทีบริษัทประกันก็โหดเหมือนกัน)
3. รถยนต์ที่จะทำประกันกับบริษัทอื่นที่ไม่ใช่บริษัทเดิม (เปลี่ยนบริษัท) ถ้าเป็นประกันชั้น 1 แบบปกติแล้ว ต้องถ่ายรูปรถยนต์ (ตรวจสภาพรถยนต์) ด้วยครับ  ยกเว้นกรณีประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แบบที่เก็บค่าเสียหายส่วนแรก (ExCESS-Deductible) อาจจะไม่ต้องถ่ายรูปรถยนต์ก็ได้   และมีบางบริษัทประกันภัยที่ไม่ต้องถ่ายรูปรถยนต์ (ขอสงวนไว้แล้วกันครับ) หากเดิมลูกค้าได้ทำประกันชั้น 1 มา  และประกันเดิมไม่ได้ขาดต่อ
และเคสที่ทำประกันชั้น 1 ต่างบริษัท และต้องถ่ายรูป-ตรวจสภาพรถยนต์ จะเริ่มคุ้มครองเมื่อไหร่ นี่คือคำถามที่ตั้งโจทย์ไว้ตั้งแต่แรก
โดยปกติแล้ว เมื่อเราได้แจ้งทำประกันชั้น 1 แล้ว ทางบริษัทประกันภัย จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ประกันภัย มาเพื่อนัดหมายถ่ายรูปรถยนต์ แต่ในระหว่างที่่เรารอให้บริษัทมานั้น ความคุ้มครองจะกลายเป็นประกันภัยรถยนต์ประเภท 3  ง่ายๆ คือคุ้มครองเฉพาะคู่กรณี  ไม่คุ้มครองรถเรา เช่น
ประกันเดิมขาดต่อ และจะแจ้งทำประกันชั้น 1 กับบริษัทประกันภัย และให้เริ่มคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม  แต่เจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันนัดหมายตรวจสภาพรถยนต์ ในวันที่ 18 ธันวาคม  ฉะนั้น อย่างน้อยในระหว่างวันที่ 15 -17 ธันวาคม นี้ จะได้รับความคุ้มครองแบบประเภท 3 ไปก่อน  โดยเมื่อทางบริษัทได้ดำเนินการตรวจสภาพแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะคุ้มครองในทันทีทันใดนะครับ จะต้องไปตรวจสอบสภาพรถยนต์ ว่ามีความเรียบร้อยหรือไม่ หากเรียบร้อย ก็คุ้มครองได้เลย ถือว่าคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม แต่หากรถยนต์มีความเสียหายเกินกว่าที่กำหนด หรือมีอุปกรณ์ตกแต่งมากเกินไป ก็อาจจะแจ้งปฏิเสธไม่รับทำประกันชั้น 1 หรือรับทำประกันชั้น 1 แต่กำหนดเงื่อนไขในการรับประกันต่อไป
ฉะนั้นเมื่อเราจะเปลี่ยนบริษัท เพื่อทำประกันชั้น 1 ควรจะเร่งให้ทางบริษัทติดต่อนัดหมายให้ถ่ายรูปรถยนต์เพื่อตรวจสภาพรถยนต์โดย เร็ว และถ้าเป็นไปได้ก็แจ้งทำประกันล่วงหน้าก่อนประกันจะหมด ช่วงประมาณ 1 เดือนก่อนประกันภัยเดิมจะหมด จึงจะสบายใจที่สุด
ที่มา :  saveprakan.com

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับ การล้างรถ ที่คุณอาจมองข้ามไป



1. ไม่ควรล้างรถเองในตอนเย็น เพราะหากล้างแล้วจอดทิ้งไว้ อาจทำให้เกิดสนิมในจุดที่เราเช็ดไม่แห้ง เว้นเสียแต่ว่า คุณจะมีเครื่องเป่าน้ำให้แห้ง หรือไม่ก็ต้องยอมเปลืองน้ำมันเอารถออกไปขับไกล ๆ ให้ลมช่วยทำให้ทุกซอยทุกมุมแห้งสนิท วิธีนี้คุณผู้ชายอาจใช้เป็นข้ออ้างในการออกจากบ้านตอนเย็นๆ ได้นะครับ ไม่ว่ากัน

2. ไม่ควรล้างรถกลางแดด เพราะนอกจากคนล้างอาจไม่สบายได้แล้ว แสงแดดจะทำให้น้ำแห้งเร็วจนเช็ดไม่ทัน ซึ่งอาจทำให้เกิดคราบน้ำบนผิวสีรถได้

3. ไม่ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรถแทนการล้างรถ เพราะจะเป็นการทำลายสภาพสี ผงฝุ่นต่างๆ ที่ติดบนผ้าจะทำให้เกิดรอยขนแมวยิ่งเช็ดรถมากครั้งขึ้นเท่าไหร่ การเกิดรอยก็จะมากขึ้นตามไปด้วย

