วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ข้อยกเว้นการคุ้มครองตามกรมธรรม์ พ.ร.บ.รถยนต์ มีอะไรบ้าง

ข้อยกเว้นทั่วไป
กรมธรรม์ไม่คุ้มครองความเสียหาย หรือ ความรับผิดอันเกิดขึ้นเป็นผลโดยตรง หรือ โดยอ้อมจาก
1. สงคราม การรุกราน การกระทำของชาติศัตรู การสู้รบ หรือ การปฏิบัติการอันเป็นลักษณะของการทำสงคราม ( จะได้ประกาศสงคราม หรือไม่ ก็ตาม )
2. สงครามกลางเมือง การแข็งข้อของทหาร การกบฏ การปฏิวัติ การต่อต้านรัฐบาล การยึดอำนาจการปกครองรัฐบาลของทหาร หรือโดยประการอื่น ประชาชนก่อความวุ่นวายถึงขนาดเท่ากับการลุกฮือต่อต้านรัฐบาล
3. วัตถุอาวุธปรมณู
4. การแตกตัวของประจุ การแผ่รังสี การกระทบจากกำมันตภาพรังสี ปรมณู หรือจากกาก ปรมณู หรือ เกิดจากการเผาไหม้ ปรมณูการผานั้นรวมถึงกรรมวิธีใด ๆ แห่งการแตกตัวปรมณู ซึ่งดำเนินติดต่อไปด้วยตัวเองมันเอง
ความเสียหายต่อทรัพย์สินที่จะได้ไม่ได้รับความคุ้มครอง
1. ทรัพย์สินที่ผู้เอาประกัน ผู้ขับขี่ที่เป็นฝ่ายต้องรับผิดตามกฏหมาย คู่สมรส บิดา มารดา บุตร ของผู้เอาประกันภัยรถยนต์หรือที่ผู้ขับขี่เป็นเจ้าของ หรือ เป็นผู้เก็บรักษา ควบคุม หรือ ครอบครอง
2. เครื่องชั่ง สะพานรถ สะพานไฟ ถนน ทางวิ่ง ทางเดิน สนาม หรือ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่อยู่ใต้สิ่งดังกล่าว อันเกิดจากการสั่นสะเทือน หรือ น้ำหนักรถยนต์ หรือ น้ำหนักบรรทุกของรถยนต์
3. ทรัพย์สินที่บรรทุกอยู่ใน หรือ กำลังยกขึ้น หรือกำลังยกลงจากรถยนต์
ข้อยกเว้นทั่วไปการประกันภัยไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจาก
1. การใช้รถยนต์นอกอาณาเขตคุ้มครอง
2. การใช้รถยนตฺ์ในทาผิดกฏหมายเช่น ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ หรือ ขนยาเสพติด
3. การใช้ในการแข่งขันความเร็ว
4. การใช้ลากจูง หรือ ผลักดัน เว้นที่รถที่ลากจูงหรือ ผลักดัน ได้ประกันภัยไว้กับบริษัทด้วย หรือเป็นรถลากจูงโดยสภาพ หรือ เป็นรถที่มีระบบห้ามล้อเชื่อมโยงกัน
5. ความรับผิดที่เกิดจากสัญญาที่ผู้ขับขี่ทำขึ้น ซึ่งถ้าไม่ทำสัญญานั้นแล้วความรับผิดจากไม่เกิดขึ้น
6. การขับขี่โดยบุคคล ซึ่งขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดไม่น้อยกว่า 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
การยกเว้นความเสียหายต่อรถยนต์
1. การเสื่อมราคา หรือการสึกหรอ ของรถยนต์
2. การแตกหัก ของเครื่องจักรกลไล ของรถยนต์ หรือการเสีย หรือการหยุดเดินของเครื่องจักรกลไก หรือเครื่องไฟฟ้าของรถยนต์อันมิได้เกิดจากอุบัติเหตุ
3. ความเสียหายโดยตรงของรถยนต์อันเกืดจากการบรรทุกน้ำหนัก หรือจำนวนผู้โดยสารเกินกว่าที่ได้รับอนุญาต มิได้เกิดจากอุบัติเหตุ
4. ความเสียหายต่อยางรถยนต์ อันเกิดจากการฉีกขาด หรือการระเบิด เว้นแต่กรณีมีความเสียหายเกิดขึ้น ต่อส่วนอื่นของรถยนต์ในเวลาเดียวกัน
5. ความเสียหายอันเกิดจากการขาดการใช้รถยนต์ เว้นแต่การขาดการใช้รถยนต์นั้นเกิดจากการประวิงการซ่อม หรือซ่อมล่าข้า เกินกว่าที่ควรจะเป็น โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
การยกเว้นการใช้อื่น ๆ
การขับขี่โดยบุคคลที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับขี่ใด ๆ หรือเคยได้รับแต่ถูกตัดสิทธิตามกฏหมาย หรือใช้ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ไปขับขี่รถยนต์ แต่ในกรณีที่เป็นการประกันภัยประเภทระบุชื่อผู้ขับขี่ การยกเว้นตามข้อนี้จะไม่นำมาบังคับใช้ หากผู้ขับขี่ตามกฏหมาย เป็นผู้ขับขี่ที่ถูกระบุชื่อไว้แล้วตามกรมธรรม์ประกันภัย

