วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

รถไฟไหม้ ใครรับผิดชอบ



จาก เหตุการณ์ที่ผ่านมา เกิดเหตุเพลิงไหม้ศูนย์ซ่อมรถยนต์นิสสัน เหตุเกิดจากการเผาหญ้าแล้วลุกลาม ไปยังร้านรับซื้อของเก่าและศูนย์ซ่อมรถนิ สสันทำให้รถจอดรอซ่อมถูกเพลิงไหม้เสียหายหนัก 32 คัน และเสียหายเป็นบางส่วน 10 คัน รวมทั้งสิ้น 42 คัน พร้อมอุปกรณ์อะไหล่ยนต์ ได้ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งสิ้นทั้งหมดรวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท หากรถยนต์ดังกล่าวได้ทำประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ไว้ บริษัทประกันภัยรถยนต์จะรับผิดชอบหรือไม่ เพียงใด
ตาม เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ หมวดการคุ้มครองรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ กรณีรถยนต์ไฟไหม้ บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อรถยนต์เกิดความเสียหายจากไฟไหม้ไม่ว่าจะ เป็นการไหม้โดยตัวของมันเอง หรือเป็นการไหม้ที่เป็นผลสืบเนื่องจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม จากกรณีข้างต้นสามารถแยกเป็น 2 กรณีได้ดังนี้
- กรณีแรก รถเสียหายสิ้นเชิงหรือรถเสียหายหนัก บริษัทจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนเงินเอาประกันภัย ที่ระบุไว้ในตาราง รถยนต์เสียหายสิ้นเชิง หมาย ถึง รถยนต์ได้รับความเสียหายจนไม่อาจซ่อมให้อยู่ในสภาพเดิมได้ หรือเสียหายไม่ น้อยกว่าร้อยละ 70 ของมูลค่ารถยนต์ในขณะเกิดความเสียหาย หากทุนประกันภัยต่ำกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่ารถยนต์ในขณะที่เอาประกันภัยผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ แล้ว แต่กรณี ต้องโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่บริษัททันที โดยค่าใช้จ่ายของบริษัท และให้ถือว่าการคุ้มครองรถยนต์นั้นเป็นอันสิ้นสุด
- กรณี ที่สอง รถยนต์ได้รับความเสียหาย แต่ไม่ถึงกับเสียหายสิ้นเชิง บริษัทประกันภัยและผู้เอาประกันภัยอาจตกลงกัน ให้มีการจัดซ่อมรถ หรือเปลี่ยนรถยนต์ซึ่งมีสภาพเดียวกันแทนได้ ทั้งนี้รวม ทั้งอุปกรณ์ของรถยนต์นั้น หรือชดใช้เงินเพื่อทดแทนความเสียหายนั้นก็ได้
สรุป ได้ว่าหากรถยนต์ได้รับความเสียหายอันเกิดจากไฟไหม้ ไม่ว่าไฟที่ไหม้รถยนต์ นั้น จะเกิดจากความไม่สมประกอบ หรือการชำรุดบกพร่องของตัวรถยนต์เอง หรือการ เกิดไฟไหม้ที่เป็นผลมาจากสาเหตุอื่นก็ถือว่าเป็นความเสียหายจากรถ ยนต์ไฟไหม้ ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองตามหมวดการคุ้มครองรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ ที่บริษัทประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เลือกติดแก๊ส อย่างไร ให้ปลอดภัย....


ทุกวันนี้ราคาน้ำในที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างลดละอาจจะทำให้ใครหลายคน ต้องหาทางออกให้กับชีวิต และหลายคนฟังมาเขาเล่าติดแก๊สแล้วดี และก็ไปดำเนิน โดยอาจจะเลือกร้านที่บอกต่อๆ กันมา หรือเพื่อนแนะนำ เพราะเคยไปติดมา หากแต่เชื่อหรือไม่ว่า  แค่ติดแก๊สก็เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าที่คุณคิด