4. ไม่ควรใช้ไม้ขนไก่ หรือแปรงปัดฝุ่นทุกชนิด ปัดฝุ่น เพื่อทำความสะอาด เพราะมันเหมือนกับการใช้กระดาษทรายเช็ดรถเลยทีเดียว ในขณะที่ปัดฝุ่น ไม้ปัดฝุ่นจะลากถูฝุ่นหรือเม็ดทรายไปตามผิวสีรถ ทำให้เกิดริ้วรอยได้

เมื่อล้างรถเสร็จแล้วควรทำอย่างไร
1. ควรใช้ผ้านุ่ม ๆ ในการเช็ดรถ เนื่องจากผ้าเหล่านี้จะไม่ทำให้รถเป็นรอย การเช็ดรถที่ถูกต้องก็เหมือนกับการล้าง คือควรเช็ดจากด้านบนไล่ลงมาด้านล่างของรถ เพื่อให้น้ำหยดลงด้านล่างให้หมด จะได้ไม่ต้องทำงานสองต่อคะ

2. ส่วนของรถที่ต้องระวัง คือ ด้านในขอบประตูทั้งหมด ด้านในกระโปรงหลัง ด้านในฝาถังน้ำมัน กระจกหน้ารถ ควรเช็ดให้แห้งที่สุด อย่ามองข้ามเป็นอันขาดนะคะ

3. ล้อแม็กซ์ ก็ควรจะเช็ดให้แห้งด้วย เพราะถ้าไม่เช็ดจะเกิดเป็นคราบน้ำขึ้น ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ คราบน้ำเหล่านั้นจะเช็ดออกยากจนถึงเช็ดไม่ออกเลยนะคะ

เกร็ดความรู้จาก #ประกันภัยรถยนต์

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

ข้อควรระวัง !! สาเหตุ หนึ่งของรถติดแก๊สไฟไหม้


picture-210255013555

จากที่มีข่าว รถแก๊สระเบิด, ไฟไหม้ ทำให้ผู้ใช้ไม่ค่อยสบายใจ เนื่องจากผมเคยทำงานอยู่ศูนย์บริการรถยนต์ มีประสบการณ์ตรวจสอบรถยนต์ไฟไหม้หลายครั้ง โดยเฉพาะกับรถยนต์หัวฉีดที่ติดแก๊ส ไม่ว่า LPG หรือ NGV แล้วตัดปั๊มน้ำมัน ซื่งเจ้าของรถยนต์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยทราบ

ลองเสียเวลาอ่านเรื่องข้างล่างนี้หน่อยแล้วกัน

เมื่อ ตัดปั๊มน้ำมันแล้ว เวลาเครื่องยนต์ทำงานด้วยแก๊ส หัวฉีดที่ติดกับเครื่องยนต์จะไม่มีน้ำมันมาเลี้ยงซึ่งทำให้หัวฉีดจะร้อนมาก เมื่อใช้แก๊สไปนานๆ รถบางคันไม่ได้ใช้น้ำมันเลย หรือใช้แต่สตาร์ทเครื่องเท่านั้น จะทำให้ลูกยางที่ปลายหัวฉีดเสื่อมเร็ว(แข็ง หรือแตกร้าว) แล้ววันหนึ่งระหว่างเดินทาง แล้วแก๊สหมด ต้องใช้น้ำมัน คราวนี้ลูกยางหัวฉีดที่เสื่อมสภาพจะมีน้ำมันเชื้อเพลิงรั่วออกมา หากบังเอิญมีประกายไฟจากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำงานอยู่ เช่น ไดชาจท์ จานจ่าย สายหัวเทียนที่ไฟรั่ว คอลย์ หรือความร้อนจากท่อไอเสีย แคตตาไลท์ติก ซึ่งร้อนมาก จะทำให้น้ำมันที่รั่วซึ่มออกมาระเหยเป็นไอ และมีโอก่สติดไฟได้ จนเป็นสาเหตุให้เกิดไฟไหม้

สาเหตุที่ช่างมักตัดจะปั๊มเพราะ
1.ในการติดตั้งแก๊ส รถยนต์บางรุ่นตัดป๊มง่ายกว่าตัดหัวฉีด
2.ส่วน ใหญ่เป็นรถยนต์เก่า ที่หัวฉีดปิดน้ำมันไม่ค่อยสนิท และน้ำมันรั่วผ่านช่องว่างเข็มหัวฉีดเข้าไปเผาไหม้ผสมกับแก๊ส ทำให้เจ้าของรถยนต์บ่นว่าใช้แก๊สแล้วน่ำมันหายด้วย
2.บางครั้งช่างจูนแก๊สไม่ได้ เพราะน้ำมันเข้ามาผสม