การยกเว้นเรื่องรถยนต์สูญหาย หรือไฟไหม้
การประกันภัยรถยนต์ ( กรณีทำประกันประเภทที่คุ้มครองไฟไหม้ หรือ สุญหาย ) ไม่คุ้มครองความสูญหาย หรือ ไฟไหม้ อันเกืดจาก ความเสียหาย หรือ สูญหายจากการลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์โดยบุคคลที่ได้รับมอบหมาย หรือ ครองครองรถยนต์ตามสัญญาเช่า สัญญาเช่าซื้อ หรือสัญญาจำนำ หรือโดยบุคคลที่จะกระทำสัญญาดังกล่าว
ที่มา : เนื้อหากรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภทที่ 1 ( จาก คปภ)
ด้วยความปราถนาดีจากบริษัท TQM Insurance Broker

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ ชนคนตาย จ่ายหรือไม่


hotnews02

ประกันภัยรถยนต์ภาค บังคับ หรือที่หลายๆ คนเรียก ประกัน พรบ.รถยนต์ ซึ่งก็เป็นไปตามชื่อเลยครับ รัฐบังคับเจ้าของรถต้องทำประกันดังกล่าว แต่เราต้องยอมรับว่า ผลประโยชน์ส่วนหนึ่งจะตกกับผู้ได้รับบาดเจ็บ ทุพลภาพถาวร หรือผู้เสียชีวิต (ทายาท) จากอุบัติเหตุทางรถต่างๆ เพื่อให้มีค่ารักษาพยาบาล และค่าชดเชยหากมีการเสียชีวิตให้กับทายาท
แต่ชาวบ้านทั่วๆ ไป อาจจะไม่รู้ว่าตัวเองจะมีสิทธิเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล หรือค่าปลงศพ หรือค่าชดเชยกรณีทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต จากกรณีเป็นผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุจากรถ ผมขอยกตัวอย่าง มีชายสูงอายุคนหนึ่ง ขับรถมอเตอร์ไซค์อยู่ดีๆ แต่แล้วมีรถกระบะคันหนึ่งขับรถถอยหลังมาชนอย่างแรง จนเป็นเหตุให้ชายสูงอายุได้เสียชีวิต ภรรยาและลูกต้องสูญเสียผู้นำครอบครัวซึ่งเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปเรียกร้องอย่างไร กับใครได้บ้าง ลองมาดูว่าเราควรจะเริ่มเรียกร้องสิทธิของเราได้อย่างไรบ้าง
1. ดูว่ารถของเราได้ทำประกัน พรบ.รถยนต์ ไว้หรือไม่ เพราะเคสนี้ รถมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ทำประกัน พรบ.ไว้ แต่ทางตำรวจได้ทำสำนวนไว้ว่าคนขับรถกระบะ เป็นฝ่ายผิด ขับรถยนต์คนตายด้วยความประมาท และไม่ได้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และได้ขับรถยนต์หนีไป ลองมาดูว่าผู้เสียชีวิต ฉะนั้นทายาทของผู้เสียชีวิต ค่าชดเชยจะได้ค่าชดเชยจากการเสียชีวิตของสามี 200,000 บาท แต่ในเบื้องต้น จะได้ค่าปลงศพ (ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น) 35,000 บาท จากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจากรถก่อน โดยปกติเราอาจจะเรียกร้องจากบริษัทประกัน ที่จำหน่าย พรบ.ให้เรา แต่ว่าผู้เสียชีวิต ไม่ได้ทำ พรบ.ไว้ จึงต้องไปเรียกร้องจากกองทุนฯก่อน หรือจะรอเรียกร้องจากบริษัทประกันภัย ผู้เป็นฝ่ายผิด ทั้งหมดเลยก็ได้