    การติดแก๊สฟังผิวเผินคือการที่เราเพิ่มความสามารถของรถให้สามารถรองรับ หับพลังงานทางเลือกไม่ว่าจะแก๊ส  LPG  หรือ  CNG  ก็ดี หากแต่ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือว่า การเลือกติดแก๊สนั้นสุ่มเสียงทางด้านความปลอดภัยในการขับขี่ด้วย เนื่องจากแก๊สมีสถานะเป็นก๊าซที่มีความไวไฟสูงหากเกิดข้อผิดพลาดจากการติด ตั้งระบบอาจจะหมายถึงหายนะแบบที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายราย สูญเสียทั้งรถ และบางรายอาจหมายถึงชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ไม่เพียงแค่นั้นการเลือกติดแก๊สไม่ถูกต้องอาจจะหมายถึงปัญหาที่ยาวนานไม่รู้ จบ จนคุณอาจจะเบื่อหน่ายและวันนี้เราจะมาแนะนำกันว่า จะเลือกติดแก๊สกันอย่างไร ตั้งแต่ตัดสินใจไปจนถึงเสร็จสินกระบวนการ
1. เลือกระบบ  ก่อนที่จะเริ่มไปหาร้านชองหาข้อมูลเกี่ยวกับระบบแก๊สที่สนใจ แล้วลองเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียดูของแต่ละระบบ รวมถึงชนิดก๊าซด้วย  เช่นระบบฟิกมิกเซอร์ มีข้อดีกว่าตรงที่ง่ายต่อการติดตั้งมีราคาถูก เป็นต้น หรือระบบหัวฉีดที่มีความแม่นยำในการสั่งจ่ายพลังงานมากกว่า  เป็นต้น
2. ช่างใจก่อนลงมือ หลายคนเจอแรงยุในการเลือกพลังงานทางเลือกทั้งๆที่รถยนต์หลายๆรุ่นมีความ สามารถในการใช้พลังงานทางเลือกแบบอื่นที่มีความแตกต่างกันอยู่แล้ว อย่างเช่นหันไปใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นต้น ก็อาจจะเป็นทางออกที่เหมาะสม ก่อนตัดสินใจไปลงมือติดแก๊ส เพราะต้องยอมรับว่านาทีทีติดแก๊สแล้วจะไม่สามารถหวนกลับได้ สำหรับรถใหม่ หมายถึงประกันเครื่องยนต์ของคุณจะถูกเพิกถอนทันที ลองคิดดุดีๆช่างใจ แล้วดึงความสามารถของรถออกมาใช้ก่อนก็ย่อมได้
3. เลือกร้านที่น่าไว้ใจ..  การติดแก๊สไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ดังนั้นอ่าทำเป็นเล่นในเรื่องนี้เด็ดขาด การเลือกร้ายที่จะติดแก๊สถือเป็นสิ่งสำคัญ ควรมองหาร้านที่มีช่างที่สามารถวางใจได้ มีมาตรฐานในการบริการ ไม่ใช่ร้านที่เพียงเน้นการติดตั้งราคาถูกเท่านั้น ทางที่ดีหากร้านมีการรับประกันคุณภาพหลังจากการติดตั้งก็ยิ่งดี ที่สำคัญทำเลของร้านก็มีส่วนในการเลือกด้วย ควรเลือกร้านที่สะดวกต่อการเดินทางไปดูแลรักษาในกรณีที่ระบบเกิดขัดข้องหรือ มีปัญหาด้วย