เพราะฉะนั้น รถยนต์ที่ใช้แก๊สควรหมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ และเข้าตรวจเช็คกับสถานให้บริการ ตามระยะ นอกจากนี้หมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ และรอยรั่วซึมบริเวณหัวฉีดน้ำมัน หรือสังเกตกลิ่นน้ำมันขณะขับขี่ด้วยตนเอง อย่างสม่ำเสมอ
และอีกข้อแนะนำคือ มีสองทางเลือก
1 เลิกใช้น้ำมันไปเลย
2 เปิดฝากระโปรงตอนเช้าแล้วสตาร์ทน้ำมันตรวจการรั่วทุกวัน
ตอนเย็นกลับบ้านให้ใช้น้ำมันแล้วดับเครื่องขณะใช้น้ำมัน
ผม เจอกับตัวเองสตาร์ทเครื่องตอนเช้าแล้วออกมาจากรถ ( เพราะลืมของ ) ได้กลิ่นน้ำมัน เปิดฝากระโปรงดูรั่วโจ๊กเลย ตั้งแต่นั้นมาผมเปิดฝา อุ่นเครื่องด้วยน้ำมัน ตรวจรั่วทุกเช้า แล้วจึงออกรถ สังเกตไหมว่าแท๊กซี่ไม่ค่อยมีข่าวไฟไหม้ เพราะเขาไม่ใช้น้ำมันเลย
เท่าทีติดตามข่าวไฟไหม้รถแก๊ส มักมีสาเหตุทำให้เกิดการไหม้ตอนใช้น้ำมัน (เว้นรถชนกัน )

เกร็ดความรู้ดีๆจาก #ประกันภัยรถยนต์

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

ตรวจสอบคุณภาพยางรถ




สภาพภูมิอากาศในประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในภัยร้ายที่คอยบั่นทอนยางรถของคุณ ยางต้องเจอกับสภาพถนนและอุณภูมิที่แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละวัน เราจึงควรเอาใจใส่ต่อยาง?เพราะสิ่งที่จะได้รับตอบแทน คือการขับขี่ที่ปลอดภัยตลอดเส้นทาง ซึ่งทางที่ดีจึงควรตรวจสอบยางของท่านอย่างน้อย สัปดาห์ละ 1 ครั้ง

วิธีตรวจสอบคุณภาพยางแบบง่ายๆ
1 ตรวจสอบหน้ายาง และแก้มยาง ว่ามีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้นหรือไม่ เช่น รอยบาดจากของมีคมประเภทเศษแก้ว การบวมบริเวณแก้มยาง การแตกลายงาในทุกส่วนของยาง
หากเกิดการฉีกขาดจากแก้มยางจนลึกไปถึงผ้าใบชั้นใน ควรเปลี่ยนใหม่ทันที ไม่ควรซ่อม เพราะแก้มยาง คือจุดที่ยางต้องรับน้ำหนัก และมีการบิดตัวไปมาในขณะที่ท่านขับขี่ ยางอาจเกิดการระเบิดขึ้นได้ หากมีรอยฉีกขาดบริเวณแก้มยาง

2 น้ำมันทุกชนิด มีผลก่อให้เกิดการบวมของยาง หรือยางร่อนออกจากขอบกระทะล้อ ควรหลีกเลี่ยงการจอดรถบนคราบน้ำมัน หรือหากมีน้ำกรดหกโดนยาง ควรรีบล้างออกด้วยน้ำสบู่ พร้อมตรวจสอบสภาพของกระทะล้อ และจุกวาล์วเติมลมเป็นประจำ เพราะบ่อยครั้งการแบนหรือรั่วซึมเกิดขึ้นจากสองจุดนี้ และควรมีฝาปิดจุกเติมลม เพื่อป้องกันการซึมของลมยาง

3 เมื่อรถเสีย และต้องถูกลากเป็นระยะทางไกลๆ ควรเพิ่มแรงดันลมยางที่ล้อหลังอีก 3-4 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว

4 การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง หรือการออกตัวอย่างรุนแรง หรือออกรถแบบกระชาก จะทำให้ยางมีการสึกเร็วกว่าการขับขี่แบบปกติมาก

5 ควรตรวจสอบความลึกของดอกยาง ว่าถึงระดับที่ควรจะเปลี่ยนยางหรือไม่ ซึ่งความลึกของดอกยางที่เหมาะสมควรมากกว่า 2 มิลลิเมตร ยางบางรุ่นในยุคปัจจุบัน มีสัญลักษณ์บอกความลึกของดอกยาง เป็นแท่งเชื่อมระหว่างดอกยาง บริเวณส่วนลึกสุดของร่องยาง (แต่ไม่ไช่ทุกร่อง) เมื่อใดที่ดอกยางสึกจนถึงแท่งนี้แล้ว ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ ของยางควบคู่กันไปด้วย เช่น สภาพของเนื้อยางมีการบวม หรือแตก เพราะยางบางเส้นอาจหมดอายุการใช้งานแล้ว 2 มิลลิเมตร ก็ตาม

6 ควรเขี่ยเศษก้อนกรวด เศษแก้ว ที่ติดอยู่บริเวณร่องยางออกให้หมด เพราะเศษกรวดเหล่านี้ อาจเบียดแทรกและทิ่มตำเนื้อยางให้เสียหายได้


เกร็ดความรู้ดีๆจาก #ประกันภัยรถยนต์
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : tlcthai.com

วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

เรื่องของ พ.ร.บ.