2. คู่กรณีได้ทำประกัน พรบ.รถยนต์ ไว้หรือไม่ ในเคสนี้ คู่กรณีได้ทำประกันไว้ แต่บริษัทประกันก็ไม่ได้จ่ายเงินง่ายๆ ครับ เพราะเค้าต้องรอให้ศาลพิจารณา ตัดสินเรียบร้อยแล้ว หากคูกรณีที่ขับรถกระบะ เป็นฝ่ายผิดถึงจะจ่าย ฉะนั้นมันก็ใช้เวลายาวนานแน่นอนครับ ซึ่งเคสนี้ ก็เกือบจะ 6 เดือนแล้ว ตอนนี้ก็คงต้องรอให้ศาลพิจารณาตัดสินให้แล้วเสร็จ และนำผลการตัดสินของศาลไปดำเนินการแจ้งกับบริษัทประกันภัยฯ เพื่อไปเรียกร้องค่าชดเชยจากบริษัท
3. การเรียกร้องค่าชดเชย ยากหรือง่าย? มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดครับ เพราะจากข้อที่ 1 คู่กรณีไม่ได้ทำประกัน พรบ.รถยนต์ไว้ ซึ่งจริงๆ ก็จะต้องแจ้งต่อตำรวจเพื่อเปรียบเทียบปรับ สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ไม่มากไม่น้อยทีเดียว ไม่สำหรับคนไม่มีเงินทอง เพื่อที่จะได้นำหลักฐานไปพิสูจน์ว่าไม่ได้ไปเบิกเงินจากกองทุนทดแทนผู้ประสบ ภัยจากรถ เพื่อจะให้ได้รับเงินเต็มจำนวน 200,000 บาท จากบริษัทประกันภัยของคู่กรณี
การเรียกร้องเป็นสิ่งที่ผู้สูญเสียควรจะทำ แต่จะทำอย่างไร ขั้นตอนเป็นอย่างไร และจะได้รับเงินหรือไม่ และเท่าไหร่ ทุกอย่างก็ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ ซึ่งเราได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์จากตัวแทน นายหน้า หรือบริษัทประกันภัยที่ใส่ใจให้บริการลูกค้า มิใช่มุ่งหวังแต่กำไร และผลประโยชน์ทางธุรกิจเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามไม่ควรลืมว่าการทำประกันภัยรถยนต์ เป็นทั้งภาคบังคับที่ทุกเจ้าของรถฯ ทุกท่านควรจะทำไว้ แต่หากมีกำลังทรัพย์เพียงพอ ก็สามารถซื้อความคุ้มครองที่เพิ่มสูงขึ้นตามความเหมาะสม ก็ถือว่าเราได้บริหารความเสี่ยงฯ ที่ดีแล้ว แต่ที่สำคัญที่สุด การขับขี่รถยนต์หรือยานพาหนะทางบกต่างๆ ควรกระทำด้วยระมัดระวัง ไม่ประมาท เพราะถ้าหากพลาด มันหมายถึง ทรัพย์สิน ชีวิตอันมีค่า และอาจจะไม่สามารถเรียกร้องกลับมาได้อีก

ประกันภัยรถยนต์

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ไม่อยาก "เบรกแตก"..ต้องอ่าน!