4. อย่างกเงิน พูดตรงๆ คนติดแก๊สคือคนที่อยากจะเซฟเงินในกระเป๋าแต่บางครั้งก็ต้องยอมรับว่าความขี้ ตืดอาจจะนำมาซึ่งหายนะได้อย่างหลายกรณีรถไฟไหมที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง หลายหน การเลือกอุปกรณ์ที่ดีเป้นสิ่งสำคัญ บางยี่ห้อให้การรับประกันในความเสียกายที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย ช่วยให้สบายใจมากยิ่งขึ้น ดังนั้น บางทีเลือกแก๊สที่มีคุณภาพสูงก็ช่วยได้พอสมควรในเรื่องความปลอดภัย
5. บำรุงเครื่องยนต์ จริงๆแล้วไม่มีใครมักพูดถึงเครื่องยนต์ที่ติดแก๊สว่าจะมีสภาพอย่างไร หลายคนเลี่ยงประเด็นี้เพราะทุกคนที่ใช้แก๊สล้วนทราบกันดีว่ามีโอกาสที่กลไก จะเสื่อสภาพเร็วกว่าปกติ เนื่องจากค่าความร้อนของการจุดระเบิดแก๊สที่มากกว่าการจุดระเบิดด้วยน้ำมัน นั่นเอง
ดังนั้นหลังติดแก๊สแล้วลองหมั่นตรวจสอบการทำงานของเครื่องยนต์เป็นประจำ ด้วย และควรทำเป็นประจำทุกเดือนอาจจะมองตอนถ่ายน้ำมันเครื่องก็ได้ โดยเฉพาะสีน้ำมันเครื่องยนต์ และทางที่ดีควรมองหาน้ำมันเครื่องแบบพิเศษเฉาะรถติดแก๊สถ้าเป็นไปได้
6. อย่าลืมขึ้นทะเบียน หลายคนมักลืมว่าเมื่อติดแก๊สแล้วเรายังจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญต่อการ ขึ้นทะเบียนกับกรมการขนส่งเพื่อสำแดงว่ารถยนต์เราเป็นรถติดแก๊สด้วยในคู่มือ ซึ่งตามหลักหลังติดตั้งเสร็จแล้วจะต้องนำไปให้วิศวกรตรวจพร้อมเซ็นใบรับรอง การติดตั้งในชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆด้วย หากไม่ผ่านต้องรีบกลับไปแก้แล้วหลังจากนั้นไปจดทะเบียนเสียเพื่อป้องกันจ่า จับ
7. ตรวจระบบแก๊สบ้าง หลายคนมักติดแก๊สแล้วครับเลยแบบไม่สนใจว่ามันจะเป้นอย่างไร แต่ทางที่ดีหากพบอาการผิดปกติเช่นมีกลิ่นแก๊สเข้าห้องโดยสารหรือ ระบบไม่ทำงานหรือมีการทำงานที่ผิดพลาดห้ามวางใจรับนำไปเข้าร้านที่ติดตั้ง โดยทันที  และแม้ในกรณีระบบปกติ ทุกๆ 1ปี ควรเข้าไปตรวจเช็คบ้างเสียเวลาเล็กน้อยแต่ให้ความมั่นใจได้มากขึ้น
จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้น่าจะช่วยให้เพื่อนๆมั่นใจได้มากขึ้นสำหรับใคร ที่กำลังจะหาทางออกนำรถยนต์ไปติดตั้งระบบแก๊ส และแม้จากทั้ง 7 ขั้นที่เราบอกจะฟังดูยุ่งยากแต่ถ้าศึกษาอย่างถ่องแท้จะพบว่า มันไม่ยากอย่างที่คิดเลย