กว่าสองทศวรรษที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มีผลใช้บังคับ ทำให้ประเทศไทยมีการใช้บังคับสำหรับการประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ ที่บังคับให้เจ้าของรถหรือผู้ใช้รถทุกคนต้องทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ การประกันภัย พ.ร.บ. ความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. นี้ แยกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นความคุ้มครองที่เรียกว่า “ค่าเสียหายเบื้องต้น” ซึ่งถูกกำหนดตามกฎหมายให้มีความคุ้มครอง สำหรับค่ารักษาพยาบาลผู้ประสบภัยไม่เกิน คนละ 15,000 บาท และค่าปลงศพ กรณีผู้ประสบภัย เสียชีวิต คนละ 35,000 บาท

ค่าเสียหายเบื้องต้นในส่วนนี้กฎหมายกำหนดให้บริษัทที่รับประกันภัยต้องชดใช้ ให้แก่ผู้ประสบภัยที่เกิดจากรถคันที่ทำประกันภัยไว้ หรือแก่ทายาทของผู้ประสบภัยที่ได้รับอันตรายแก่ชีวิตภายใน 7 วันนับแต่ได้รับการเรียกร้องโดยไม่ต้องพิสูจน์ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่าย ถูก ตามหลักของการประกันภัยค้ำจุนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แต่อย่างใด ทั้งนี้ เพื่อให้การคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับมีผลในการช่วย บรรเทาผลร้ายจากการเกิดอุบัติเหตุจากรถได้อย่างรวดเร็ว และ ทำให้เกิดความมั่นใจกับทุกส่วน ทุกองค์กร ที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง

สำหรับความคุ้มครองในส่วนที่สอง กำหนดเป็นค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ประสบภัยที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวนไม่เกินคนละ 50,000 บาท และค่าชดเชยกรณีที่ผู้ประสบภัยรายนั้นต้องพักรักษาตัวในสถานพยาบาลโดยลง ทะเบียนเป็นคนไข้ในอีกวันละ 200.-บาท ไม่เกิน 20 วัน ถ้าหากผู้ประสบภัยได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต ทายาทจะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากกรมธรรม์คนละ 200,000 บาท

ในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับนี้ถือว่าค่า เสียหายส่วนแรกเป็นส่วนหนึ่งของค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ เมื่อมีการชดใช้ค่าเสียหายส่วนแรกไปแล้ว เมื่อจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ก็จะหักเงินค่าเสียหายส่วนแรกออกไป ก่อน แล้วจึงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนส่วนที่เหลือให้กับผู้ประสบภัย หรือทายาทของผู้ประสบภัยแล้วแต่กรณี

ที่กล่าวมายืดยาวทั้งหมดนี้ผมมีเจตนาที่จะปูพื้นให้ทุกท่านเข้าใจกับ กรมธรรม์ ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับของประเทศไทยโดยสังเขปเท่านั้น เพราะสิ่งที่อยากจะกราบ เรียนท่านผู้อ่านทุกท่านในวันนี้เป็นเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นมิติใหม่สำหรับการชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้น ด้วยการเปิดใจกว้างของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งมีผลให้เกิดความ สะดวกรวดเร็วในการขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นของผู้ประสบภัยเป็นอย่างยิ่ง

นับตั้งแต่ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัย พ.ศ.2535 ใช้บังคับการจ่ายค่าเสีย หายเบื้องต้น สำหรับรถที่ได้ทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับไว้ถูกกำหนดให้เป็นหน้า ที่ของบริษัทที่รับประกันภัยที่จะต้องจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นภายใน7 วันนั้น แต่ได้ รับการร้องขอโดยไม่ต้องรอผลการพิสูจน์ความรับผิดแต่อย่างใด ต่อมาได้มีการแก้ไข พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถให้บริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยรถ ยนต์ ทุกบริษัทร่วมลงทุนจัดตั้งบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด เพื่อให้เป็นบริษัทที่ดำเนินการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยรถ ยนต์ภาค บังคับให้แก่ผู้ประสบภัย โดยให้มีการบริการครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย ดังนั้นการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับบริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยรถยนต์ ภาคบังคับไว้ จึงสามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที โดยการจัดการของบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด

แต่เนื่องจากรถที่วิ่งอยู่บนถนนทุกคันไม่ได้มีการประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. ทุกคัน รวมไปถึงรถที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำประกันภัย เช่น รถราช การ หรือ รถยนต์ทหาร เป็นต้น รถยนต์เหล่านี้เมื่อเกิดอุบัติเหตุมีผู้ประสบภัยไม่ว่า บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต จำเป็นที่จะต้องมีผู้รับผิดชอบในเบื้องต้น เพื่อให้สอดคล้อง กับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ดังนั้น พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถจึงกำหนดให้จัดตั้งกองทุนคุ้มครองผู้ ประสบภัยจากรถ พร้อมๆ กับที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถมีผลบังคับ โดยกำหนดให้กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจากรถชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ ประสบภัย หรือทายาทผู้ประสบภัยแล้วแต่กรณี ผู้ที่ดูแลและทำหน้าที่จ่ายเงินของกองทุน นี้ คือ หน่วยงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ประกันภัยทั่วประเทศ