ทุกคนต่าง รู้ดีว่าระบบเบรกที่ดี ย่อมหมายถึงความปลอดภัยของทุกชีวิตบนท้องถนน แต่ในทางกลับกัน เวลาเข้าศูนย์หรือตรวจเช็ครถตามระยะ เรามักตรวจสอบเครื่องยนต์ เกียร์ และล้อ โดยมองข้ามระบบเบรกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามักไม่ใส่ใจในการเลือกน้ำมัน เบรกที่ใช้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการขับขี่อย่างปลอดภัย
เพราะ น้ำมันเบรก ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลัง เมื่อเราเหยียบเบรก แรงดันที่เหยียบจะถูกถ่ายทอดผ่านน้ำมันเบรกเข้าไปในระบบห้ามล้อทั้ง 4 ล้อ ทำให้ความเร็วของรถช้าลง หรือหยุดตามแรงกดที่ต้องการ ซึ่งน้ำมันเบรกที่ดี นอกจากจะเป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลังแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติที่ดีอื่นๆ อีกด้วย 1. เป็นตัวหล่อลื่นส่วนต่างๆ ในระบบเบรก ช่วยป้องกันการสึกหรอ
2. ไม่เป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนที่เป็นโลหะในระบบหรือลูกยางต่างๆ
3. คงสภาพได้นาน แม้ว่าจะมีผลกระทบจากสิ่งแวดตามล้อมธรรมชาติ เช่นความชื้น
4. มีจุดเดือดสูงและไม่ระเหยง่าย ทนต่อแรงดันจากแรงเหยียบอย่างต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี

จากคุณสมบัติของน้ำมันเบรกดังกล่าว จุดเดือดของน้ำมันเบรกถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเนื่องจากเวลาเหยียบเบรกที่ ความเร็วสูงหรือบรรทุกหนัก อุณหภูมิที่ผ้าเบรกและจานเบรกจะสูงมาก ความร้อนดังกล่าวจะถ่ายเทมายังน้ำมันเบรกด้วย ถ้าน้ำมันเบรกมีจุดเดือดต่ำก็จะระเหยและกลายเป็นไอ ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลังในระบบเบรกได้ จึงทำให้เบรคไม่อยู่ หรือที่เรียกว่าเบรกแตกนั่นเอง


ดังนั้น ผู้ขับขี่จึงควรตรวจเช็คระดับของน้ำมันเบรกอยู่เป็นประจำว่าอยู่ในระดับที่ เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งหากน้ำมันเบรกมากเกินขีดสูงสุด อาจสันนิษฐานได้ว่ามีน้ำเข้าไปปนเปื้อน แต่ถ้าน้อยเกินขีดต่ำสุด อาจสันนิษฐานได้ว่ามีการรั่วซึมในระบบเบรก หรืออาจเกิดจากผ้าเบรกสึก ซึ่งทั้ง 2 กรณี จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลง ทำให้เกิดอาการเบรกไม่อยู่ได้


นอกจากตรวจระดับน้ำมันเบรกเป็นประจำแล้ว ยังควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกทุกๆ 1-2 ปี แม้ว่าจะไม่มีการรั่วหรือลดระดับลงก็ตาม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าหากเกิดเหตุกะทันหัน เบรกจะยังตอบสนองได้เป็นอย่างดี

อีก ข้อควรระวังก็คือ ไม่ควรนำน้ำมันเบรกต่างยี่ห้อ หรือต่างมาตรฐานกันมาใช้งานผสมกัน เพราะอาจทำให้เกิดปฏิกริยาทางเคมี ซึ่งเป็นสาเหตุให้คุณสมบัติของน้ำมันเบรกเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น หากต้องการเปลี่ยนยี่ห้อ หรือใช้น้ำมันเบรกที่มาตรฐานสูงขึ้น แนะนำให้ทำการล้างระบบเบรกก่อนทำการเปลี่ยนถ่าย