เกร็ดความรู้ดีๆ ที่ TQM Insurance Broker นำมาฝาก

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความรู้เกี่ยวกับลมยาง


ตรวจวัดลมยาง อย่างถูกวิธี
  คุณรู้มั้ยว่าควรเติมลมยางเท่าไหร่? หลายท่านสงสัยว่าความดันลมยางที่เหมาะสมกับรถยนต์นั้น ควรจะเป็นเท่าไหร่ ควรใช้แรงม้าหรือน้ำหนักรถเป็นเกณฑ์วัด? มาใส่ใจกับการสูบลมยางให้ถูกวิธี
ข้อควรปฏิบัติ

           ควรตรวจเช็กลมยาง และปรับแต่งให้ถูกต้องตามอัตราที่กำหนด หรือตามคำแนะนำ ในหนังสือคู่มือของรถยนต์เป็นประจำ

            ในกรณีของยางใหม่ ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คลมยาง ให้มากกว่าปกติ (ในช่วง 3,000 กม. แรก) เนื่องจากโครงสร้างยางในช่วงนี้ จะมีการขยายตัว ทำให้ความดันลมยางลดลงจากปกติได้

            ห้ามปล่อยลมยางออก เมื่อความดันลมยางสูงขึ้นขณะกำลังใช้งาน เพราะความร้อนที่เกิดขึ้นขณะใช้งาน เป็นตัวทำให้ความดันลมภายในยางสูงขึ้น เมื่อยางเย็นตัวลง ความดันลมยางก็จะกลับสู่สภาวะปกติ

           เพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว ควรเปลี่ยนวาล์ว และแกนวาล์วทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่ และมีฝาปิดวาล์วตลอดเวลา

            สำหรับยางอะไหล่ ให้ตรวจเช็กลมยางให้ถูกต้องทุกๆ เดือน

เติมลมยางไนโตรเจน
" ปัจจุบัน การเติมลมยางไนโตรเจน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่กำลังได้รับความนิยม เพราะมีข้อดีหลายอย่าง ในระยะเริ่มต้น มีเติมเฉพาะยางล้อเครื่องบิน และ รถแข่งเท่านั้นครับ "

ข้อดีของการเติมลมยางด้วยไนโตรเจนมีดังนี้ครับ

  1.ช่วยประหยัดน้ำมัน จากการพิสูจน์ในอเมริกา รถที่เติมลมด้วยไนโตรเจน อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันจะลดลง โดยจำนวนระยะทางที่วิ่งได้ต่อน้ำมัน 1 แกลอน จะสูงขึ้น 1 ถึง 1.5 ไมล์


เหตุผล ด้วยอุณหภูมิของล้อที่ลดลง เมื่อใช้ลมยางไนโตรเจน จะช่วยลดแรงเสียดทานในการหมุนของยาง จึงช่วยประหยัดน้ำมัน

  2ปลอดภัยยิ่งขึ้น ทำให้อุบิตเหตุที่มีสาเหตุจากยางลดลง

เหตุผล เพราะไนโตรเจนจะช่วยรักษาอุณหภูมิของยางอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ความดันภายในลมยางขายตัวได้น้อย จึงช่วยรถอุบัติเหตุจากการระเบิดของยางที่เกิดจากความร้อน

  3. ไม่ต้องตรวจเช็คลมยางบ่อย อันนี้คงเหมาะกับสุภาพสตรีทั้งหลายที่ไม่มีความชำนาญเรื่องการดูแลรักษารถ

เหตุผล เพราะไนโตรเจนมีอะตอมขนาดใหญ่กว่า ออกซิเจนมาก ทำให้ซึมเข้าออกเนื้อยางได้ยากกว่าออกซิเจน ดังนั้นลมยางจึงไม่ค่อยลดลง

  4. ช่วยยืดอายุยาง มีผลมากกับยางที่ใช้น้อยแต่ใช้มาเป็นเวลานานๆ

เหตุผล เพราะการเติมลมยางปกติ ที่มีออกซิเจนผสมอยู่มากจะเข้าไปทำปฎิกิริยากับเคมีในเนื้อยาง ทำให้เสื่อมสภาพเร็วกว่าไนโตรเจน นอกจากนี้การที่อุณหภูมิร้อนน้อยกว่าทำให้ยากสึกหรอน้อยกว่าอีกด้วย

เกร็ดความรู้ที่ TQM Insurance Broker นำมาฝาก

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

9 วิธีดูแลรถให้ดูดีเสมอ


คน ส่วนใหญ่มักจะตัดสินใจซื้อรถด้วยเหตุผลของราคายิ่งในยุคที่สภาวะเศรษฐกิจที่ ไม่แน่นอน ส่วนเหตุผลข้อต่อมาคือประโยชน์ใช้สอย และอัตราการบริโภคน้ำมันของเครื่องยนต์ น้อยคนนักที่จะนึกถึงการบำรุงรักษาเครื่องยนต์หลังจากได้เป็นเจ้าของรถแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งจำเป็นที่เจ้าของรถควรทราบและคำนึงถึง เพื่อยืดอายุการใช้งานพาหนะคู่ใจด้วยวิธี่งายๆ ดังนี้
1 ปฏิบัติตามคู่มือการใช้รถยนต์ที่ให้มาตอนซื้อรถ ถ้ามีตารางการซ่อมบำรุงก็ใช้เป็นแนวทางในการตรวจเช็ครถ แต่ควรตรวจเช็คในคู่มืออีกทีว่าถึงเวลาเปลี่ยนอะไหล่เมื่อไหร่