ดังนั้น การชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้น ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จึงแยกกันเป็นสองส่วนโดยกำหนดให้ผู้ประสบภัยจากรถ ที่ทำประกันภัยไว้รับค่าเสียหายเบื้องต้นจากบริษัทที่รับประกันภัย หรือรับจากบริษัท กลางคุ้ม ครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด แล้วแต่ความสะดวกของผู้ประสบภัย แต่สำหรับผู้ประสบภัยจากรถที่ได้มีประกันภัยจะต้องรับค่าเสียหายเบื้องต้น จากกองทุนทดแทน ผู้ประสบภัยเท่านั้น แต่นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2555 กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจากรถ ได้ปรับปรุงระเบียบการชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นในส่วนของค่ารักษาพยาบาล โดยได้มอบหมายให้ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด สามารถชดใช้ค่ารักษาพยาบาลในส่วนของค่าเสียหายเบื้องต้นให้กับผู้ประสบภัย หรือสถาน พยาบาลที่มีสิทธิ์ขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นได้แทนผู้ประสบภัยได้แล้ว แต่สำหรับค่าเสียหายเบื้องต้นกรณีเสียชีวิต ทายาทผู้ประสบภัยยังคงต้องไปขอรับจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย เช่นเดิมนะครับ

ผลจากการปรับปรุงระเบียบนี้ของกองทุนคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เชื่อว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวก และทำให้เกิดความมั่นใจในระบบการประกันภัยภาคบังคับได้อย่างมากมายนะครับ คงต้องมาดูผลการประเมินกันต่อไปว่าเป็นอย่างไร

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

โทษในความผิดเกี่ยวกับการจราจร เป็นอย่างไร

โทษในความผิดเกี่ยวกับการจราจร เป็นอย่างไร
  • ความผิดเกี่ยวกับ การขับขี่รถ และเกิดอุบัติเหตุนั้นมีหลายระดับดังต่อไปนี้ครับ
  • ขับรถชนทรัพย์สิน หรือ ชนกัน เสียหาย ไม่มีคนเจ็บ จะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาทครับ ( ปรับจบคดีได้ในชั้นพนักงานสอบสวน )
  • ขับรถชนทรัพย์สิน หรือ ชนกัน เสียหาย ่มีคนเจ็บแต่เจ็บไม่มาก แพทย์ลงความเห็นรักษาาตัวไม่เกิน 20 วัน จะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาทและ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน ครับ ( ปรับจบคดีได้ในชั้นพนักงานสอบสวน )
  • ขับรถชนทรัพย์สิน หรือ ชนกัน เสียหาย ่มีคนเจ็บ แพทย์ลงความเห็นรักษาาตัวเกินกว่า 20 วัน กฏหมายถือว่าเป็นการบาดเจ็บสาหัส จะมีโทษปรับไม่เกิน 6,000 บาทและ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 300 ครับ (จะต้องฟ้องศาลครับ จบคดีชั้นพนักงานสอบสวนไม่ได้)
  • ขับรถทรัพย์สิน หรือ ชนกัน หรือ ชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท ตาม ป.อาญามาตรา 291 ครับ


ปอ. มาตรา ๓๐๐
ผู้ใด กระทำโดยประมาท และ การกระทำนั้น เป็นเหตุให้ ผู้อื่น รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน สามปี หรือ ปรับไม่เกิน หกพันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

ปอ. มาตรา ๒๙๑
ผู้ใด กระทำโดยประมาท และ การกระทำนั้น เป็นเหตุให้ ผู้อื่น ถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน สิบปี และ ปรับไม่เกิน สองหมื่นบาท

ปอ. มาตรา ๕๙
บุคคล จะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อ ได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่ จะได้กระทำ โดยประมาท ในกรณีที่ กฎหมายบัญญัติ ให้ต้องรับผิด เมื่อได้กระทำ โดยประมาท หรือเว้นแต่ ในกรณีที่ กฎหมายบัญญัติไว้ โดยแจ้งชัด ให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำ โดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึก ในการที่กระทำ และ ในขณะเดียวกัน ผู้กระทำ ประสงค์ต่อผล หรือ ย่อมเล็งเห็นผล ของการกระทำนั้น
ถ้า ผู้กระทำ มิได้รู้ ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบ ของความผิด จะถือว่า ผู้กระทำ ประสงค์ต่อผล หรือ ย่อมเล็งเห็นผล ของการกระทำนั้น มิได้
กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิด มิใช่โดยเจตนา แต่กระทำ โดยปราศจาก ความระมัดระวัง ซึ่ง บุคคล ในภาวะเช่นนั้น จักต้องมี ตาม วิสัย และ พฤติการณ์ และ ผู้กระทำ อาจใช้ความระมัดระวัง เช่นว่านั้นได้ แต่ หาได้ใช้ ให้เพียงพอไม่
การกระทำ ให้หมายความรวมถึง การให้เกิดผล อันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้น การที่จักต้องกระทำ เพื่อป้องกันผลนั้นด้วย