TQM Insurance Broker

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ข้อควรปฏิบัติเมื่อขับรถชนคน


หลายท่านคงมีประสบการณ์เกี่ยวกับอุบัติเหตุมาบ้าง คนส่วนใหญ่มักใส่ใจกับกฎหมายที่เกี่ยวกับกับรถ แต่สิ่งหนึ่งที่เรามักจะละเลยคือการปฎิบัติต่อคนเจ็บอย่างถูกต้อง ถูกวิธี
สิ่งแรกเมื่อคุณขับรถชนคน คือลงไปดูเหตุการณ์เพื่อประเมินสถานการณ์ เพื่อให้คุณตั้งสติได้ว่าขั้นตอนต่อไปควรทำอย่างไร ถ้าเขาบาดเจ็บไม่มาก หมายถึงสามารถเดิน พูดคุยได้ ก็ให้รอประกันมาเคลียร์ แต่ถ้าเขาบาดเจ็บปานกลาง คือ กระดูกหัก เป็นแผลเหวอะหวะในบริเวณที่ไม่สำคัญ ก็หาวิธีส่งไปโรงพยาบาลได้ แต่ถ้าถึงขั้นหมดสติ บาดเจ็บในตำแหน่งสำคัญ หรือ ไม่แน่ใจว่ารอดหรือไม่ ต้องรอรถพยาบาลอย่างเดียวครับ อย่าเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บเองเด็ดขาด
แจ้งประกันในทันที ถ้าคุณทำประกันภัยไว้กับบริษัทใด ไม่ว่าประกันชั้นหนึ่งหรือประกันบุคคลที่สาม คุณควรจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบในทันที ดังนั้น คุณจะต้องมีเบอร์ของบริษัทประกันภัย หรือ โรงพยาบาล หรือ สถานีตำรวจหลายๆ แห่งไว้ในรถ
หาคู่คิด ถ้าคุณคิดว่า เหตุการณ์ร้ายแรงเกินกว่าที่คุณจะรับมือได้ ให้ติดต่อผู้ใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เขาเดินทางมาสมทบโดยเร็ว บอกจุดให้ชัดเจน หรือ แจ้งเขาให้ทราบว่า คุณจะเดินทางไปไหนในจุดหมายต่อไป ให้เปิดมือถือไว้ตลอดเวลาเพื่อการติดต่อ และให้โทรบอกสถานการณ์เป็นระยะๆ อย่าให้ขาดการติดต่อแม้ว่าจะไม่มีความคืบหน้าใดๆ ก็ตาม
ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ถ้าผู้บาดเจ็บมีอาการหนักปานกลาง คือ บาดเจ็บในที่ไม่สำคัญ แต่ต้องรีบพาไปพบแพทย์โดยด่วน ให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยความระมัดระวังขึ้นรถของคุณ(หากยังพอขับได้) โดยอาศัยไทยมุงหรือคนแถวนั้น ช่วยกันหามขึ้นรถ โดยปกติ รถที่จะยอมจอดรับก็จะเป็นแท็กซี่ สามล้อและรถกระบะ อย่าเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บหนักด้วยตนเอง ในกรณีที่มีการบาดเจ็บในตำแหน่งที่สำคัญ เช่น ศีรษะ..คอ..สันหลัง ห้ามเคลื่อนย้ายเองโดยพลการ ไม่ว่าคนเจ็บจะร้องโอดโอย ขอให้ช่วยอย่างใดก็ตามแต่ คุณทำได้ดีที่สุด คือ อธิบายสถานการณ์ให้เขาเข้าใจ และเรียกรถพยาบาลโดยด่วน