2 อย่าลืมเปลี่ยนสายพานเมื่อรถวิ่งได้ทุกๆ 60,000 – 90,000 ไมล์ การเปลี่ยนสายพานราคาอาจจะสูงสักหน่อย แต่ก็ถูกกว่าค่าเสียที่เกิดขึ้นหากสายพานขาด

3 หยอดกระปุกไว้สำหรับการซ่อมบำรุงรถ เพราะในแต่ละปีคุณควรจะมีงบในการบำรุงรักษารถ 5,000 – 20,000 บาท แล้วแต่อายุการใช้งาน ถ้ามีการสะสมงบเอาไว้ล่วงหน้าเมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นกับรถก็จะไม่กระทบ กับการเงินของคุณ

4 หาข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นที่คุณใช้ รถทุกรุ่นมักจะมีเว็บไซต์ของตัวเอง บอกข้อมูล และปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นเวลาใช้ คุณจะได้มีความพร้อมที่รับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับรถของคุณ

5 เวลาขับขี่คอยสังเกตว่ามีเสียง หรือกลิ่นที่ผิดไปจากปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้ามีควรปรึกษาช่างเพื่อหาสาเหตุ คุณผู้ใช้รถเป็นประจำเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดเมื่อรถเกิดอาการผิดปกติ

6 เมื่อเกิดความเสียหายกับรถให้ซ่อมทันที แม้ว่าจะเป็นความเสียหายเล็กน้อย อาทิ เบาะที่นั่งขาด หรือสายไฟหลุด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น หรือสร้างความรำคาญให้กับคุณเอง
7ใช้อะไหล่ที่มีคุณภาพ หากมีงบประมาณจำกัดไม่สามารถซื้ออะไหล่แท้ควรปรึกษาช่างเพื่อหาทางเลือก การซื้ออะไหล่แท้มือสองก็เป็นอีกทางที่จะได้ของคุณภาพในราคาย่อมเยา

8 ทำความสะอาดรถอย่างสม่ำเสมอ สีรถนอกจากจะช่วยให้รถดูดี ยังเป็นการปกป้องวัสดุข้างในด้วย ควรล้างรถเป็นประจำ ถ้าน้ำเริ่มไม่เกาะเป็นหยดๆ บนสีรถ ให้ลงแว็กเคลือบสี

9 ควรขับรถอย่างนิ่มนวล แม้ว่าการขับรถด้วยความเร็วสูงบ้างในบางครั้งจะช่วยให้เครื่องยนต์มีความ คล่องตัว แต่ไม่ควรเหยียบคันเร่งจนมิด หรือขับรถโดยใช้ความเร็วสูงตลอดเพราะไม่เป็นผลดีต่อเครื่องยนต์

เพียงเท่านี้คุณก็ยิ้มได้อย่างภูมิใจเมื่อมีคนพูดอย่างชื่นชมว่ารถคุณยังดูใหม่แม้ว่าจะวิ่งได้ 150,000 ไมล์ แล้ว.....
ที่มา www.manager.co.th
เป็นเกร็ดความรู้ที่ทาง TQM Insurance Broker นำมาฝาก

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สตาร์ทรถ เรื่องง่ายๆที่อย่ามองข้าม