ปอ. มาตรา ๒๙๗
ผู้ใด กระทำความผิด ฐานทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ ผู้ถูกกระทำร้าย รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ หกเดือน ถึง สิบปี
อันตรายสาหัส นั้นคือ
(๑) ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือ เสีย ฆานประสาท
(๒) เสีย อวัยวะสืบพันธุ์ หรือ ความสามารถสืบพันธุ์
(๓) เสีย แขน ขา มือ เท้า นิ้ว หรือ อวัยวะอื่นใด
(๔) หน้าเสียโฉม อย่างติดตัว
(๕) แท้งลูก
(๖) จิตพิการ อย่างติดตัว
(๗) ทุพพลภาพ หรือ ป่วยเจ็บเรื้อรัง ซึ่ง อาจถึง ตลอดชีวิต
(๘) ทุพพลภาพ หรือ ป่วยเจ็บ ด้วยอาการ ทุกขเวทนา เกินกว่า ยี่สิบวัน หรือ จนประกอบกรณียกิจ ตามปกติ ไม่ได้ เกินกว่า

 เกร็ดความรู้ดีๆจาก #ประกันภัยรถยนต์
ที่มา carinsurance.co.th

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 แบบมีค่า excess น่าทำหรือเปล่า เพราะเบี้ยถูก



          ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ทั้งซ่อมศูนย์ หรือซ่อมอู่ เบี้ยประกันยังค่อนข้างสูงอยู่ แต่หลายๆ คนยังอยากจะทำประกันชั้น 1 เพื่อให้ความคุ้มครองที่สูงสุด เช่น ขับรถถอยชนเสา ชนรั้ว ก็คุ้มครอง น้ำท่วมก็คุ้มครองเต็มจำนวนทุนประกันด้วย ก็อาจจะต้องต้องลงเอยกับประกันรถยนต์ชั้น 1 แบบมีค่าเสียหายส่วนแรก (Excess or Deductible) จะทำให้เบี้ยถูกว่าเดิมมากทีเดียว แต่ก็ต้องแลกกับ ค่าเสียหายส่วนแรก กรณีที่เราเกิดอุบัติเหตุ แล้วเป็นฝ่ายผิด ซึ่งอาจจะต้องจ่าย (3,000 – 5,000 บาท) ตามแคมเปญจ์การขายของแต่ละบริษัท ผม ขอยกตัวอย่างประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ทุนประกัน 300,000 บาท เก็บค่าเสียหายส่วนแรก 5,000 บาท เบี้ยประกัน 8,200 บาท และยังรับรถยนต์ได้ถึง 10 ปี รถหาย ไฟไหม้ หรือรถเสียหายจากอุบัติเหตุ เคลมได้ถึง 300,000 บาท แต่ในทางกลับกัน หากรถยนต์ของเราเกิดอุบัติเหตุ แถมเป็นฝ่ายผิด เราก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายไป 5,000 บาท ต่อครั้ง คิดไปคิดมา แล้วมันจะคุ้มมั้ยเนี้ย ชน 2 ครั้ง ถ้ารวมกับเบี้ยเดิม ก็จ่ายเกือบ 20,000 บาท (แต่ถ้ามองในมุมกลับอีกด้านหนึ่ง เราจะมีสมาธิในการขับรถยนต์มากยิ่งขึ้น และมันก็เป็นผลในการลดอุบัติเหตุ และลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นด้วยนะครับ) ฉะนั้น หากเราจะทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ที่เก็บค่า excess ก็ควรจะมั่นใจว่าเรามีประวัติการขับขี่รถยนต์ส่วนใหญ่แทบไม่เคยเกิด อุบัติเหตุเลย หรือส่วนใหญ่ในการเกิดอุบัติเหตุแต่เป็นฝ่ายถูก หรือกรณีเกิดอุบัติเหตุที่เราเป็นฝ่ายผิด แต่เมื่อประเมินค่าซ่อมแล้วน้อยมาก ก็ควักเงินเราจ่ายแทนก็ได้ ไม่ต้องเรียกประกัน เช่น เกิดอุบัติเหตุชนกับมอเตอร์ไซค์แล้วเราเป็นฝ่ายผิดเต็มๆ ทางคู่กรณีเรียกร้อง ค่าเสียหายรวม 2,000 บาท เราก็จ่ายเอง ไม่ต้องเรียกประกัน เพราะถ้าเราเรียกประกัน เราอาจจะต้องจ่ายถึง 5,000 บาท แล้วอย่างไหนจะคุ้มกว่ากัน