ให้ความช่วยเหลือเหมือนเขาคือญาติสนิทของคุณ การที่คุณขับรถชนเขา ถือว่า คุณได้ทำร้ายร่างกายและจิตใจไม่ใช่เฉพาะตัวผู้บาดเจ็บเท่านั้น แต่ยังหมายถึงครอบครัวอันเป็นที่รักของเขาทุกคนด้วย ดังนั้น..แม้ว่าเขาจะไม่ได้เดินข้ามทางม้าลาย เขาวิ่งตัดหน้า ถือว่า คุณขับรถโดยประมาททั้งสิ้น ไม่มีวันที่จะเป็นฝ่ายถูกกฎหมายได้เลย การผ่อนหนักเป็นเบาที่ดีที่สุดก็คือ เขาและครอบครัวเห็นใจในความเอื้ออาทรของคุณ และยินยอมให้เรื่องจบไปโดยง่าย (แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณพ้นผิด) การไปเยี่ยมเยียนอย่างสม่ำเสมอพร้อมของฝากในระหว่างที่เขารักษาตัวและคดี ความยังดำเนินอยู่ ก็สำคัญมาก เพราะบันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากมีข้อความว่า "ผู้ขับขี่ได้บรรเทาทุกข์เบื้องต้นอย่างใส่ใจและครบถ้วนจนทำให้ผู้บาดเจ็บพอ ใจในระดับหนึ่ง" สำคัญมากครับ เพราะเมื่อถึงตอนศาลอ่านพบ มันทำให้ศาลพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า "จำเลยได้สำนึกผิดและให้การช่วยเหลือด้วยดีมาโดยตลอด"
ยอมรับสารภาพผิดเพื่อให้คดีจบเร็วขึ้นและได้รับการลดหย่อนโทษ "ขับขี่โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ (สาหัสหรือตาย)" มีโทษทัณฑ์ตามลำดับ คือ ตัดแต้ม..ยึดใบอนุญาต..ปรับ..ทั้งจำทั้งปรับ  ถ้าคุณสู้คดี โอกาสที่จะชนะมีแต่น้อยมาก และหากไม่ชนะอย่าลืมว่า เขาจะเรียกคุณเบิ้ลเท่าตัวเลยทีเดียว ถ้าคุณมั่นใจ 90 % ก็สู้คดีได้ แต่อย่าลืมว่าคุณเป็นผู้กระทำ เขาเป็นผู้ถูกกระทำให้ได้รับความเดือดร้อน พิการ ความรู้สึกทางด้านจิตใจ ตรงนี้เองที่คนที่เป็นผู้กระทำอดรนทนไม่ไหว ต้องเป็นฝ่ายยอมรับผิด เหตุเพราะสงสาร
กรณีเสียชีวิต แล้วคุณยอมรับผิด มาตรการที่ดีที่สุดคือ เจรจาค่าทำขวัญกับญาติของเขาให้จบไปถ้าคุณมีประกันภัย จะมีวงเงินคุ้มครองตรงนี้อยู่แล้ว แต่ญาติผู้ตายมักเรียกร้องเกินกว่าที่ประกันภัยจะยอมชดใช้ ก็อยู่ในวิจารณญาณของคุณ ถ้าคุณยอมจ่ายส่วนที่เกินแล้วเรื่องจบ ตำรวจนัดคู่กรณีมาบันทึกความตกลง ญาติผู้เสียหายยอมแล้ว โทษทางกฏหมายก็ไม่ถึงขั้นจำคุก
กรณีพิการตลอดชีวิต ถ้าตกลงค่าเสียหาย ค่ารักษาพยาบาลกันได้ที่เงินก้อนหนึ่ง ก็ให้ไปทำความตกลงกันบนโรงพักที่เจ้าหน้าที่ เขาจะได้ไม่มาเรียกร้องค่าเสียหายกับคุณตลอดชีวิตข้อควรจำ แม้จะพูดจากันเข้าอกเข้าใจดี ก็อย่าตกลงกันเอง ให้เจ้าหน้าที่บันทึกไว้เป็นหลักฐานเสมอ มิฉะนั้น คุณอาจจะต้องเสียใจในภายหลังเมื่อคนที่ดูเหมือนง่าย กลายเป็นคนที่เขี้ยวลากดินที่สุดเท่าที่คุณเคยเจอมา ถ้าตกลงกันไม่ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำสำนวนส่งฟ้องศาล ก็แล้วแต่ว่า ศาลจะพิจารณาตัวเลขที่เหมาะสมอย่างไร โดยดูจากสภาพความพิการ ฐานะทางการเงินของทั้งสองฝ่าย ยิ่งสู้คดีกันยาวๆ คนเจ็บก็จะยิ่งเสียเปรียบครับ ไม่มีโอกาสที่จะได้เปรียบมากขึ้นๆ ส่วนตัวคุณผู้ขับรถชนคนพิการ มีสภาวะทางจิตที่ต้องเยียวยาไม่แพ้กัน

คนขับรถทุกคนไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุกับตนเองและผู้อื่น แต่เวลาที่อยู่หลังพวงมาลัย ไม่เคยมีใครคิดว่า ตนเองจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับตนเองและผู้อื่น

เกร็ดความรู้ดีๆจาก #ประกันภัยรถยนต์

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เบรคมือนั้นสำคัญไฉน



เบรคมือเป็นอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาสำหรับใช้ขณะรถจอด หรือหยุดนิ่ง แต่ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่มักละเลยและไม่ใช้ในสถานการณ์ที่จำเป็น จนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ เพื่อความปลอดภัยขอแนะวิธีใช้อย่างถูกต้อง

ก่อน สตาร์ตรถ ควรตรวจสอบเกียร์ (สำหรับเกียร์ธรรมดา) ให้อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง พร้อมดึงเบรคมือขึ้น เพื่อป้องกันคันเกียร์ค้างขณะสตาร์ต เมื่อจะออกรถจึงค่อยปลดเบรคมือเป็นขั้น ตอนสุดท้าย โดยผู้ขับขี่ควรใช้เบรคมือในสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนี้

กรณี รถติดอยู่บนเส้นทางลาดชัน สะพาน ให้ดึงเบรกมือขึ้น (ควรเหยียบเบรคไปด้วย) เพื่อป้องกันรถไหลไปชนรถที่จอดอยู่ด้านหลัง เมื่อจะออกรถให้เข้าเกียร์ แล้วค่อยปลดเบรกมือ พร้อมเหยียบคันเร่งให้สัมพันธ์กัน

กรณีรถจอด ติดไฟแดง หรือการจราจรติดขัดเป็นเวลานาน ให้ดึงเบรคมือขึ้นแทนการเหยียบเบรคเท้าค้างไว้ เพราะอาจเผลอยกเท้าขึ้น ทำให้รถเคลื่อนตัวไปชนท้ายรถคันหน้า

กรณีจอดรถบนทางลาดชัน ควรดึงเบรคมือขึ้นทุกครั้ง ป้องกันรถไหล กรณีเบรคแตก ให้กดปุ่มล็อกเบรคมือ พร้อมดึงเบรคมือขึ้นลงถี่ ๆ ห้ามดึงเบรคมืออย่างรุนแรงในขณะที่ล้อหน้ายังไม่หยุดหมุน เพราะอาจบังคับทิศทางรถไม่ได้ ทำให้รถพลิกคว่ำ พร้อมชะลอความเร็วรถโดยค่อย ๆ ลดเกียร์ลงตามลำดับ จะช่วยหยุดรถอีกทาง

ข้อเตือนใจ ก่อนออกรถ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ได้ขึ้นเบรคมือไว้ เพราะการขับรถโดยลืมปลดเบรคมือ นอกจากจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับขี่แล้ว ยังทำให้ผ้าเบรคสึกหรอ และหมดอายุใช้งานเร็วกว่าปกติ

ห้ามใช้เกียร์ (เกียร์ธรรมดา) แทนการขึ้นเบรคมือขณะจอดรถ เพราะหาก สตาร์ตรถในขณะที่รถเข้าเกียร์จะทำให้รถพุ่งไปข้างหน้าจนเกิดอุบัติเหตุได้

คัดลอกมาจาก
จุลสารลด หยุด ภัย ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัย
TQM Insurance Broker

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ข้อเท็จจริงของก๊าซ NGV เมื่อเทียบกับก๊าซ LPG



เนื่องจากยุคน้ำมันแพงในปัจจุบันทำให้ผู้คนนิยมหันมาแก๊สกันมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลรณรงค์ให้ใช้แก๊ส NGV มากกว่าเมื่อเทียบกับแก็ส LPG (แก๊สหุงต้ม) โดยรัฐบาลได้รณรงค์ให้ประชาชนใช้แก็ส NGV โดยกล่าวว่าแก็ส NGV มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากมีน้ำหนักเบากว่าอากาศหากเกิดการรั่วไหลออกมา ก๊าซจะลอยขึ้นสูงจึงทำให้ปลอดภัยกว่า… ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องเดียวที่ก๊าซ NGV มีความปลอดภัยกว่าก๊าซ LPG