 เคยถามไหมว่า ก่อนออกรถคุณควรจะทำอย่างไร หลายอาจจะตอบคำถามนี้ในหลากข้อต่งๆมากมาย แต่เรื่องหนึ่งที่ดูแล้วจะขาดไม่ได้ก็คงเป็นในส่วนของการสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ทำงาน เพื่อพร้อมจะขับเคลื่อนไปข้างหน้า  สู่จุดหมายปลายทาง
   พวกเราหลายคนที่ขับรถคงจะผ่านการทั้งบิด ทั้งกด เพื่อสตาร์ทรถยนต์แทบจะทุกวัน วันหนึ่งอย่างน้อยก็สองครั้ง  หากแต่เคยคิดไหมครับ ว่าการสตาร์ทรถยนต์ก็ยังต้องการวิธีที่ถูกต้องและเรื่องง่ายๆนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด เชื้อเชิญปัญหาให้เข้ามาดูดเงินในกระเป๋าคุณก็เป็นไปได้

  เมื่อเร็วๆนี้ ในประเทศไทยมีเคสหนึ่งที่น่าสนใจในการสตารืทรถยนต์ไม่ถูกวิธี เมื่อ โตโยต้าได้รับแจ้งจากลูกค้าว่า เกิดไฟโชว์แอร์แบ๊กติดตลอดวลาขับขี่ และหลังจากลงไปแก้ขัญหานี้ก็พบว่า มีความเกี่ยวเนื่องมาจากการบิดกุญแจสตาร์ทรถไม่ถูกต้องทำให้เกิดการค้างหรือลัดวงจรของระบบทำให้ไฟโชว์ดังกล่าวเกิดขึ้น
   แม้ฟังดูมันไม่น่าจะเป็นเรื่องราวที่น่าจะเกี่ยวกันได้ แต่นี่เป็นข้อเท็จจริงที่หลายคนมองข้าม เพราะกุญแจในรถยนต์ไม่ได้เหมือนกุญแจบ้าน ที่เสียบแล้วก็จะกระทำชำเราบิดพรวดสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ทันที เพราะในช่องกุญแจเหล่านี้นอกจากจะเป็นตัวล็อคต่างๆมากมายแล้ว ยังเป็นสวิทช์หลักในการตัดต่อระบบไฟฟ้าของรถยนต์ด้วย ซึ่งไปลองดูสิว่า วันนี้คุณสตาร์ทรถยนต์ถูกแล้ว หรือยัง
      1.รู้จักตำแหน่ง ในการสตาร์ทรถยนต์แต่ละครั้งหลายคนอาจจะคิดว่าเสียบกุญแล้วบิดก้น่าจะจบ แต่ความจริงแล้ว ถ้าคุณลองบิดสวิทช์เหล่านี้ช้าๆก็จะพบว่า มันมีขั้นต่างๆประมาณ 3 ขั้น ด้วยกัน
1.  Lock ตำแหน่งสวิทช์แรกที่เสียบกุญแจเข้าไปซึ่งตำแหน่งคือตำแหน่งดับเครื่อง เช่นเดียวกันมันยังสามารถใช้ล็อคพวงมาลัยได้อีกด้วย

2. ACC  ในตำแหน่งที่ 2 อาจจะดูเหมือนไม่มีความสำคัญมากนัก แต่เป็นตำแหน่งที่คุณสามารถใช้ระบบความบันเทิงต่างๆของรถได้ เช่นระบบปรับอากาศ ,ระบบเครื่องเสียง โดยที่ไม่ต้องสตารืทเครื่องยนต์ แต่ไม่ควรทำบ่อยครั้ง เพราะแบตเตอร์รี่อาจจะหมดได้
3.On ตำแหน่งที่ไฟฟ้าถูกจ่ายเพื่อพร้อมสตาร์ทคล้ายกับ ACC  แต่เมื่อบิดมาตำแหน่งนี้ ระบบ จะทำการสตารืทพร้อมทำงานในส่วนมาตรวัดต่าง โดยไฟเตือนต่างๆ จะทำงาน เพื่อแสดงสถานะความพร้อมใช้งาน
4. Start  ตำแหน่งสุดท้าย ที่เมื่อบิดกุญแจ ไฟฟ้าจะจ่ายไฟไปยังชุดมอเตอร์สตาร์ทเพื่อถีบฟลายวีล หรือล้อช่วยแรงที่ติดอยุ่กับเครื่องยนต์เพื่อเริ่มต้นการทำงาน และจะกลับมาที่ตำแหน่งออกเองหลักจากทำงานแล้ว หากในการสตาร์ทคุณเผลอไปบิดตำแหน่งนี้อีกครั้งหลังเครื่องยนต์ทำงาน อาจจะทำให้ฟันเฟืองของมอเตอร์สตาร์ทเสียหายได้