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

ใช้เบรกมือถูกวิธี ช่วยลดอุบัติเหตุ



dfsdk1868535
จุลสารลด หยุด ภัย ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัย ประจำเดือนกุมภาพันธ์ คอลัมน์รู้รอดปลอดภัย เสนอรายละเอียด ใช้เบรกมือถูกวิธี ช่วยลดอุบัติเหตุ ขออนุญาตผ่านตรงนี้ คัดลอกเพื่อเผยแพร่ครับ
เบรกมือเป็นอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาสำหรับใช้ขณะรถจอด หรือหยุดนิ่ง แต่ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่มักละเลยและไม่ใช้ในสถานการณ์ที่จำเป็น จนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ เพื่อความปลอดภัยขอแนะวิธีใช้อย่างถูกต้อง
ก่อนสตาร์ตรถ ควรตรวจสอบเกียร์ให้อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง พร้อมดึงเบรกมือขึ้น เพื่อป้องกันคันเกียร์ค้างขณะสตาร์ตเมื่อจะออกรถจึงค่อยปลดเบรกมือเป็นขั้น ตอนสุดท้าย โดยผู้ขับขี่ควรใช้เบรกมือในสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนี้

กรณีรถติดอยู่บนเส้นทางลาดชัน สะพาน
ให้ ดึงเบรกมือขึ้น เพื่อป้องกันรถไหลไปชนรถที่จอดอยู่ด้านหลัง เมื่อจะออกรถให้เหยียบเบรกเท้า เข้าเกียร์ แล้วค่อยปลดเบรกมือ พร้อมเหยียบคันเร่งให้สัมพันธ์กัน

กรณีรถจอดติดไฟแดง หรือการจราจรติดขัดเป็นเวลานาน
ให้ดึงเบรกมือขึ้นแทนการเหยียบเบรกเท้าค้างไว้ เพราะอาจเผลอยกเท้าขึ้น ทำให้รถเคลื่อนตัวไปชนท้ายรถคันหน้า
กรณีจอดรถบนทางลาดชัน ควรดึงเบรกมือขึ้นทุกครั้ง ป้องกันรถไหล กรณีเบรกแตก ให้กดปุ่มล็อกเบรกมือ พร้อมดึงเบรกมือขึ้นลงถี่ ๆ ห้ามดึงเบรกมืออย่างรุนแรงในขณะที่ล้อหน้ายังไม่หยุดหมุน เพราะอาจบังคับทิศทางรถไม่ได้ ทำให้รถพลิกคว่ำ พร้อมชะลอความเร็วรถโดยค่อย ๆ ลดเกียร์ลงตามลำดับ จะช่วยหยุดรถอีกทาง

ข้อเตือนใจ ก่อนออกรถ
ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ได้ขึ้นเบรกมือไว้ เพราะการขับรถโดยลืมปลดเบรกมือ นอกจากจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับขี่แล้ว ยังทำให้ผ้าเบรกสึกหรอ และหมดอายุใช้งานเร็วกว่าปกติ

ห้ามใช้เกียร์แทนการขึ้นเบรกมือขณะจอดรถ
เพราะหาก สตาร์ตรถในขณะที่รถเข้าเกียร์จะทำให้รถพุ่งไปข้างหน้าจนเกิดอุบัติเหตุได้.

เกร็ดความรู้ดีๆจาก #ประกันภัยรถยนต์

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

เช็ครถหลังจากเดินทางไกล


2964driving
      หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า ก่อนที่จะเดินทางไปเที่ยวที่ไหนซักเเห่ง ก็ได้เตรียมรถให้พร้อม  ก่อนเดินทางไกลเป็นอย่างดีแล้ว แต่ครั้นเดินทางกลับมาจากท่องเที่ยวหรือไปต่างจังหวัด มีความจำเป็นเพียงใดกับการเช็กสภาพรถยนต์หลังจากที่ได้ใช้งานมันมาอย่างหนัก
และถ้าจำเป็นที่จะต้องตรวจเช็กแล้ว เราจะต้องตรวจเช็กอะไร จุดไหนกันบ้าง

1. ตรวจสภาพรถ
ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเฟืองท้ายและสังเกตอาการผิดปรกติต่างๆของตัวรถ
เพื่อแก้ไขได้ทันท่วงที อย่าลืมนะว่าช่วงที่ผ่านมาใช้งานมันหนักขนาดไหน
บางคนขับลุยป่าลุยเขามาหลาย ๆ คันขับกันเป็นพันๆ กิโลเมตร
แน่นอนว่าของเหลวพวกน้ำมันต่างๆ ย่อมเสื่อมประสิทธิภาพลงไป
หากเปลี่ยนถ่ายได้ก็จะเป็นการดี เช่น พวกน้ำมันเครื่อง เป็นต้น
tire

2. ตรวจสภาพยางรถ
ถึงแม้ยางรถยนต์ของคุณจะเป็นยางใหม่ก็ตาม ดอกยางยังไม่เสื่อม
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกิดการบุบสลายของยาง ยิ่งรถที่วิ่งทางไกลและขับลุยเส้นทางโหดๆ
ขึ้นเขาลงห้วยมาด้วยแล้ว ควรจะตรวจเช็กสภาพยางด้วย ดีไม่ดีอาจจะเห็นรอยลึก
รอยปริแตก หรือไม่ก็เจอตะปูตำอยู่ก็เป็นได้