เราจะเปิดเผยข้อมูลที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ เกี่ยวกับแก็ส NGV และแก็ส LPG

เมื่อเปรียบเทียบแก็ส NGV และแก็ส LPG จะพบว่า LPG มีข้อดีกว่า NGV ดังนี้
- สภาพโดยรวมทุกอย่างปลอดภัยกว่า (จะอธิบายต่อไปว่าปลอดภัยกว่าอย่างไร)
- มีค่าติดตั้งถูกกว่า
- การใช้งานประหยัดกว่าราคาต่อระยะทางถูกกว่า NGV
โดย ที่จุดที่แกสมีโอกาสจะรั่วไหลและจะเกิดอันตรายมากที่สุด คือ ปั้มแก็สถ้าแก็ส LPG รั่วไหลถังก๊าสในปั๊มที่ฝังอยู่ในใต้ดินยังคงมีความปลอดภัยเนื่องจากแก็ส LPG มีน้ำหนักที่หนักกว่าอากาศ แก็สจะคงอยู่ในใต้ดินต่อไปไม่ลอยฟุ้งขึ้นมา แต่ก๊าส NGV รั่วไหลจะลอยขึ้นสูงกระจายขึ้นมาสู่ภายนอก ทำให้เกิดอันตรายได้ง่าย ในประเทศไทยปั้มแก็สส่วนใหญ่มีแหล่งที่จะทำให้เกิดประกายไฟ โดยเฉพาะ ร้านอาหาร ร้านค้า สามารถทำให้เกิดเปลวไฟหรือประกายไฟได้ง่าย ด้วยเหตุผลดังกล่าวเมื่อเทียบปั๊มก๊าสทั้งสองชนิด ปั๊มก๊าส LPG ใช้เงินลงทุนเพียง 10 ล้านบาทเท่านั้น ในขณะที่ ปั๊ม NGV ต้องลงทุนถึง 50 ล้านบาท ต่างกันถึง 5 เท่า
อีกเรื่องหนึ่งที่หน่วยงานของรัฐบาลไมได้ กล่าว คือ ถังบรรจุก๊าส LPG ต้องรับแรงดันเพียง 200 ปอนด์ เปรียบเทียบกับถังก๊าส NGV จำเป็นต้องรับแรงดันมากถึง 3000 ปอนด์! ซึ่งหากเกิดระเบิดขึ้นจะมีอนุภาพทำลายคนที่อยู่รอบข้างและคนที่อยู่ในรถถึง ตายได้
เดิมทีชื่อของแก๊ส NGV คือ CNG หรือ Compressed Natural gas หรือ แก๊สธรรมชาติอัดแรงดัน ซึ่งไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใดจึงต้องเปลี่ยนเป็นชื่อ NGV หรือต้องการให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแก๊สนี้ปลอดภัยขึ้น
ถึงแม้ในปัจจุบันถัง แกส LPG จะยังไม่ได้มาตรฐาน แต่ก็ปลอดภัยกว่ามาก แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานวิชาการที่แน่ชัด แต่เมื่อพิจารณาจากการใช้งานของรถแท็กซี่ก็จะพบว่า แท็กซี่ที่มีการติดตั้งใช้แก๊ส ประมาณ 100,000 คัน แต่ละคัน วิ่งเฉลี่ย 1,000 กม/วัน มีอายุการใช้งานประมาณ 30 ปี น้อยคัน ที่จะให้วิศวกรทำการตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยขณะที่รถที่ติดแก๊ส NGV ทุกคัน ต้องให้วิศวกรตรวจสอบประจำทุกปี
ซึ่งเมื่อนำมาคำนวณระยะทางสะสม ของรถติดแกส LPG ได้ดังนี้คือ 100,000 x 1,000 x 365 x 30 จะเท่ากับ 1,095,000,000,000 หรือ ล้านล้านกิโลเมตร
แต่เพราะเหตุใด อุบัติเหตุจากการระเบิดของแกส LPG จึงเกิดขึ้นน้อยมาก? …

แล้วคุณจะมั่นใจใช้แก๊ส LPG หรือ แก๊ส NGV ละครับ?


TQM Insurance Broker