      2.สตาร์ทอย่างไรถึงถูก  ด้วยความที่มันง่ายมาก ทำให้ไม่มีใครใส่ใจในส่วนของระบบกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์มากนัก แต่วันนี้เมื่อเราอยุ่ในช่วงร่วมสมัยลองมาดูสิว่า ต้องทำอย่างไรก่อนสตาร์ทกันบ้าง
1.ตรวจสอบตำแหน่งเกียร์ หลายคนมักลืมที่จะตรวจสอบในเรื่องนี้ก่อนทำการสตาร์ท ซึ่งสำหรับเกียรือัตดนมัติมันอาจจะไม่ใช่ปัญหามากมายอะไร แต่กับเกียร์ธรรมดา ถ้าคุณลืมว่าเกียร์ถูกเข้าแล้วสตาร์ทเครื่อวง เมื่อเริ่มการสตารืทรถก้อาจจะพุ่งไปข้างหน้าจนกลายเป็นอุบัติเหตุได้ ในที่สุด
2.ปิดระบบไฟฟ้าทั้งหมด หลายคนมักไม่ปิดระบบต่างตอนลงจากรถและเมื่อกลับขึ้นมาก็สตาร์ทเครื่องยนตืทำงาน พร้อมทั้งระบบปรับอากาศ และเครื่องเสียง ซึ่งจริงอยู่ว่าสามารถทำได้ แต่ในทางที่ถูกต้องควรจะปิดก่อน เพื่อให้แบตเตอร์รี่มีกำลังไฟเต็มที่ในการจ่ายไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าในการสตาร์ทเครื่องนนต์ ซึ่งจะทำให้มอเตอร์สตาร์ทสึกหรอน้อยลง เช่นเดียวกับชิ้นส่วนการทำงานของเครื่องยนต์ เนื่องจากการสตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งแรกอาจจะต้องทำงานหนักเป้นพิเศษ
3.ตรวจสอบสถานะ หลายคนลืมไปว่า เราควรตรวจสอบระบบต่างๆให้พร้อมก่อนสตารืทเครื่องยนต์ ซึ่งไม่ได้เสียเวลามากนัก ความจริงแล้วตามหลักที่ถูกต้อง คือ ควรให้ไฟเตือนนั้นขึ้นและดับครบก่อนจึงจะสามารถสตารืทเครื่องยนต์ได้ และเมื่อสตาร์ทไปแล้วนั้น ก็ควรดูว่ายังมีไฟเตือนที่ผิดสังเกตหลงเหลือบนหน้าปัดหรือไม่ ในเรื่องนี้ก็รวมถึงในการตรวจสอบเสียง โดยเฉพาะเสียงในลักษณะเหล็กเคาะหรือเสียดสีกัน หรือความสั่นสะเทือนที่ผิดปกติของเครื่องยนต์ ก่อนออกรถด้วย

            การสตาร์ทเครื่องยนต์อาจจะเป็นเรื่องง่ายและใกล้ชิดกับพวกเราทุกคน แต่ว่า การทำอย่างไรให้ถูกต้องกับเป็นเรื่องที่เรามองข้างมไปโดยปริยาย ซึ่งอาจจะจริงที่ว่า มันไม่เสียง่ายๆแต่การทำในสิ่งที่ถูกต้องก็ช่วยรักษาสภาพไม่เพียงแค่สวิทช์กุญแจ แต่รวมถึงในส่วนของเครื่องยนต์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวโยงอื่นๆ ด้วย

เป็น้กร็มความรู้ที่ทาง TQM Insurance Broker