3. ตรวจเช็กระบบไฟ
ระบบไฟนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการเดินทาง ทั้งตัวเอง
ผู้โดยสารและผู้คนที่ใช้เส้นทางร่วมกับคุณ
ควรตรวจเช็กไฟต่างๆ มีความพร้อมดีหรือไม่ ทั้งไฟส่องทาง ไฟสูง ไฟต่ำ ไฟเลี้ยว ไฟเบรก

4. ตรวจเช็กระบบเบรก
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นตัวเอง รวมถึงผู้ใช้ถนนด้วยกัน
ยิ่งคุณใช้งานหนักมาจากการเดินทางไกลด้วย ดังนั้นควรตรวจเช็กสภาพเบรกให้มีประสิทธิภาพ
ถ้ารู้ว่าเบรกไม่ค่อยอยู่ก็ควรเข้าอู่หรือศูนย์ปรับตั้งเบรก หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าเบรกก็ต้องทำ
moenum

5. ตรวจเช็กหม้อน้ำ
น้ำในหม้อน้ำถือเป็นหัวใจสำคัญของรถ ยิ่งรถคุณมีอายุการใช้งานมากปีและขับขี่มาไกล
ระดับน้ำในหม้อน้ำอาจหดหาย หรืออาจจะเกิดชำรุดที่หม้อน้ำ ก็อาจจะส่งผลเสียใหญ่ตามมา
ดังนั้นนอกจากจะต้องตรวจระดับน้ำในหม้อน้ำให้เป็นปรกติแล้ว ต้องสำรวจสภาพหม้อน้ำ ท่อยาง
เหล็กรัดท่อยาง ฝาหม้อน้ำด้วย ที่สำคัญควรตรวจเช็กระดับน้ำในหม้อน้ำเป็นประจำทุกวัน

6. ระบบอากาศ
เริ่มตั้งแต่ไส้กรองอากาศ ถอดมาทำความสะอาดให้เรียบร้อย หากไส้กรองอากาศสกปรกมาก
นอกจากจะทำให้เครื่องยนต์หลวม และยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากอีกด้วย
รวมถึงการเช็กท่อยางดูดอากาศว่า มีรอย รั่วหรือชำรุดหรือไม่
หากรถคุณมีอินเตอร์และท่อยางอินเตอร์ก็ต้องตรวจดูด้วยว่าหลุดหลวมจุดใดบ้าง

เทคนิคและข้อแนะนำง่ายๆ เกี่ยวกับการเช็กรถหลังจากเดินทางไกล เป็นเรื่องง่ายๆ ที่สามารถจะนำไปปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
หาก นำไปปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณเกิดความปลอดภัย และประหยัดเงินในการดูแลบำรุงรักษารถยนต์ได้เลยทีเดียว
เกร็ดความรู้ดีๆ จาก #ประกันภัยรถยนต์

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

ถ้าจะยกเลิกกรมธรรม์ทำได้ไหม

ผู้เอาประกันภัยและบริษัทสามารถบอกเลิกกรมธรรม์ได้ ดังต่อไปนี้
  1. บริษัทจะบอกเลิกกรมธรรม์ฯนี้ได้ ด้วยการส่งหนังสือบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า    15 วัน  โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงผู้เอาประกันภัยตามที่อยู่ครั้งสุดท้ายที่แจ้ง ให้บริษัททราบ  ในกรณีนี้บริษัทจะคืนเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยหักเบี้ยประกัน ภัยสำหรับระยะเวลาที่กรมธรรม์ได้ใช้บังคับมาแล้วออกตามส่วน
  2. ผู้เอาประกันภัยจะบอกเลิก กรมธรรม์นี้ได้ โดยแจ้งให้บริษัททราบเป็นลายลักษณ์อักษรและมีสิทธิได้รับเบี้ยประกันภัยคืน ตามอัตราการคืนเบี้ยประกันภัยที่ระบุไว้
  3. กรณีที่เป็นการประกันภัยกลุ่มและมีการลดจำนวนรถยนต์ ให้คืนเบี้ยประกันภัยเฉลี่ย   รายวัน
จำนวนวัน
ประกันภัย
ร้อยละของเบี้ยประกันภัยเต็มปี
จำนวนวัน
ประกันภัย
ร้อยละของเบี้ยประกันภัยเต็มปี
จำนวนวัน
ประกันภัย
ร้อยละของเบี้ยประกันภัยเต็มปี
1-9
10
120-129
46
240-249
75
10-19
15
130-139
49
250-259
77
20-29
19
140-149
52
260-269
80
30-39
21
150-159
54
270-279
82
40-49
24
160-169
57
280-289
84
50-59
27
170-179
60
290-299
86
60-69
30
180-189
62
300-309
88
70-79
32
190-199
64
310-319
91
80-89
35
200-209
67
320-329
93
90-99
38
210-219
69
330-339
95
100-109
41
220-229
71
340-349
97
110-119
43
230-239
73
350-359
99
360-366
100
TQM Insurance Broker ประกันภัยรถยนต์